JJNY : มองบ้านใหญ่มีอิทธิพลลต.ท้องถิ่น│สุดารัตน์แนะเจรจาจีนด้วย│นันทนาเร่งล่ารายชื่อ ยื่นศาล│ทรัมป์เตรียมต่อสายถึงปูติน

ดุสิตโพล มองบ้านใหญ่มีอิทธิพลลต.ท้องถิ่นพึ่งได้เชื่อทำตามหาเสียง
.
.
“ดุสิตโพล” ชี้เลือกตั้งท้องถิ่นบ้านใหญ่ยังมีอิทธิพล มองเข้าถึงประชาชน มีฐานเสียงที่มั่นคง เชื่อทำตามที่หาเสียงได้ จี้ปราบปรามอบายมุข ยาเสพติด
.
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศ เรื่อง “ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นในสายตาประชาชน” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,104 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 13-16 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยเมื่อถามประชาชนอยากให้นายกเทศมนตรีคนใหม่ดำเนินการเรื่องใดมากที่สุด พบว่า ร้อยละ 57.25 อยากให้ปราบปรามอบายมุข ยาเสพติด ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ร้อยละ 48.64 อยากให้แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะ ปัญหาฝุ่น และร้อยละ 47.46 อยากให้พัฒนาถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปาให้ดีขึ้น

ส่วนจากการเลือกตั้งท้องถิ่นระดับเทศบาลครั้งนี้ ประชาชนคิดว่าผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจะทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ พบว่า ร้อยละ 37.32 ระบุว่า น่าจะทำได้ และร้อยละ 34.51 ระบุไม่น่าจะทำได้
.
เมื่อถามประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ว่า “บ้านใหญ่” หรือตระกูลการเมืองท้องถิ่นยังมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในพื้นที่ พบว่า ร้อยละ 78.80 เห็นด้วย และร้อยละ 21.20 ไม่เห็นด้วย
.
ขณะปัจจัยใดที่ประชาชนคิดว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ “บ้านใหญ่” หรือตระกูลการเมืองท้องถิ่นยังคงมีอิทธิพลในพื้นที่ พบว่า ร้อยละ 45.13 ระบุเข้าถึงประชาชน มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ เช่น งานบุญ งานศพ งานประเพณี ร้อยละ43.19 ระบุมีฐานเสียงที่มั่นคงและความสัมพันธ์กับชุมชนที่ยาวนาน และร้อยละ 41.89 มีระบบอุปถัมภ์ ช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
.
สุดท้ายเมื่อถามประชาชนคิดว่าหากกลุ่มการเมืองท้องถิ่นไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองระดับชาติ จะมีผลต่อการบริหาร และพัฒนาพื้นที่หรือไม่ พบว่า ร้อยละ 37.50ส่งผลกระทบอยู่บ้าง แต่ยังพอบริหารจัดการภายในพื้นที่ได้ ร้อยละ 23.82 ส่งผลกระทบมาก เช่น โครงการหรืองบประมาณสนับสนุนจากรัฐกลางลดลง ร้อยละ 19.93 ไม่มีผลกระทบ เพราะสามารถพัฒนาโดยอาศัยทรัพยากรท้องถิ่น และร้อยละ 18.75น่าจะเป็นผลดี เพราะจะได้ลดการแทรกแซงจากการเมืองระดับชาติ
.

.
สุดารัตน์แนะรัฐบาล ช่วงเวลารอเจรจาภาษีทรัมป์ หันเจรจาจีนด้วย เปิดทางส่งออกสินค้าไทย
https://thestandard.co/sudarat-tax-trump-china-thai-export/
.
วันนี้ (18 พฤษภาคม) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ให้กรณีที่ สารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เข้าพบ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ประเทศกาตาร์ว่า ตอนนี้เห็นเพียงภาคเอกชนรายใหญ่ๆ ที่มีสิทธิ์พูดคุยกับสหรัฐฯ แต่ทีมเจรจาทางการในนามรัฐบาลไทยยังไม่เห็นความชัดเจนในเรื่องของวันและเวลาที่จะเดินทางไปเจรจากับทรัมป์ ส่วนตัวมองว่าไทยเรากำลังล่าช้าและตามหลังประเทศต่างๆ ในเรื่องการเจรจาต่อรองภาษีทรัมป์
 .
คุณหญิงสุดารัตน์ระบุต่อว่า ตนมีข้อแนะนำรัฐบาลว่า ในช่วงเวลาที่เรารอวันและเวลาที่จะเจรจากับทรัมป์ ควรหันไปเจรจากับจีนร่วมด้วย เพราะก่อนหน้านี้จีนได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสารตกค้างในผลไม้ไทย โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้ส่งออกอันดับหนึ่งของไทย แม้ว่า นภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะนำคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์เดินทางเยือนนครเซี่ยงไฮ้ เมืองฮาร์บิน มณฑลเฮยหลงเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเร่งสำรวจความพร้อมของตลาดจีนในการรองรับผลไม้ไทย โดยเฉพาะทุเรียนในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวที่กำลังจะถึง แต่ส่วนตัวมองว่าแค่เจรจาเรื่องการค้าผลไม้คงไม่พอ เนื่องจากตอนนี้เราขาดดุลการค้ากับจีน ควรเจรจาเรื่องสินค้าประเภทอื่นๆ ร่วมด้วย
 .
ตอนนี้สินค้าจีนรวมถึงธุรกิจจีนเข้ามาไทยค่อนข้างทะลัก ซึ่งไทยเราไม่ได้ปิดกั้นจีน ฉะนั้นในช่วงที่ผู้ประกอบการไทยเดือดร้อนจากผลกระทบภาษีทรัมป์ จีนช่วยเปิดทางให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปค้าขายในจีนได้หรือไม่ สิ่งนี้เป็นมุมหนึ่งที่อยากเสนอให้รัฐบาลนำไปคิด หากมีโอกาสก็ควรคุยกับจีนในเรื่องนี้” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวทิ้งท้าย
.

