เช็กด่วน! 5 โรคร้ายใกล้ตัว ถ้าไม่อยากตายผ่อนส่ง ต้องอ่าน!
“หมอเจด” เตือน 5 โรคร้ายที่มากับความดันสูงที่คุณอาจไม่รู้ตัว! รู้ก่อนสาย ป้องกันไว้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ออกมาเปิดเผยผ่านเพจ “หมอเจด“ ระบุว่า แต่หลายคนก็ยังมองข้าม ปล่อยให้มันสูง แล้วรู้ไหมว่า ซึ่งถ้าปล่อยไปนาน ๆ โรคร้ายต่าง ๆ ก็จะตามมาแบบไม่รู้ตัว
วันนี้เรามาคุยกันว่า “5 โรคที่คุณจะเจอถ้าไม่คุมความดันให้ดี” มีอะไรบ้าง และลดความดันยังไงนะครับ
1. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ถ้าความดันของคุณสูงต่อเนื่อง สิ่งแรกที่มีปัญหาได้เลยคือ “สมอง” เพราะเส้นเลือดที่เลี้ยงสมองมันบอบบางมาก ๆ พอความดันสูงไปเรื่อย ๆ ผนังหลอดเลือดก็อ่อนแอ สุดท้ายมันก็อาจแตกหรืออุดตันได้ เมื่อหลอดเลือดในสมองแตก จะเกิดภาวะเลือดออกในสมอง ผู้ป่วยจะมีอาการทันที เช่น ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจถึงขั้นหมดสติ ส่วนถ้าหลอดเลือดอุดตัน สมองก็จะขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้เนื้อสมองส่วนที่ขาดเลือดตาย ทำให้อาการอัมพาต ติดเตียง หรือการสูญเสียความสามารถบางอย่าง เช่น การพูดหรือการรับรู้ ใครที่ความดันสูงแล้วยังปล่อยไปไม่สนใจ ระวังนะ โรคนี้มันมาเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว
2. โรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic Heart Disease) หัวใจของเราคือปั๊มที่ทำงานตลอดเวลา ถ้าความดันโลหิตสูง หัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้นเรื่อย ๆ กล้ามเนื้อหัวใจจะหนาขึ้นเพื่อรับมือกับความดันที่สูง แต่การหนาขึ้นนี้ไม่ได้ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น มันทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นและเสี่ยงที่จะเกิดปัญหา เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ (หลอดเลือดโคโรนารี) ก็จะเริ่มเสื่อมสภาพ หลอดเลือดแข็งและตีบแคบ ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ อาจทำให้รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอกเวลาเดินหรือออกแรง และถ้าอาจเกิดเส้นเลือดอุดตันกะทันหัน ตามมาด้วยหัวใจวายเฉียบพลันได้ (Myocardial Infarction) อาจทำให้เสียชีวิตได้ทันที
3. โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease) ไตของเราทำหน้าที่กรองของเสียและควบคุมสมดุลของเกลือและน้ำในร่างกาย ถ้าความดันโลหิตสูงต่อเนื่อง หลอดเลือดเล็ก ๆ ที่ไปเลี้ยงไตจะเริ่มเสียหาย การไหลเวียนของเลือดในไตแย่ลง ไตก็เริ่มเสื่อม โรคไตเรื้อรังมักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เมื่อไตเสื่อมมากขึ้น คุณจะเริ่มรู้สึกเหนื่อยง่าย บวมที่เท้าและขา ปัสสาวะน้อยลง หรือปัสสาวะมีฟองมากเพราะโปรตีนรั่วออกมา และในกรณีที่ร้ายแรงสุดก็คือไตวาย ต้องฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต การที่ต้องฟอกไต 3 ครั้งต่อสัปดาห์คือสิ่งที่ไม่มีใครอยากเจอ ถ้าคุมความดันโลหิต ก็จะลดความเสี่ยงไตวายได้นะ
4. ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure)ถ้าความดันโลหิตสูงทำให้หัวใจต้องทำงานหนักตลอดเวลา กล้ามเนื้อหัวใจจะหนาขึ้นจนถึงจุดที่มันเริ่มอ่อนแรง ไม่สามารถบีบตัวได้เต็มที่ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่พอ เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว คนที่ป่วยหัวใจล้มเหลวจะรู้สึกเหนื่อยง่าย เดินนิดหน่อยก็หอบ บางคนต้องนอนหนุนหมอนสูงเพราะนอนราบแล้วหายใจไม่ออก อาจมีอาการบวมที่ขาและเท้าเพราะร่างกายสะสมของเหลว
5. ภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากความดันโลหิตสูง (Hypertensive Retinopathy) ความดันโลหิตสูงไม่ได้ทำร้ายแค่หัวใจ สมอง หรือไต แต่มันยังทำร้ายดวงตาของคุณได้ด้วย เส้นเลือดเล็ก ๆ ที่จอประสาทตามีความบอบบางมาก ถ้าความดันสูงต่อเนื่อง เส้นเลือดเหล่านี้จะแข็งและเปราะ ทำให้เกิดเลือดออกในจอประสาทตา หรือจอประสาทตาบวม คุณจะเริ่มมองเห็นไม่ชัดเหมือนมีหมอกบาง ๆ บดบัง อาจเห็นจุดดำลอยไปมา หรือแย่กว่านั้นคือสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
เชื่อว่าไม่มีใครอยากเจอ 5 โรคที่ผมพูดมานะ
ถ้าใครที่มีความดันสูง ต้องรีบคุมดี ๆ วิธีก็ไม่ยากครับ ทำตามนี้เลย
วัดความดันเป็นประจำ ทั้งที่บ้านและที่คลินิก
กินอาหารสุขภาพ ลดเกลือ น้ำตาล และไขมันทรานส์
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องหนักมาก แต่ให้สม่ำเสมอ
เลิกบุหรี่ ลดแอลกอฮอล์ เพราะทั้งสองอย่างนี้ทำให้ความดันพุ่ง
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้หัวใจและร่างกายได้ฟื้นฟู
จัดการความเครียด ซึ่งก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความดันโลหิต
ถ้าหมอให้ยาคุมความดัน อย่าลืมทานยา อย่าคิดว่า “ไม่มีอาการก็ไม่ต้องกิน”
แค่ทำตามที่แนะนำ ก็จะลดความดัน รวมถึงลดความเสี่ยง 5 โรคที่จะตามมานะครับ...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4709014/
ก้างปลาพิฆาต! หนุ่ม 29 ดับ เพราะเชื่อวิธีแก้แบบผิดๆสุดอันตราย
ใครชอบกินปลาต้องดู! หนุ่มวัย 29 ปี ซวยสุดๆ ก้างปลาทำชีวิตเปลี่ยน! วิธีแก้ตามความเชื่อที่คิดว่าดี สุดท้ายกลับกลายเป็นหายนะถึงแก่ชีวิต
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. สำนักข่าวต่างประเทศ ได้รายงานเหตุการณ์สลดของหนุ่มวัย 29 ปี ชาวจีนรายหนึ่ง ต้องเสียชีวิตอย่างน่าเศร้า หลังถูกก้างปลาทิ่มคอขณะรับประทานปลาทูต้มซีอิ๊ว และพยายามแก้ไขด้วยวิธีผิดๆ ตามความเชื่อพื้นบ้าน
รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า หลังจากถูกก้างปลาติดคอ ชายเคราะห์ร้ายรายนี้ได้ดื่มน้ำส้มสายชูและกลืนข้าวสวยลงไปหลายคำ หวังให้ก้างปลาอ่อนตัวและหลุดลงไปได้ อย่างไรก็ตาม ในวันรุ่งขึ้น เขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงขณะกลืนอาหาร และเริ่มมีอาการอาเจียนเป็นเลือด ญาติจึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล
แพทย์ทำการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน และพบก้างปลามีความยาวถึง 5 เซนติเมตร ปักทะลุหลอดอาหารส่วนบน และแทงทะลุเข้าสู่หลอดเลือดแดงใหญ่ที่ทรวงอก ส่งผลให้มีเลือดออกภายในจำนวนมาก แม้ทีมแพทย์จะพยายามผ่าตัดช่วยชีวิตอย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถยื้อชีวิตชายหนุ่มไว้ได้
