ปวดคอ บ่า ไหล่ โรคฮิตหนุ่มสาวออฟฟิต และ 3 ท่าออกกำลังกาย ‘ผู้สูงวัย’ ห่างไกลโรค

ปวดคอ บ่า ไหล่ โรคฮิตหนุ่มสาวออฟฟิต : Tricks for Life

ในยุคของ Social media ผู้คนติดต่อสื่อสารกันผ่านโลกอินเตอร์เน็ต ติดสมาร์ทโฟน ติดแทปเลต ไอแพด ไอโฟน หันไปทางไหนจึงพบแต่คนก้มมองจอตลอดเวลา ซึ่งการก้มหน้าพิมพ์ตัวอักษรผ่านเครื่องมือซึ่งมีขนาดเล็ก ย่อมส่งผลให้ต้องก้มคอ คางยื่น หลังค่อม ไหล่งุ้ม ตัวงอมาด้านหน้า ฯลฯ ท่าทางทั้งหมดนั้นส่งผลเสียต่อโครงสร้างร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น

กระดูก (Skeletal Bone) เริ่มตั้งแต่กระดูกต้นคอ ก้านคอจนถึงหัวไหล่ แล้วต่อไปเป็นกระดูกต้นแขน แขน และกระดูกปลายแขน จนไปถึงนิ้วมือ ตั้งแต่ศีรษะ จรดปลายมือ กระดูกแต่ละชิ้นจะเชื่อมต่อกัน สรุปได้ว่าเมื่อมีการบาดเจ็บข้อต่อส่วนใดส่วนหนึ่งและไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องปัญหาก็จะกระทบไปถึงส่วนต้นและส่วนปลายของข้อนั้นๆ ด้วย

เส้นเอ็นที่เชื่อมข้อ / เยื่อที่เชื่อมกระดูกเข้าหากัน (Ligament / interosseous membrane) เป็นเยื่อหุ้มที่เป็นตัวเชื่อมกระดูกเข้าหากัน ซึ่งถ้ามีการบาดเจ็บเรื้อรังก็จะทำให้เยื่อตรงนี้เกิดพังผืด และทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรังได้

กล้ามเนื้อ (Muscle) กล้ามเนื้อเชื่อมต่อกันตั้งแต่คอมาที่หัวไหล่และต่อมาถึงแขน กล้ามเนื้อที่ไม่สมดุลเป็นตัวดึงให้ข้อต่อตั้งแต่คอ บ่าหน้าต่อหัวไหล่ ผิดไปจากแนวโครงสร้างฯ และทำให้เกิดอาการเจ็บปวด โดยเฉพาะกล้ามเนื้อด้านหน้าอก ซึ่งเกาะจากไหล่ไปอก เวลาอยู่ในท่างุ้มไหล่ หลังค่อม กล้ามเนื้อรั้งมากๆ ก็ดึงกระดูกหัวไหล่ให้ดันมาทางด้านหน้า มีผลดันเส้นประสาทด้านหน้า ซึ่งอาจทำให้เส้นเอ็นด้านหน้าหัวไหล่โดนเบียด เกิดการอักเสบ ปวดร้าวลงแขน หรืออาจไปดันเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขนให้ตึงตัวมาก จึงเกิดอาการปวดร้าวลงแขนได้

เส้นประสาทและเส้นเลือด เป็นเส้นเดียวกันตลอดแนวตั้งแต่คอจนถึงปลายมือเลยค่ะ เห็นไหมคะว่าเพียงการเล่นเกมส์ที่เราคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย การใช้ชีวิตประจำวันปกติของคนทำงานหรือการเล่นกีฬาที่ใครๆ คิดว่าน่าจะแข็งแรงไม่ควรเจ็บปวด กลับส่งผลต่อร่างกายจนถึงขั้นใช้แขนไม่ได้ สร้างความความหงุดหงิดรำคาญใจ ในการใช้ชีวิตประจำวัน

