“ชัชชาติ”เผยแนวคิดเจรจารัฐบาลโอนรถไฟฟ้าสายสีเขียวแก้ภาระ ขาดทุนค่าเดินรถส่วนต่อขยายปีละ 6,000 ล้านบาท หวังนำงบไปใช้ภารกิจอื่นของกทม. ชี้รวมศูนยบริหารระบบรางที่”คมนาคม” จัดการค่าโดยสารร่วมได้ง่าย ประชาชนได้ประโยชน์ และขอรถเมล์มาดูแลเอง
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กทม.มีแนวคิดที่จะเจรจากับรัฐบาลเพื่อขอโอนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กระทรวงคมนาคมรับผิดชอบ เนื่องจากเห็นว่า รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯควรมีผู้บริหารจัดการหน่วยงานเดียว (Single Owner) เพราะจะทำให้การบริหารจัดการ การกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เป็นราคาเดียวกันได้ง่าย นอกจากนี้ การบริหารจัดการต้นทุน จะมีผลต่อการลงทุน โครงการสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย ช่วงบางหว้า - ตลิ่งชัน ที่จะขยายไปถึงถนนราชพฤกษ์ ซึ่งมีที่อาศัยจำนวนมากในอนาคตอีกด้วย
ทั้งนี้ หากมีการเจรจาหารือกับรัฐบาล ในโอนสายสีเขียวให้กระทรวงคมนาคม กทม.จะต้องคำนวณภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่มีด้วย เช่น
ค่างานระบบ E&M ของส่วนต่อขยาย ที่กทม.จ่ายไปรวมถึงสัมปทานหลักช่วงหมอชิต-อ่อนนุชและช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน
“ที่ผ่านมา กทม. ต้องนำงบประมาณ ไปใช้สำหรับ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ลอย่างมาก ดังนั้นหากสามารถโอนให้กระทรวงคมนาคม จะทำให้นำงบประมาณ ไปใช้ในภารกิจอื่นของกทม.มากขึ้น เช่น บริหารจัดการรถเมล์ ที่เข้าถึงพื้นที่ กทม. ได้ทั่วถึงกว่า เป็นต้น”นายชัชชาติกล่าว
@หนี้เดินรถเยอะ แบกไม่ไหว ต้นตอแนวคิดยกสัมปทานให้รัฐบาล
ด้านนายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า การที่ระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล มีผู้บริหารจัดการหน่วยงานเดียว จะมีผลดีต่อประชาชนในเรื่องการกำหนดอัตราค่าโดยสารเป็นหนึ่งเดียว ส่วนกทม.เอง ปัจจุบันต้องแบกภาระต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงอ่อนนุช - แบริ่งและช่วงสะพานตากสิน - บางหว้าและส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง - เคหะสมุทรปราการและช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต ที่มีผลขาดทุนประมาณ 6,000 ล้านบาท/ปี เนื่องจากมีต้นทุนการเดินรถอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท/ปี แต่เก็บค่าโดยสารเพียง 15 บาทตลอดสาย ทำให้มี รายได้เพียง 2,000 ล้านบาท/ปี เท่านั้น ที่ผ่านมาจึงต้องของบประมาณมาอุดหนุนส่วนที่ขาดทุนมาโดยตลอด
ดังนั้น หากมีคืนเฉพาะส่วนต่อขยายไปให้รัฐบาล จะทำให้กทม.มีเงินประมาณ 8,000 ล้านบาท/ปี ไปทำอย่างภารกิจอื่นๆของกทม.ได้ นอกจากนี้ กทม.มีแนวคิดที่จะขอแก้ระเบียบกฎหมาย ในการของนำกิจการรถเมล์มาดูแลเอง เพราะปัจจุบัน องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) อยู่ภายใต้กระทรวงคมนาคม หากกทม.ได้กำกับเอง ก็จะทำให้การบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนในกทม.ดีขึ้น
นายวิศณุกล่าวถึง นโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทุกเส้นทางของกระทรวงคมนาคม ว่า หากมีการโอนรถไฟฟ้าสายสีเขียวไปบริหารที่กระทรวงคมนาคม น่าจะทำให้นโยบายนี้เกิดง่ายขึ้น แต่ตอนนี้ตัวเส้นทางหลัก ยังอยู่ในสัญญาสัมปทานที่จะหมดอายุลงในปี 2572 หรือเหลือเวลาอีก 4 ปีจากนี้ ซึ่งช่วงนี้ กทม.ได้มีการจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการศึกษาการร่วมลงทุนตามเงื่อนไขตามพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 (PPP) เพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุด โดยการยกโครงการให้รัฐบาลดูแลต่อ ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการศึกษาด้วย