แพทย์เตือนว่า การดื่มน้ำส้มสายชูและการกลืนข้าวเพื่อแก้ไขปัญหาก้างปลาติดคอเป็นวิธีที่ผิด และอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม วิธีที่ถูกต้องเมื่อถูกก้างปลาติดคอคือ ให้พยายามไอออกมาแรงๆ ก่อน หากมองเห็นก้างปลา สามารถใช้แหนบค่อยๆ คีบออกมาได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
นายแพทย์ฟาง กวนเจี๋ย ผู้อำนวยการแผนกเวชศาสตร์บูรณาการ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยการแพทย์ไทเป เคยให้คำแนะนำว่า ประชาชนไม่ควรรีบร้อนรับประทานอาหาร พูดคุยขณะทานอาหาร หรือดื่มซุปที่มีกระดูกหรือก้างปลาชิ้นใหญ่โดยไม่ระมัดระวัง หากเผลอกลืนสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้เข้าไป การพยายามกลืนน้ำมากๆ กลืนข้าวคำโตๆ ดื่มน้ำส้มสายชู หรือพยายามอาเจียนออก อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงได้
ควรยึดหลัก “4 ไม่ 1 เร็ว” คือ
ไม่กลืนอาหารเพิ่ม: การพยายามกลืนข้าวหรือน้ำเพื่อดันสิ่งแปลกปลอมลงไป อาจทำให้สิ่งนั้นติดลึกกว่าเดิม
ไม่ล้วงคอให้อาเจียน: การทำให้อาเจียนอาจกระตุ้นให้หลอดอาหารบีบรัด และหากมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือทะลุได้
ไม่ดื่มน้ำส้มสายชู: กรดหรือด่างในน้ำส้มสายชูไม่สามารถละลายก้างปลาได้ และอาจทำให้เยื่อบุทางเดินอาหารระคายเคือง
ไม่กินยาเอง: การรับประทานยาแก้ปวดหรือแก้อักเสบจะช่วยบรรเทาอาการได้เพียงชั่วคราว แต่สิ่งแปลกปลอมยังคงอยู่ และอาจทำให้การรักษาล่าช้า
รีบไปพบแพทย์: ควรไปพบแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก หรือแพทย์ระบบทางเดินอาหาร เพื่อให้แพทย์ช่วยนำสิ่งแปลกปลอมออก หากปล่อยไว้นาน อาจเกิดการติดเชื้อรุนแรง หรือทะลุ และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4709199/
หมอชี้นิสัย1อย่างที่ทำให้สมองคุณ ถูกทำร้ายอย่างรุนแรง
แพทย์เตือน! นิสัย 1 อย่างที่เสี่ยงทำลายสมองส่วนหน้า เสี่ยงโรคซึมเศร้า วิตกกังวล แนะวิธีเลิกติด เพื่อสุขภาพจิตที่ดี
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทรวงอกและการดูแลผู้ป่วยหนัก Huang Xuan เตือนว่าการใช้สมาร์ตโฟนอย่างแพร่หลายทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ติดพฤติกรรมการเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์อย่างไม่หยุดหย่อน รูปแบบการใช้ชีวิตที่คุ้นเคยนี้กำลังกัดกร่อนสุขภาพสมองของมนุษย์อย่างเงียบ ๆ
Huang Xuan ตั้งข้อสังเกตว่า หลายคนเพียงต้องการตรวจสอบข้อความอย่างรวดเร็ว แต่กลับใช้เวลาไปกับการเลื่อนโทรศัพท์ถึงสองชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว พฤติกรรมนี้เป็นอาการป่วยทางจิตเวชสมัยใหม่ที่เรียกว่า “โรคย้ำคิดทางดิจิทัล” และผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงกว่าที่ผู้คนคิด
Huang Xuan โพสต์ในหน้าแฟนเพจ Facebook ของเขาว่างานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Psychology แสดงให้เห็นว่า
