กมธ. มอบรัฐสภาเลือกองค์กรทำรธน.ใหม่ เสียงแตกควรมีส.ส.ร.หรือไม่ นัด 5 พ.ย.โหวตหาข้อยุติ
.
.
‘กมธ.แก้รธน.’ มอบอำนาจรัฐสภา เลือกองค์กรทำรธน.ใหม่ แต่ยังเสียงแตกควรมี ส.ส.ร.หรือไม่ ด้าน ‘โฆษกมธ.’ เผยสัปดาห์หน้า นัดโหวตเพื่อหาข้อยุติ
.
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานถึงผลการประชุมของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ… รัฐสภา ที่มีนายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เป็นประธานกมธ. ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้พิจารณาถึงรูปแบบของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ตามที่คณะทำงานสรุปประเด็นนำเสนอ
.
โดยตามรายละเอียดของรายงานสรุปผลประชุม ระบุว่า แนวทางที่คณะทำงานสรุปประเด็น ประกอบด้วย
.
1. การให้ประชาชนเลือกตั้งบุคคลที่สมควรได้รับการคัดเลือกเป็น ส.ส.ร. และ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
.
2. การกำหนดให้องค์กรใดทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ระหว่างกำหนดให้มีเฉพาะ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือให้มีทั้ง ส.ส.ร. และ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่
.
3. ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรที่ทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่กับรัฐสภา
.
4. การพิจารณาและให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของรัฐสภา
.
5. ที่มาของส.ส.ร. และกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
.
6. หน้าที่และอำนาจของส.ส.ร. และ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ 6.หน้าที่และอำนาจของ ส.ส.ร. และกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
.
7. การมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
ทั้งนี้ กมธ.ส่วนใหญ่เห็นว่าอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของปวงชนชาวไทย ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมต่อกรระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมถึงให้ประชาชนมีส่วนร่วมเลือกองค์กรทำหน้าที่ แต่ส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 18/2568 วินิจฉัยว่ารัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง การกำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมเลือกองค์กรที่ทำหน้าที่อาจทำให้เกิดปัญหาตีความและทำให้กระบวนการจัดทำไม่ลุล่วง
.
กมธ.ส่วนใหญ่จึงเห็นว่าควรให้รัฐสภาทำหน้าที่คัดเลือกองค์กร ที่ทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยอาจกำหนดแบ่งกลุ่มให้สมาชิกรัฐสภาตามสัดส่วนเพื่อดำเนินการคัดเลือกองค์กรที่ทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
ส่วนประเด็นการกำหนดให้องค์กรใดจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ประชุมเห็นเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งเห็นควรให้มี กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญเพียงองค์กรเดียวในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และรัฐสภาทำหน้าที่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อประกอบการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่วนอีกฝ่ายเห็นว่า ควรให้มีทั้ง ส.ส.ร. และกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยแบ่งหน้าที่คือ กมธ.ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ส่วน ส.ส.ร. มีหน้าที่รับฟังความคิดเห็นประชาชน และให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก่อนเสนอให้รัฐสภาพิจารณา
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ประชุม กมธ.ยังพิจารณากำหนดกรอบเวลาพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 13 พฤศจิกายน หากไม่แล้วเสร็จ จะขยายเวลาตามความเหมาะสม
.
ทั้งนี้ นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงษ์ ส.ว. ในฐานะโฆษก กมธ.พิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญ รัฐสภา ให้สัมภาษณ์ว่า กมธ.จะนัดประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 5 พฤศจิกายน ซึ่งมีประเด็นที่จะพิจารณาตามที่นายณัฐวุฒิแจ้งคือ จะลงมติในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับองค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญว่าจะให้มี ส.ส.ร. หรือ ไม่มี รวมถึง กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นจะเป็นการพิจารณาเนื้อหาที่ลงรายละเอียดมาตราต่างๆ ต่อไป
.
.
“สุดารัตน์” ชี้ ทุนดำ-สแกมเมอร์รุกคืบยึดการเมืองไทย จี้รัฐบาลเร่งปราบปราม
.