“การโอนสายสีเขียวให้กระทรวงคมนาคมนั้นควรรอให้สายสีเขียวหมดสัมปทานในปี 2572 ก่อนหรือไม่ นั้น เรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ซึ่งตนเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องรอสัมปทานหมดปี 2572 ส่วนการที่กทม.จ้างศึกษาความเป็นไปได้ ก็เป็นไปตามพ.ร.บ.ร่วมทุน พ.ศ. 2562 ซึ่งในสัญญาสัมปทาน ระบุไว้ชัดเจนว่าให้ศึกษาแนวทางก่อนสัมปทานหมด 5 ปี กทม.อยู่ในช่วง พิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุด เช่น กทม.รับผิดชอบต่อ จะประมูลใหม่ หรือย่างไร หรือยกให้รัฐบาล ซึ่งในส่วนของการศึกษาคาดว่า จะสรุปได้ไม่เกิน 1 ปีหลังจากนี้” นายวิศณุกล่าว
รายงานข่าวระบุว่า แนวคิดการโอนรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้รัฐบาล เพราะ รถไฟฟ้าสายสีเขียวมีภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากโดยเฉพาหนี้ค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยาย 1 และ 2 ซึ่งมีต้นทุนการเดินรถ ที่ 48 บาท/เที่ยว-คน แต่ปัจจุบันจัดเก็บค่าโดยสารจริงแค่ 15 บาท/เที่ยว-คน ขณะที่การปรับค่าโดยสารขึ้น ค่อนข้างยาก เพราะจะมีผลกระทบต่อประชาชน หากไม่ปรับแล้วรัฐบาลเข้ามาช่วยอุดหนุนผลขาดทุน ปีละ 6,000 ล้านบาท ก็เป็นอีกแนวทางที่กทม.คาดหวัง
“หากไม่มีการช่วยอุดหนุน ผลขาดทุน ปีละ 6,000 ล้านบาท ของส่วนต่อขยาย 1,2 ก็อาจจะคืนสัมปทานทั้งหมดไป แต่ต้องขึ้นอยู่กับการเจรจาด้วยเพราะถ้าจะต้องเอาสัมปทานให้รัฐบาลจริงๆ กทม.ก็ขอคิดค่า้จ่ายที่กทม.เสียไปก่อนหน้านี้คืนกลับมา ทั้งค่าติดตั้งระบบเดินรถ (E&M) งานก่อสร้างโครงการส่วนต่อขยายที่ 1 ซึ่งเป็นตัวเลขหฃายหมื่นล้านบาทอยู่” แหล่งข่าวกล่าว
ปัจจุบันกทม.มีภาระ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวปัจจุบัน ได้แก่ ค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ผลขาดทุน ปีละ 6,000 ล้านบาท ,ค่าจ้างติดตั้งงานระบบเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) (E&M) ส่วนต่อขยาย 2 จำนวนเงิน 23,000 ล้านบาท ,ค่างานก่อสร้างโครงการส่วนต่อขยายที่ 1 และภาระหนี้งานโครงสร้างพื้นฐานระหว่างกทม.กับกระทรวงการคลัง เกี่ยวเนื่องกับการรับโอนทรัพย์สินและหนี้สินส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต และช่วงแบริ่ง - เคหะสมุทรปราการ จากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มูลค่ารวม 56,112 ล้านบาท ซึ่งกทม.ยังไม่ได้จ่ายเงินต้น จ่ายแต่ดอกเบี้ยปีละ 500 ล้านบาท
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้กทม. จ้างศึกษารูปแบบการลงทุนตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน 2562 โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวแล้ว โดยมี บริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด , มหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส เอบีเอเอส จำกัด เป็นที่ปรึกษา ระยะเวลาการศึกษาโครงการวันที่ 1 พ.ค. 2568 - 25 ม.ค. 2569 (ระยะเวลา 270 วัน) วงเงิน 27 ล้านบาท
https://mgronline.com/business/detail/9680000043715?tbref=hp