การติดโทรศัพท์ในระยะยาว นำไปสู่การลดลงของปริมาตรของเนื้อสมองสีเทา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า 
ซึ่งเกี่ยวข้องกับสมาธิและการควบคุมแรงกระตุ้น การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างที่สำคัญเกิดขึ้น นั่นหมายความว่าการใช้โทรศัพท์มากเกินไปไม่เพียงแต่ทำให้ปวดตา แต่ยังอาจเป็นอันตรายต่อพื้นที่หลักของสมองที่ควบคุมสมาธิ ความจำ และการควบคุมตนเอง
หลายคนเชื่อว่าการทำงานหรือเรียนขณะเลื่อนโทรศัพท์สามารถประหยัดเวลาได้ แต่ Huang Xuan อธิบายว่าในความเป็นจริงแล้ว สมองของมนุษย์ไม่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างแท้จริง พฤติกรรมการสลับความสนใจบ่อย ๆ นี้ ทำให้สมองอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และความจำ 
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน PubMed พบว่าวัยรุ่นที่ใช้โทรศัพท์มือถือเกินวันละ 4 ชั่วโมง มีความจำในการทำงานและผลการเรียนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากความบกพร่องทางสติปัญญาแล้ว สุขภาพทางอารมณ์ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน Huang Xuan อ้างถึงงานวิจัยที่อธิบายว่าการใช้โซเชียลมีเดียและโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความภาคภูมิใจในตนเองที่ลดลง การสำรวจในปี 2021 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Psychiatry พบว่าวัยรุ่นที่เลื่อนโทรศัพท์มากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า
Huang Xuan เตือนว่าปัญหาทางอารมณ์เหล่านี้ ไม่ใช่ “คิดมาก” แต่เป็นการตอบสนองที่แท้จริงของสมองต่อ “ความเป็นพิษทางดิจิทัล” ความสว่างสูงและเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากหน้าจอโทรศัพท์จะกระตุ้นสมอง ทำให้เกิดอารมณ์ที่ไม่มั่นคงมากขึ้น และนำไปสู่วัฏจักรที่เลวร้ายของ “ยิ่งเลื่อน ยิ่งวิตกกังวล ยิ่งใช้ ยิ่งซึมเศร้า”
เพื่อลดผลกระทบที่เป็นอันตรายของอุปกรณ์ดิจิทัลต่อสมอง Huang Xuan แนะนำให้ใช้ “การอดอาหารทางดิจิทัล” ซึ่งก็คือการจัดสรรเวลา “ปลอดหน้าจอ” อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงในแต่ละวัน เพื่อทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น อ่านหนังสือ เดินเล่น หรือเพียงแค่อยู่เฉยๆ
Huang Xuan ยังอ้างถึงการทดลองแบบสุ่มในปี 2022 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cyberpsychology, Behavior, and Social Networking การทดลองนี้ แสดงให้เห็นว่าการไม่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวลาเพียง 7 วัน สามารถลดความเครียดและเพิ่มความสุขได้อย่างมีนัยสำคัญ
Huang Xuan เตือนว่าการเลื่อนโทรศัพท์มือถือไม่ใช่เรื่องผิด แต่พฤติกรรมการติดโทรศัพท์ในระยะยาว อาจกลายเป็นการทำร้ายตัวเองแบบเรื้อรัง เนื่องจากสมองของเราไม่มีตัวรับความรู้สึกเจ็บปวด เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น มักจะสายเกินไป Huang Xuan เน้นย้ำว่า “ทุกครั้งที่คุณเลื่อนหน้าจอ คุณกำลังใช้พลังความคิด ความจำ และความสุขของคุณ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องควบคุมสมองของคุณกลับคืนมา”...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4709048/