สาเหตุของการปวดคอ ปวดไหล่ ไหล่ติด
การปวดคอ ปวดไหล่ ไหล่ติด เกิดจากกล้ามเนื้อแต่ละส่วนที่อยู่รอบหัวไหล่ จะมีจุดเกาะเชื่อม มาจากคอเกือบทั้งสิ้น รวมทั้งลายกล้ามเนื้อก็ทอดพาดผ่านทั้งด้านหน้าและด้านหลังของหัวไหล่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมใดก็ตามที่คออยู่ในท่าก้ม คางยื่น หัวไหล่งุ้มงอ หลังค่อม ลำตัวก้มมาด้านหน้า ทั้งหมดนี้จะทำให้เกิดความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อด้านหน้าและด้านหลัง

ถ้าเป็นช่วงคอก็เสมือนคอถูกแรงดึงกระชากลงมาด้านหน้าตลอดเวลาที่นั่งผิด เกิดแรงอัดที่หมอนรองกระดูกคอ กล้ามเนื้อมัดลึกที่ให้ความมั่นคงของกระดูกคอจะอ่อนกำลังลง หมอนรองกระดูกคอจะแคบ เมื่อมีการกดเบียดที่รากประสาทก็จะทำให้มีอาการปวดลึกๆ แปลบๆ ร้าวมาด้านหน้าหัวไหล่ ร้าวลงศอก ร้าวมาต้นแขนด้านหลังและร้าวถึงสะบักก็เป็นได้
รู้เช่นนี้แล้ว ต้องเร่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะก่อให้เกิดปัญหากับร่างกายโดยด่วน
ขอบคุณ : คลินิกกายภาพบำบัดอริยะ ไลฟ์เซ็นเตอร์


3 ท่าออกกำลังกาย ‘ผู้สูงวัย’ ห่างไกลโรค

การดูแลสุขภาพของผู้สูงวัยไม่ใช่แค่เรื่องของอาหาร แต่การออกกำลังกายก็สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย
เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นเข้าสู่โหมดผู้สูงวัย สภาพร่างกายเสื่อมถอยลงตามไปด้วย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนเก่า ขณะที่การออกกำลังกายถือเป็นเรื่องหนึ่งที่ช่วยดูแลให้คนวัยนี้ยังมีสุขภาพที่ดี

“นพ.ขวัญ ศรีศิลปะ” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู อาจารย์แพทย์ศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการออกกำลังกายในผู้สูงวัย ว่า การดูแลสุขภาพของผู้สูงวัยไม่ใช่แค่เรื่องของอาหาร แต่ “การออกกำลังกาย” ก็สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย (Sarcopenia)

ทั้งนี้ การออกกำลังกาย คือกิจกรรมที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของร่างกายเพิ่มความยืดหยุ่น รักษาความสมดุล และลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรัง อาทิ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น เดิน ว่ายน้ำ โยคะ เป็นต้น และควรเริ่มจากกิจกรรมเบาๆ แล้วค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นตามความสามารถ

นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงการอยู่เฉยเกิน 30 นาที ระหว่างวันก็มีความสำคัญ โดยควรขยับร่างกายเป็นระยะๆ เพื่อสุขภาพที่ดี

3 ท่าออกกำลังกายที่ควรรู้ สามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรง และลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม

1.Aerobic Exercise 150 นาทีต่อสัปดาห์ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต

-เดินออกกำลังกาย วันละ 15 นาที ค่อยๆเพิ่มจนได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ และควรมีคนไปเดินด้วย


2. Strengthening Exercise 2-3 วันต่อสัปดาห์  เน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

-การลุกนั่ง

-การเขย่งเท้า

-การเตะขาท่านั่ง

-งอศอก

-เหยียดกล้ามเนื้อต้นแขนหลัง

-เหยียดกล้ามเนื้อหลัง

-เหยียดกล้ามเนื้อสะโพก


3. Balance Training 2-3 วันต่อสัปดาห์  ฝึกการทรงตัว และลดโอกาสในการหกล้ม

-ท่ายืนขาเดียว

-ยืนท่ายกน้ำหนัก

-เดินเขย่งเท้า

-เดินปู...

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4692413/



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่