พอจะทำ 20 บาทตลอดสายแบบนี้ก็ขาดทุนยับยกให้รัฐบาลไปเลย แบบนี้ทำตั๋วร่วมง่ายกว่า เรื่องนี้คือผมบอกตรงๆว่าคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะไม่ได้ต่อสัมปทาน
“ชัชชาติ”เผยแนวคิดยก BTS สายสีเขียว ให้รัฐบาล
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กทม.มีแนวคิดที่จะเจรจากับรัฐบาลเพื่อขอโอนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กระทรวงคมนาคมรับผิดชอบ เนื่องจากเห็นว่า รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯควรมีผู้บริหารจัดการหน่วยงานเดียว (Single Owner) เพราะจะทำให้การบริหารจัดการ การกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เป็นราคาเดียวกันได้ง่าย นอกจากนี้ การบริหารจัดการต้นทุน จะมีผลต่อการลงทุน โครงการสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย ช่วงบางหว้า - ตลิ่งชัน ที่จะขยายไปถึงถนนราชพฤกษ์ ซึ่งมีที่อาศัยจำนวนมากในอนาคตอีกด้วย
ทั้งนี้ หากมีการเจรจาหารือกับรัฐบาล ในโอนสายสีเขียวให้กระทรวงคมนาคม กทม.จะต้องคำนวณภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่มีด้วย เช่น
ค่างานระบบ E&M ของส่วนต่อขยาย ที่กทม.จ่ายไปรวมถึงสัมปทานหลักช่วงหมอชิต-อ่อนนุชและช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน
“ที่ผ่านมา กทม. ต้องนำงบประมาณ ไปใช้สำหรับ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ลอย่างมาก ดังนั้นหากสามารถโอนให้กระทรวงคมนาคม จะทำให้นำงบประมาณ ไปใช้ในภารกิจอื่นของกทม.มากขึ้น เช่น บริหารจัดการรถเมล์ ที่เข้าถึงพื้นที่ กทม. ได้ทั่วถึงกว่า เป็นต้น”นายชัชชาติกล่าว
@หนี้เดินรถเยอะ แบกไม่ไหว ต้นตอแนวคิดยกสัมปทานให้รัฐบาล
ด้านนายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า การที่ระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล มีผู้บริหารจัดการหน่วยงานเดียว จะมีผลดีต่อประชาชนในเรื่องการกำหนดอัตราค่าโดยสารเป็นหนึ่งเดียว ส่วนกทม.เอง ปัจจุบันต้องแบกภาระต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงอ่อนนุช - แบริ่งและช่วงสะพานตากสิน - บางหว้าและส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง - เคหะสมุทรปราการและช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต ที่มีผลขาดทุนประมาณ 6,000 ล้านบาท/ปี เนื่องจากมีต้นทุนการเดินรถอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท/ปี แต่เก็บค่าโดยสารเพียง 15 บาทตลอดสาย ทำให้มี รายได้เพียง 2,000 ล้านบาท/ปี เท่านั้น ที่ผ่านมาจึงต้องของบประมาณมาอุดหนุนส่วนที่ขาดทุนมาโดยตลอด
ดังนั้น หากมีคืนเฉพาะส่วนต่อขยายไปให้รัฐบาล จะทำให้กทม.มีเงินประมาณ 8,000 ล้านบาท/ปี ไปทำอย่างภารกิจอื่นๆของกทม.ได้ นอกจากนี้ กทม.มีแนวคิดที่จะขอแก้ระเบียบกฎหมาย ในการของนำกิจการรถเมล์มาดูแลเอง เพราะปัจจุบัน องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) อยู่ภายใต้กระทรวงคมนาคม หากกทม.ได้กำกับเอง ก็จะทำให้การบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนในกทม.ดีขึ้น
นายวิศณุกล่าวถึง นโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทุกเส้นทางของกระทรวงคมนาคม ว่า หากมีการโอนรถไฟฟ้าสายสีเขียวไปบริหารที่กระทรวงคมนาคม น่าจะทำให้นโยบายนี้เกิดง่ายขึ้น แต่ตอนนี้ตัวเส้นทางหลัก ยังอยู่ในสัญญาสัมปทานที่จะหมดอายุลงในปี 2572 หรือเหลือเวลาอีก 4 ปีจากนี้ ซึ่งช่วงนี้ กทม.ได้มีการจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการศึกษาการร่วมลงทุนตามเงื่อนไขตามพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 (PPP) เพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุด โดยการยกโครงการให้รัฐบาลดูแลต่อ ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการศึกษาด้วย