เช็กด่วน! 5 โรคร้ายใกล้ตัว, ก้างปลาพิฆาต! หนุ่ม 29 ดับ, นิสัย1อย่างที่ทำให้สมองคุณ ถูกทำร้ายอย่างรุนแรง
“หมอเจด” เตือน 5 โรคร้ายที่มากับความดันสูงที่คุณอาจไม่รู้ตัว! รู้ก่อนสาย ป้องกันไว้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ออกมาเปิดเผยผ่านเพจ “หมอเจด“ ระบุว่า แต่หลายคนก็ยังมองข้าม ปล่อยให้มันสูง แล้วรู้ไหมว่า ซึ่งถ้าปล่อยไปนาน ๆ โรคร้ายต่าง ๆ ก็จะตามมาแบบไม่รู้ตัว
วันนี้เรามาคุยกันว่า “5 โรคที่คุณจะเจอถ้าไม่คุมความดันให้ดี” มีอะไรบ้าง และลดความดันยังไงนะครับ
1. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ถ้าความดันของคุณสูงต่อเนื่อง สิ่งแรกที่มีปัญหาได้เลยคือ “สมอง” เพราะเส้นเลือดที่เลี้ยงสมองมันบอบบางมาก ๆ พอความดันสูงไปเรื่อย ๆ ผนังหลอดเลือดก็อ่อนแอ สุดท้ายมันก็อาจแตกหรืออุดตันได้ เมื่อหลอดเลือดในสมองแตก จะเกิดภาวะเลือดออกในสมอง ผู้ป่วยจะมีอาการทันที เช่น ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจถึงขั้นหมดสติ ส่วนถ้าหลอดเลือดอุดตัน สมองก็จะขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้เนื้อสมองส่วนที่ขาดเลือดตาย ทำให้อาการอัมพาต ติดเตียง หรือการสูญเสียความสามารถบางอย่าง เช่น การพูดหรือการรับรู้ ใครที่ความดันสูงแล้วยังปล่อยไปไม่สนใจ ระวังนะ โรคนี้มันมาเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว
2. โรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic Heart Disease) หัวใจของเราคือปั๊มที่ทำงานตลอดเวลา ถ้าความดันโลหิตสูง หัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้นเรื่อย ๆ กล้ามเนื้อหัวใจจะหนาขึ้นเพื่อรับมือกับความดันที่สูง แต่การหนาขึ้นนี้ไม่ได้ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น มันทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นและเสี่ยงที่จะเกิดปัญหา เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ (หลอดเลือดโคโรนารี) ก็จะเริ่มเสื่อมสภาพ หลอดเลือดแข็งและตีบแคบ ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ อาจทำให้รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอกเวลาเดินหรือออกแรง และถ้าอาจเกิดเส้นเลือดอุดตันกะทันหัน ตามมาด้วยหัวใจวายเฉียบพลันได้ (Myocardial Infarction) อาจทำให้เสียชีวิตได้ทันที
3. โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease) ไตของเราทำหน้าที่กรองของเสียและควบคุมสมดุลของเกลือและน้ำในร่างกาย ถ้าความดันโลหิตสูงต่อเนื่อง หลอดเลือดเล็ก ๆ ที่ไปเลี้ยงไตจะเริ่มเสียหาย การไหลเวียนของเลือดในไตแย่ลง ไตก็เริ่มเสื่อม โรคไตเรื้อรังมักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เมื่อไตเสื่อมมากขึ้น คุณจะเริ่มรู้สึกเหนื่อยง่าย บวมที่เท้าและขา ปัสสาวะน้อยลง หรือปัสสาวะมีฟองมากเพราะโปรตีนรั่วออกมา และในกรณีที่ร้ายแรงสุดก็คือไตวาย ต้องฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต การที่ต้องฟอกไต 3 ครั้งต่อสัปดาห์คือสิ่งที่ไม่มีใครอยากเจอ ถ้าคุมความดันโลหิต ก็จะลดความเสี่ยงไตวายได้นะ
4. ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure)ถ้าความดันโลหิตสูงทำให้หัวใจต้องทำงานหนักตลอดเวลา กล้ามเนื้อหัวใจจะหนาขึ้นจนถึงจุดที่มันเริ่มอ่อนแรง ไม่สามารถบีบตัวได้เต็มที่ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่พอ เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว คนที่ป่วยหัวใจล้มเหลวจะรู้สึกเหนื่อยง่าย เดินนิดหน่อยก็หอบ บางคนต้องนอนหนุนหมอนสูงเพราะนอนราบแล้วหายใจไม่ออก อาจมีอาการบวมที่ขาและเท้าเพราะร่างกายสะสมของเหลว
5. ภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากความดันโลหิตสูง (Hypertensive Retinopathy) ความดันโลหิตสูงไม่ได้ทำร้ายแค่หัวใจ สมอง หรือไต แต่มันยังทำร้ายดวงตาของคุณได้ด้วย เส้นเลือดเล็ก ๆ ที่จอประสาทตามีความบอบบางมาก ถ้าความดันสูงต่อเนื่อง เส้นเลือดเหล่านี้จะแข็งและเปราะ ทำให้เกิดเลือดออกในจอประสาทตา หรือจอประสาทตาบวม คุณจะเริ่มมองเห็นไม่ชัดเหมือนมีหมอกบาง ๆ บดบัง อาจเห็นจุดดำลอยไปมา หรือแย่กว่านั้นคือสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
เชื่อว่าไม่มีใครอยากเจอ 5 โรคที่ผมพูดมานะ
ถ้าใครที่มีความดันสูง ต้องรีบคุมดี ๆ วิธีก็ไม่ยากครับ ทำตามนี้เลย
วัดความดันเป็นประจำ ทั้งที่บ้านและที่คลินิก
กินอาหารสุขภาพ ลดเกลือ น้ำตาล และไขมันทรานส์
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องหนักมาก แต่ให้สม่ำเสมอ
เลิกบุหรี่ ลดแอลกอฮอล์ เพราะทั้งสองอย่างนี้ทำให้ความดันพุ่ง
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้หัวใจและร่างกายได้ฟื้นฟู
จัดการความเครียด ซึ่งก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความดันโลหิต
ถ้าหมอให้ยาคุมความดัน อย่าลืมทานยา อย่าคิดว่า “ไม่มีอาการก็ไม่ต้องกิน”
แค่ทำตามที่แนะนำ ก็จะลดความดัน รวมถึงลดความเสี่ยง 5 โรคที่จะตามมานะครับ...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4709014/
ก้างปลาพิฆาต! หนุ่ม 29 ดับ เพราะเชื่อวิธีแก้แบบผิดๆสุดอันตราย
ใครชอบกินปลาต้องดู! หนุ่มวัย 29 ปี ซวยสุดๆ ก้างปลาทำชีวิตเปลี่ยน! วิธีแก้ตามความเชื่อที่คิดว่าดี สุดท้ายกลับกลายเป็นหายนะถึงแก่ชีวิต
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. สำนักข่าวต่างประเทศ ได้รายงานเหตุการณ์สลดของหนุ่มวัย 29 ปี ชาวจีนรายหนึ่ง ต้องเสียชีวิตอย่างน่าเศร้า หลังถูกก้างปลาทิ่มคอขณะรับประทานปลาทูต้มซีอิ๊ว และพยายามแก้ไขด้วยวิธีผิดๆ ตามความเชื่อพื้นบ้าน
รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า หลังจากถูกก้างปลาติดคอ ชายเคราะห์ร้ายรายนี้ได้ดื่มน้ำส้มสายชูและกลืนข้าวสวยลงไปหลายคำ หวังให้ก้างปลาอ่อนตัวและหลุดลงไปได้ อย่างไรก็ตาม ในวันรุ่งขึ้น เขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงขณะกลืนอาหาร และเริ่มมีอาการอาเจียนเป็นเลือด ญาติจึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล
แพทย์ทำการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน และพบก้างปลามีความยาวถึง 5 เซนติเมตร ปักทะลุหลอดอาหารส่วนบน และแทงทะลุเข้าสู่หลอดเลือดแดงใหญ่ที่ทรวงอก ส่งผลให้มีเลือดออกภายในจำนวนมาก แม้ทีมแพทย์จะพยายามผ่าตัดช่วยชีวิตอย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถยื้อชีวิตชายหนุ่มไว้ได้
แพทย์เตือนว่า การดื่มน้ำส้มสายชูและการกลืนข้าวเพื่อแก้ไขปัญหาก้างปลาติดคอเป็นวิธีที่ผิด และอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม วิธีที่ถูกต้องเมื่อถูกก้างปลาติดคอคือ ให้พยายามไอออกมาแรงๆ ก่อน หากมองเห็นก้างปลา สามารถใช้แหนบค่อยๆ คีบออกมาได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
นายแพทย์ฟาง กวนเจี๋ย ผู้อำนวยการแผนกเวชศาสตร์บูรณาการ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยการแพทย์ไทเป เคยให้คำแนะนำว่า ประชาชนไม่ควรรีบร้อนรับประทานอาหาร พูดคุยขณะทานอาหาร หรือดื่มซุปที่มีกระดูกหรือก้างปลาชิ้นใหญ่โดยไม่ระมัดระวัง หากเผลอกลืนสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้เข้าไป การพยายามกลืนน้ำมากๆ กลืนข้าวคำโตๆ ดื่มน้ำส้มสายชู หรือพยายามอาเจียนออก อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงได้
ควรยึดหลัก “4 ไม่ 1 เร็ว” คือ
ไม่กลืนอาหารเพิ่ม: การพยายามกลืนข้าวหรือน้ำเพื่อดันสิ่งแปลกปลอมลงไป อาจทำให้สิ่งนั้นติดลึกกว่าเดิม
ไม่ล้วงคอให้อาเจียน: การทำให้อาเจียนอาจกระตุ้นให้หลอดอาหารบีบรัด และหากมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือทะลุได้
ไม่ดื่มน้ำส้มสายชู: กรดหรือด่างในน้ำส้มสายชูไม่สามารถละลายก้างปลาได้ และอาจทำให้เยื่อบุทางเดินอาหารระคายเคือง
ไม่กินยาเอง: การรับประทานยาแก้ปวดหรือแก้อักเสบจะช่วยบรรเทาอาการได้เพียงชั่วคราว แต่สิ่งแปลกปลอมยังคงอยู่ และอาจทำให้การรักษาล่าช้า
รีบไปพบแพทย์: ควรไปพบแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก หรือแพทย์ระบบทางเดินอาหาร เพื่อให้แพทย์ช่วยนำสิ่งแปลกปลอมออก หากปล่อยไว้นาน อาจเกิดการติดเชื้อรุนแรง หรือทะลุ และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4709199/
หมอชี้นิสัย1อย่างที่ทำให้สมองคุณ ถูกทำร้ายอย่างรุนแรง
แพทย์เตือน! นิสัย 1 อย่างที่เสี่ยงทำลายสมองส่วนหน้า เสี่ยงโรคซึมเศร้า วิตกกังวล แนะวิธีเลิกติด เพื่อสุขภาพจิตที่ดี
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทรวงอกและการดูแลผู้ป่วยหนัก Huang Xuan เตือนว่าการใช้สมาร์ตโฟนอย่างแพร่หลายทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ติดพฤติกรรมการเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์อย่างไม่หยุดหย่อน รูปแบบการใช้ชีวิตที่คุ้นเคยนี้กำลังกัดกร่อนสุขภาพสมองของมนุษย์อย่างเงียบ ๆ