“สุดารัตน์” ชี้ ภัยทุนดำ-สแกมเมอร์รุกคืบยึดการเมืองไทย หว่านแจก-ซื้อเสียง ย้ำคนไทยต้องไม่เลือกนักการเมืองชั่ว จี้รัฐบาลเร่งปราบขบวนการฟอกเงิน หวั่นนำไปสู่ความพังพินาศทั้งระบบของชาติ
.
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2568
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการแทรกซึมของทุนดำและขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ ปล้นเงินจากประชาชนไทยและทั่วโลก ผ่านการหลอกลวงออนไลน์และธุรกรรมผิดกฎหมาย โดยมีมูลค่าความเสียหายปีละหลายแสนล้านบาท และกำลังพยายามฟอกเงินผ่านการเมืองไทย เพื่อยึดประเทศอย่างเป็นระบบและก่ออาชญากรรมเหล่านี้
.
คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุในตอนหนึ่งว่า ด้วยเงินเพียง 20,000 ล้านบาท จากกลุ่มแก๊งสแกมเมอร์ซึ่งเป็นทุนดำที่ปล้นคนไทยไปหลายแสนล้านบาท ร่วมกับนักการเมืองชั่วบางกลุ่ม ขบวนการเหล่านี้สามารถแทรกซึมเข้ามามีอิทธิพลทางการเมืองได้อย่างน่ากลัว ตั้งแต่ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา กัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางของสแกมเมอร์ที่ใช้หลอกและปล้นเงินจากผู้คนทั่วโลก รวมถึงมีการหลอกแรงงานไทยและต่างชาติเข้าไปทำงานในเครือข่าย มีการซ้อมทรมานและเสียชีวิต เข้าข่ายการค้ามนุษย์ จนทั่วโลกเรียกกันว่าสแกมโบเดีย
.
เงินจำนวนมหาศาลที่ได้จากการปล้นนี้จำเป็นต้องผ่านกระบวนการฟอกขาว หรือการฟอกเงิน (Money Laundering) ซึ่งประเทศไทยกลับกลายเป็นเป้าหมายหลักของอาชญากรข้ามชาติ เนื่องจากระบบการตรวจสอบและกฎหมายที่อ่อนแอ ทำให้ไทยกลายเป็นสวรรค์ของอาชญากร และเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินของขบวนการสแกมเมอร์ทั่วภูมิภาค เมื่ออาชญากรเหล่านี้เข้ามาทำธุรกิจฟอกเงินในประเทศไทย ย่อมต้องจ่ายสินบนให้กับผู้มีอำนาจบางราย โดยเฉพาะนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อแลกกับการคุ้มครองหรือการหลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมาย จึงก่อให้เกิดขบวนการ “ทุนดำ” ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีอิทธิพลครอบงำระบบการเมือง
.
หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เผยต่อไปว่า กลุ่มทุนดำเหล่านี้ไม่ได้เพียงฟอกเงินผ่านช่องทางเดิม เช่น การซื้ออสังหาริมทรัพย์ หมู่บ้านจัดสรร หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย สกุลเงินดิจิทัล หรือทองคำเท่านั้น ซึ่งล้วนส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งและกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยอย่างรุนแรง แต่ยังพัฒนาเป็นรูปแบบใหม่ที่น่ากลัวกว่าเดิม คือการฟอกเงินผ่านกระบวนการทางการเมืองในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง อาจมีการใช้เงินทุนดำเข้ามาซื้อเสียงและควบคุมพรรคการเมือง เพื่อยึดประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จ โดยมีรายงานว่าขบวนการดังกล่าวเตรียมใช้งบประมาณไม่เกิน 20,000 ล้านบาท เพื่อจ่ายให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางรายหัวละ 50–70 ล้านบาท เพื่อซื้อตัวและซื้อเสียงในการเลือกตั้ง
.