“การโอนสายสีเขียวให้กระทรวงคมนาคมนั้นควรรอให้สายสีเขียวหมดสัมปทานในปี 2572 ก่อนหรือไม่ นั้น เรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ซึ่งตนเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องรอสัมปทานหมดปี 2572 ส่วนการที่กทม.จ้างศึกษาความเป็นไปได้ ก็เป็นไปตามพ.ร.บ.ร่วมทุน พ.ศ. 2562 ซึ่งในสัญญาสัมปทาน ระบุไว้ชัดเจนว่าให้ศึกษาแนวทางก่อนสัมปทานหมด 5 ปี กทม.อยู่ในช่วง พิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุด เช่น กทม.รับผิดชอบต่อ จะประมูลใหม่ หรือย่างไร หรือยกให้รัฐบาล ซึ่งในส่วนของการศึกษาคาดว่า จะสรุปได้ไม่เกิน 1 ปีหลังจากนี้” นายวิศณุกล่าว
รายงานข่าวระบุว่า แนวคิดการโอนรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้รัฐบาล เพราะ รถไฟฟ้าสายสีเขียวมีภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากโดยเฉพาหนี้ค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยาย 1 และ 2 ซึ่งมีต้นทุนการเดินรถ ที่ 48 บาท/เที่ยว-คน แต่ปัจจุบันจัดเก็บค่าโดยสารจริงแค่ 15 บาท/เที่ยว-คน ขณะที่การปรับค่าโดยสารขึ้น ค่อนข้างยาก เพราะจะมีผลกระทบต่อประชาชน หากไม่ปรับแล้วรัฐบาลเข้ามาช่วยอุดหนุนผลขาดทุน ปีละ 6,000 ล้านบาท ก็เป็นอีกแนวทางที่กทม.คาดหวัง
“หากไม่มีการช่วยอุดหนุน ผลขาดทุน ปีละ 6,000 ล้านบาท ของส่วนต่อขยาย 1,2 ก็อาจจะคืนสัมปทานทั้งหมดไป แต่ต้องขึ้นอยู่กับการเจรจาด้วยเพราะถ้าจะต้องเอาสัมปทานให้รัฐบาลจริงๆ กทม.ก็ขอคิดค่า้จ่ายที่กทม.เสียไปก่อนหน้านี้คืนกลับมา ทั้งค่าติดตั้งระบบเดินรถ (E&M) งานก่อสร้างโครงการส่วนต่อขยายที่ 1 ซึ่งเป็นตัวเลขหฃายหมื่นล้านบาทอยู่” แหล่งข่าวกล่าว
ปัจจุบันกทม.มีภาระ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวปัจจุบัน ได้แก่ ค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ผลขาดทุน ปีละ 6,000 ล้านบาท ,ค่าจ้างติดตั้งงานระบบเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) (E&M) ส่วนต่อขยาย 2 จำนวนเงิน 23,000 ล้านบาท ,ค่างานก่อสร้างโครงการส่วนต่อขยายที่ 1 และภาระหนี้งานโครงสร้างพื้นฐานระหว่างกทม.กับกระทรวงการคลัง เกี่ยวเนื่องกับการรับโอนทรัพย์สินและหนี้สินส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต และช่วงแบริ่ง - เคหะสมุทรปราการ จากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มูลค่ารวม 56,112 ล้านบาท ซึ่งกทม.ยังไม่ได้จ่ายเงินต้น จ่ายแต่ดอกเบี้ยปีละ 500 ล้านบาท
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้กทม. จ้างศึกษารูปแบบการลงทุนตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน 2562 โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวแล้ว โดยมี บริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด , มหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส เอบีเอเอส จำกัด เป็นที่ปรึกษา ระยะเวลาการศึกษาโครงการวันที่ 1 พ.ค. 2568 - 25 ม.ค. 2569 (ระยะเวลา 270 วัน) วงเงิน 27 ล้านบาท
https://mgronline.com/business/detail/9680000043715?tbref=hp
พอจะทำ 20 บาทตลอดสายแบบนี้ก็ขาดทุนยับยกให้รัฐบาลไปเลย แบบนี้ทำตั๋วร่วมง่ายกว่า เรื่องนี้คือผมบอกตรงๆว่าคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะไม่ได้ต่อสัมปทาน