Huang Xuan ตั้งข้อสังเกตว่า หลายคนเพียงต้องการตรวจสอบข้อความอย่างรวดเร็ว แต่กลับใช้เวลาไปกับการเลื่อนโทรศัพท์ถึงสองชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว พฤติกรรมนี้เป็นอาการป่วยทางจิตเวชสมัยใหม่ที่เรียกว่า “โรคย้ำคิดทางดิจิทัล” และผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงกว่าที่ผู้คนคิด
Huang Xuan โพสต์ในหน้าแฟนเพจ Facebook ของเขาว่างานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Psychology แสดงให้เห็นว่าการติดโทรศัพท์ในระยะยาว นำไปสู่การลดลงของปริมาตรของเนื้อสมองสีเทา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า
หลายคนเชื่อว่าการทำงานหรือเรียนขณะเลื่อนโทรศัพท์สามารถประหยัดเวลาได้ แต่ Huang Xuan อธิบายว่าในความเป็นจริงแล้ว สมองของมนุษย์ไม่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างแท้จริง พฤติกรรมการสลับความสนใจบ่อย ๆ นี้ ทำให้สมองอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และความจำ
นอกจากความบกพร่องทางสติปัญญาแล้ว สุขภาพทางอารมณ์ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน Huang Xuan อ้างถึงงานวิจัยที่อธิบายว่าการใช้โซเชียลมีเดียและโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความภาคภูมิใจในตนเองที่ลดลง การสำรวจในปี 2021 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Psychiatry พบว่าวัยรุ่นที่เลื่อนโทรศัพท์มากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า
Huang Xuan เตือนว่าปัญหาทางอารมณ์เหล่านี้ ไม่ใช่ “คิดมาก” แต่เป็นการตอบสนองที่แท้จริงของสมองต่อ “ความเป็นพิษทางดิจิทัล” ความสว่างสูงและเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากหน้าจอโทรศัพท์จะกระตุ้นสมอง ทำให้เกิดอารมณ์ที่ไม่มั่นคงมากขึ้น และนำไปสู่วัฏจักรที่เลวร้ายของ “ยิ่งเลื่อน ยิ่งวิตกกังวล ยิ่งใช้ ยิ่งซึมเศร้า”
เพื่อลดผลกระทบที่เป็นอันตรายของอุปกรณ์ดิจิทัลต่อสมอง Huang Xuan แนะนำให้ใช้ “การอดอาหารทางดิจิทัล” ซึ่งก็คือการจัดสรรเวลา “ปลอดหน้าจอ” อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงในแต่ละวัน เพื่อทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น อ่านหนังสือ เดินเล่น หรือเพียงแค่อยู่เฉยๆ
Huang Xuan ยังอ้างถึงการทดลองแบบสุ่มในปี 2022 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cyberpsychology, Behavior, and Social Networking การทดลองนี้ แสดงให้เห็นว่าการไม่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวลาเพียง 7 วัน สามารถลดความเครียดและเพิ่มความสุขได้อย่างมีนัยสำคัญ
Huang Xuan เตือนว่าการเลื่อนโทรศัพท์มือถือไม่ใช่เรื่องผิด แต่พฤติกรรมการติดโทรศัพท์ในระยะยาว อาจกลายเป็นการทำร้ายตัวเองแบบเรื้อรัง เนื่องจากสมองของเราไม่มีตัวรับความรู้สึกเจ็บปวด เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น มักจะสายเกินไป Huang Xuan เน้นย้ำว่า “ทุกครั้งที่คุณเลื่อนหน้าจอ คุณกำลังใช้พลังความคิด ความจำ และความสุขของคุณ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องควบคุมสมองของคุณกลับคืนมา”...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4709048/