ทั้งนี้ หายนะของประเทศจะมาถึงแน่ หากคนไทยไม่พร้อมใจกันลุกขึ้นสู้ ขอเรียกร้องให้ประชาชนไม่เลือกนักการเมืองที่ซื้อเสียงอย่างเด็ดขาด เพราะเงินที่นำมาแจกนั้นคือเงินที่ปล้นจากคนไทยเอง ประชาชนสามารถรับเงินได้เพราะเป็นเงินของพวกเราที่ถูกปล้นไป แต่ต้องไม่กากบาทให้กับนักการเมืองชั่วที่เอาเงินสกปรกมาซื้ออำนาจ เพื่อกลับมาโกงชาติและประชาชนต่อไป
.
“ขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีให้เร่งดำเนินการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ที่ซุกซ่อนอยู่ในประเทศไทย รวมถึงนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐที่ให้การคุ้มครองขบวนการเหล่านี้ โดยต้องสั่งอายัดทรัพย์ ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และดำเนินคดีอาญากับทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและนานาชาติเพื่อสกัดเส้นทางทุนดำไม่ให้กลับมาทำลายประเทศอีก หากประเทศไทยไม่รีบดำเนินการอย่างจริงจัง ขบวนการทุนดำจะกลายเป็นผู้ครอบงำการเมือง เศรษฐกิจ และระบบราชการไทยอย่างเบ็ดเสร็จ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศในละตินอเมริกา ซึ่งอาจนำไปสู่ความพังพินาศทั้งระบบของชาติ”
.
.
.
ดุสิตโพลชี้ดัชนีการเมืองไทย ต.ค.ทรงตัวแม้”คนละครึ่งพลัส”หนุนรัฐบาลแต่ปมสแกมเมอร์-แรร์เอิร์ธยังคาใจ
.
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนตุลาคม 2568” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,126 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 28-31 ตุลาคม 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนตุลาคม 2568 เฉลี่ย 4.02 คะแนนเท่ากับเดือนกันยายน 2568 ที่ได้ 4.02 คะแนน
.
ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ผลงานของฝ่ายค้าน เฉลี่ย 4.60 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ความโปร่งใส 3.58 คะแนน
.
นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน คือ อนุทิน ชาญวีรหกูล ร้อยละ 48.01 ด้านนักการเมืองฝ่ายค้านที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน คือ รักชนก ศรีนอก ร้อยละ 37.85
.
ผลงานฝ่ายรัฐบาล ที่ชื่นชอบประจำเดือน คือ เปิดใช้จ่ายคนละครึ่งพลัส ร้อยละ 64.42 ผลงานฝ่ายค้านที่ชื่นชอบประจำเดือน
คือ ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ร้อยละ 53.34
.
ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ดัชนีการเมืองไทยเดือนตุลาคม 2568 ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้าสะท้อนภาพรวมที่ประชาชน “เฝ้าดูแต่ยังไม่มั่นใจ” ต่อผลงานรัฐบาลชุดนี้ แม้จะพยายามเร่งขับเคลื่อนนโยบายทั้งคนละครึ่งพลัส และการแก้ปัญหาไทย–กัมพูชา แต่กระแสสังคมต่อประเด็น”สแกมเมอร์” และกรณี MOU แรร์เอิร์ธ ยังเป็นเรื่องที่ถูกตั้งคำถามทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นรวมถึงความโปร่งใสของรัฐบาลในสายตาประชาชน
.
นางสาวเบญจพร พึงไชย ประธานหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิเคราะห์ว่า เดือนตุลาคมกล่าวได้ว่ามีสถานการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการเมือง ส่วนของรัฐบาลที่ดูเหมือนจะต้องพยายามรักษาความเป็นรัฐบาลในระยะเวลา 4 เดือนให้ได้ แต่ด้วยเหตุการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย – กัมพูชา ที่ยืดเยื้อแผ่ขยายไปถึงเรื่องสแกมเมอร์ การฟอกเงิน รวมไปถึงการค้ามนุษย์ และที่สำคัญคงหนีไม่พ้นประเด็น MOU แรร์เอิร์ธ ที่ประชาชนไม่ได้รับทราบมาก่อนซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนนี้
JJNY : กมธ.เสียงแตกควรมีส.ส.ร.หรือไม่│สุดารัตน์จี้รัฐบาลเร่งปราบ│ดัชนีการเมืองไทยต.ค.ทรงตัว│ยูเครนส่งหน่วยรบพิเศษปกป้อง
.
.