.
นันทนา เร่งล่ารายชื่อ ยื่นศาลรธน.พิจารณา สั่ง 200 ส.ว.หยุดปฏิบัติหน้าที่ ช่วงสอบคดีฮั้ว
https://www.matichon.co.th/politics/news_5188101
.
‘นันทนา’ คาด 19 พ.ค. ล่าชื่อ ส.ว. 20 คนยื่นศาลรธน. ขอ 200 ส.ว. หยุดทำหน้าที่เฉพาะส่วน-กระบวนการเห็นชอบองค์กรอิสระ ชี้ เมื่อกระบวนการตรวจสอบคดีฮั้วสิ้นสุดค่อยเลือก ไม่สายไป ดีกว่าดันทุรัง
.
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ส.ว. ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการเข้าชื่อ ส.ว.เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยต่อกรณีที่มี ส.ว.กลุ่มหนึ่งถูกตรวจสอบคดีฮั้ว ส.ว. ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการยกร่างคำร้องที่จะยื่นต่อ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เบื้องต้นคาดว่าภายในวันที่ 19 พฤษภาคม จะดำเนินการแล้วเสร็จและส่งให้ ส.ว. อิสระพิจารณาร่วมลงชื่อ 1 ใน 10 หรือ 20 คน ทั้งนี้ สำหรับสาระสำคัญของคำร้องคือ จะขอให้ ส.ว.ทั้ง 200 คน หยุดปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระทั้งกระบวนการ เช่น การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อตรวจสอบประวัติ ความประพฤติและพฤติกรรมทางจริยธรรม การลงมติ เป็นต้น โดยมีเหตุผลคือ การหยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะส่วนดังกล่าวของสว.ทุกคนเพื่อให้เกิดความเสมอภาค และไม่ลักลั่น
.
เหตุผลที่ขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะ ส.ว.จำนวนมากที่ถูกตรวจสอบจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ คณะกรรมการการเลือกตั้ง และเชื่อว่าจะมี ส.ว.เกินกึ่งหนึ่งที่น่าจะถูกยื่นข้อกล่าวหา และหากกระบวนการนี้ดำเนินการอยู่ แปลว่าที่มาของ ส.ว.ไม่ชัดเจนว่ามาโดยถูกต้องชอบธรรม สุจริตหรือไม่ ดังนั้น หากที่มาไม่ชัดเจน และเข้าไปทำหน้าที่เห็นชอบกรรมการองค์กรอิสระนั้นจะเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ทันที เพราะเมื่อ ส.ว.ได้เห็นชอบองค์กรอิสระ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบที่มาของ ส.ว. จึงมีลักษณะต่างตอบแทนกัน ไม่ใช่การตรวจสอบที่สุจริตโปร่งใสยุติธรรม” น.ส.นันทนากล่าว
.
น.ส.นันทนากล่าวต่อว่า นอกจากนั้น หากกระบวนการเห็นชอบองค์กรอิสระเดินหน้า อาจจะมีผลกระทบต่อการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระที่อาจถูกร้องว่าเป็นโมฆะได้ หาก ส.ว.ในฐานะผู้ที่เห็นชอบกรรมการองค์กรอิสระนั้นถูกชี้ว่าเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติ ดังนั้น เมื่อมีความไม่ชัดเจน ตนจึงอยากให้ ส.ว.หยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะส่วน ไม่ควรไปต่อ และขอให้หยุดจนกว่ากระบวนการตรวจสอบจะสิ้นสงสัย เมื่อกระบวนการตรวจสอบ ส.ว.แล้วเสร็จ การกลับเข้าสู่การเลือกกรรมการองค์กรอิสระใหม่ ตนมองว่าไม่สายเกินไป ดีกว่าการดันทุรังให้เกิดการเห็นชอบ
.
น.ส.นันทนากล่าวด้วยว่า ฉะนั้น กระบวนการเข้าชื่อและยื่นคำร้องดังกล่าวจะทำให้เร็วที่สุด เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาก่อนที่วุฒิสภาจะนัดประชุมในช่วงการประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ ในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ เบื้องต้นเชื่อว่าจะมี ส.ว.ร่วมสนับสนุนเกินจำนวนที่กำหนด
เมื่อถามว่า ในคำร้องดังกล่าวมีประเด็นให้วินิจฉัยการขาดสมาชิกภาพ เพราะฝักใฝ่พรรคการเมืองด้วยหรือไม่ น.ส.นันทนากล่าวว่า ยังไม่ได้ข้อสรุปเป็นมติที่ชัดเจน
.
เมื่อถามว่า นอกจากการหยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะส่วน จะมีในเรื่องการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อื่นๆ ด้วยหรือไม่ น.ส.นันทนากล่าวว่า ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ต่างๆ ที่สำคัญ เช่น ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าตามกฎหมายงบประมาณ ส.ว.ไม่มีอำนาจมาก เพราะไม่สามารถลด เพิ่ม หรือแก้ไขได้ มีเพียงอย่างเดียวคือการลงมติ ดังนั้น บทบาท ส.ว. ในกระบวนการพิจารณางบประมาณไม่มากนัก อีกทั้งเรื่องงบประมาณเป็นเรื่องสำคัญชะลอไม่ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่