ในการปะทะทางอากาศ J-10C เทียบชั้นกับ Rafale ได้อย่างไร?

ในการปะทะทางอากาศ J-10C เทียบชั้นกับ Rafale ได้อย่างไร?
การที่กองทัพอากาศปากีสถานอ้างว่าสามารถยิงเครื่องบินรบ Rafale ของอินเดียตกด้วยเครื่องบิน J-10C Vigorous Dragon ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าจับตาอย่างยิ่งในเวทีความมั่นคงระหว่างประเทศ และยังสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของเครื่องบินทั้งสองแบบ

มีรายงานว่าในการปะทะทางอากาศระหว่างอินเดียและปากีสถานเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม เครื่องบินรบ Rafale ของอินเดียพ่ายแพ้ให้กับ J-10C ของปากีสถาน ซึ่งสร้างความสนใจอย่างกว้างขวางในระดับนานาชาติ หากข้อกล่าวหานี้ได้รับการยืนยัน นี่จะเป็นการสูญเสียครั้งแรกของ Rafale ซึ่งผลิตโดยบริษัท Dassault ของฝรั่งเศส และอาจถือเป็นความสำเร็จเชิงสัญลักษณ์ของเทคโนโลยีการทหารจีนเหนือเครื่องบินมาตรฐานนาโต้

แม้ว่า J-10C ซึ่งพัฒนาโดย Chengdu Aircraft Industry Group ของจีน จะมีราคาต่อเครื่องราว 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่มีเพียงปากีสถานเท่านั้นที่เป็นผู้ใช้งานนอกประเทศจีน ในขณะที่ Rafale ถูกใช้งานโดยหลายประเทศ เช่น กรีซ อียิปต์ อินโดนีเซีย และล่าสุดอินเดียที่เพิ่งสั่งเพิ่มอีก 26 ลำด้วยงบประมาณกว่า 7.4 พันล้านดอลลาร์

ทั้งสองรุ่นจัดอยู่ในกลุ่มเครื่องบินขับไล่ "รุ่น 4.5" ซึ่งเป็นการพัฒนาจากเครื่องบินยุคเก่า แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ถือเป็น "รุ่นที่ 5" อย่างเต็มตัว

ด้านระบบเรดาร์ ทั้ง Rafale และ J-10C ต่างก็ติดตั้งเรดาร์ AESA ซึ่งทันสมัย แต่มีความแตกต่างกันเล็กน้อยในด้านขนาดและระยะการตรวจจับ Rafale ใช้เรดาร์ RBE2-AA ที่สามารถสแกนได้ในมุมกว้าง 140 องศา มีระยะทำการราว 200 กิโลเมตร ส่วน J-10C มีเรดาร์ที่มีหน้ากว้างกว่า ทำให้สามารถบรรจุหน่วยสแกนได้มากขึ้น แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรุ่นอย่างเป็นทางการ

ความสามารถทางเรดาร์อาจส่งผลต่อการรับรู้สถานการณ์ในการรบ แต่ยังต้องพิจารณาระบบสนับสนุนจากภาคพื้นและเครื่องบิน AEW&C ด้วย ซึ่ง J-10C นั้นสามารถเชื่อมต่อกับระบบจีนได้โดยตรง ในขณะที่ Rafale ของอินเดียอาจมีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้กับระบบรัสเซียและอิสราเอล

เรื่องยุทโธปกรณ์ แม้ว่า J-10C จะบรรทุกอาวุธได้เพียง 6 ตัน จากจุดติดตั้ง 11 จุด แต่ก็เพียงพอสำหรับภารกิจที่เน้นความเร็วและความคล่องตัว Rafale นั้นมีจุดติดตั้งถึง 14 จุด บรรทุกได้มากถึง 9 ตัน และสามารถติดตั้งอาวุธหลากหลายชนิด รวมถึงขีปนาวุธนิวเคลียร์

การรบเมื่อไม่นานมานี้เน้นที่การยิงขีปนาวุธนอกระยะสายตา (BVR) ซึ่งเป็นจุดเด่นของ J-10C ด้วย PL-15E ที่ใช้เรดาร์ AESA และยิงได้ไกลถึง 145 กม. ส่วน Rafale ใช้ Meteor ที่มีพิสัยไกลถึง 200 กม. ด้วยระบบขับเคลื่อนแบบแรมเจ็ต

แม้จะไม่มีหลักฐานว่าราฟาลของอินเดียยิงขีปนาวุธ Meteor ในการรบครั้งนี้ แต่พบเศษซากที่คาดว่าเป็นขีปนาวุธ PL-15E ฝั่งปากีสถาน และมีภาพถ่ายชิ้นส่วนที่น่าจะมาจากเครื่องบินอินเดียซึ่งติดตั้งขีปนาวุธอินฟราเรด MICA ซึ่งมีพิสัยสั้นกว่า

ด้านสมรรถนะทางกายภาพ ทั้งสองลำมีขนาดใกล้เคียงกัน และออกแบบปีกแบบแคนาร์ด-เดลต้าเพื่อเพิ่มแรงยกและความคล่องตัว Rafale ใช้เครื่องยนต์คู่ Snecma M88 ให้แรงขับรวม 150 กิโลนิวตัน ส่วน J-10C ใช้เครื่องยนต์เดี่ยว WS-10B ที่ให้แรงขับราว 130-140 กิโลนิวตัน

ในแง่ของพิสัยการรบ Rafale มีความได้เปรียบชัดเจน โดยสามารถบินได้ไกลถึง 1,850 กม. หากติดถังเชื้อเพลิงภายนอกสามถัง ขณะที่ J-10C ทำได้เพียง 1,240 กม. ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน

Rafale ยังได้เปรียบในด้านบทบาทการรบที่หลากหลาย ทั้งภารกิจเหนือฟ้า โจมตีภาคพื้น ลาดตระเวน และการข่มขู่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ โดยสามารถใช้จากฐานบกและเรือบรรทุกเครื่องบิน อีกทั้งยังสามารถติดอาวุธเช่น SCALP-EG (Storm Shadow) ที่ยิงได้ไกล 550 กม. และระเบิด Hammer ที่ยิงได้ไกล 60 กม.

ในทางกลับกัน J-10C เป็นการพัฒนาต่อเนื่องจาก J-10 รุ่นแรกในปี 2003 โดยเน้นการรบทางอากาศและการสกัดกั้น จึงไม่เน้นบทบาทการใช้งานหลากหลายเหมือน Rafale แต่ก็มีระบบควบคุมการบินและเครื่องยนต์ที่พัฒนาให้ทัดเทียมเครื่องบินรุ่นใหม่อย่าง J-20

ความได้เปรียบที่แท้จริงของ J-10C อยู่ที่การรวมศูนย์ข้อมูลกับระบบของจีน ซึ่งช่วยให้การประสานงานเรดาร์ ขีปนาวุธ และการรบ BVR มีประสิทธิภาพ แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องระยะและน้ำหนักบรรทุก

ความสามารถเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยสำคัญในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 29-30 เมษายน ที่เครื่องบิน Rafale ของอินเดียถูกสกัดโดยฝูงบิน J-10C ของปากีสถาน ซึ่งปฏิบัติการใกล้เส้นควบคุมแคชเมียร์ รายงานระบุว่าอุปกรณ์สงครามอิเล็กทรอนิกส์ของปากีสถานสามารถรบกวนระบบเซ็นเซอร์ของ Rafale ได้ ส่งผลให้เครื่องบินอินเดียต้องถอยกลับไป

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่