"พิพัฒน์" พับแผนรถไฟฟ้า 20 บาท

          สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.ย. 2568)--นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม พร้อมด้วย น.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รมช.คมนาคม เข้าปฏิบัติหน้าที่กระทรวงคมนาคมวันแรก โดยตั้งใจจะผลักดันนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่จะแถลงในช่วงวันที่ 29 -30 ก.ย. 68 ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยให้ปลอดภัย สะดวก และเชื่อมโยงการเดินทางทุกมิติ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด
          
          *พับแผนค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
          
          สำหรับกรณีค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย ของสายสีแดงและสายสีม่วงที่เป็นนโยบายของรัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)  สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.68 และมีมติครม.ขยายมาตรการระยะที่ 2 ไปสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.69 นั้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลชุดใหม่ ดังนั้นในประเด็นนี้ จะมีการศึกษาและหารือกับนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงคมนาคม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีมติครม.เดิมสามารถยกเลิกได้หรือไม่ หรือจะสิ้นสุดไปเลยเพราะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จากนั้นจะต้องนำเข้าหารือในที่ประชุมครม.อีกครั้ง
          
          นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในวันที่ 1 ต.ค. 68 นี้ รถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงต้องกลับไปเก็บค่าโดยสารในราคาปกติก่อน แต่อาจจะเป็นช่วงเวลาหนึ่งจนกว่าจะมีความชัดเจน ซึ่งนายกฯได้เคยกล่าวและจะอยู่ในนโยบายที่เตรียมแถลงต่อรัฐสภาด้วย ในเรื่องมาตรการลดค่าเดินทางให้ประชาชนเดิมราคา 20 บาทเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีแดงและสีม่วง แต่มีภาระเรื่องเงินชดเชยจะมีการพิจารณาเพื่อให้ครอบคลุมการเดินทางสำหรับคนกรุงเทพฯและปริมณฑลมากขึ้นได้หรือไม่ เช่น รถเมล์ปรับอากาศ รถเมล์ร้อน รวมไปถึงภาระการจ่ายค่าทางด่วน ขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2  จะนำมาพิจารณาร่วมกัน เป็นแพคเกจการลดค่าครองชีพในการเดินทางให้ประชาชน รวมถึงหารือกับเอกชนผู้รับสัมปทานด้วยทำให้ต้องใช้เวลาบ้าง
          
          องค์ประกอบการเดินทางของประชาชนในแต่ละวัน ไม่ได้อยู่แค่รถไฟฟ้าสายสีแดงและสีม่วงเท่านั้น รัฐบาลมองในภาพรวมทั้งหมด เพื่อแบ่งเบาภาระให้ประชาชนคนไทยทุกคน โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯและปริมณฑลที่มีต้นทุนในการเดินทางสูง รวมไปถึงคนต่างจังหวัดที่ต้องได้ประโยชน์ด้วยหากได้เดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ ให้ปลัดกระทรวงคมนาคมศึกษาจุดที่คุ้มทุนมากที่สุดอยู่ตรงไหน รัฐบาลที่ผ่านมา 20 บาททุกสาย ทำไมต้องหยุดเพราะรัฐต้องชดเชยปีละเกือบ 2 หมื่นล้านบาท ใช้ได้แค่คนในกรุงเทพฯ จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบที่สุด เพื่อความสมดุลและพอใจสำหรับคนทั้งประเทศ
          
          "อยากให้รอหลังจากแถลงนโยบายเสร็จก่อน จากนั้นคงไม่เกิน 2 สัปดาห์จะมีการประกาศความชัดเจนและเริ่มใช้ภายใน 4 เดือนแน่นอน  ซึ่งนายกฯได้มีการร่างนโยบายต่าง ๆ เหล่านี้ไว้แล้ว ร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล ขณะนี้ซึ่งต้องยอมรับว่า รัฐบาลเป็นเสียงข้างน้อยและมีเวลาการทำงานแค่ 4 เดือนดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องทำด้วยความรวดเร็ว"
          
          *หนุนเดินหน้า "แลนด์บริดจ์"-รถไฟทางคู่
          
          นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ส่วนโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เวลาในการทำงาน  4 เดือนจะพยายามผลักดัน เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ อาจจะขอเวลาศึกษาเล็กน้อย ซึ่งโครงการแลนด์บริดจ์เกิดขึ้นตั้งแต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีและต่อเนื่องรัฐบาลแพทองธาร และรัฐบาลอนุทิน หลักการคือ รัฐบาลพร้อมเดินหน้า แต่โครงการก็มีทั้งผู้สนับสนุนและคัดค้าน เนื่องจากแลนด์บริดจ์ต้องมีทั้งท่าเรือระบบถนน ราง และท่อน้ำมัน เชื่อมท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง ส่วนโครงการรถไฟทางคู่ระยะ 2 ที่เตรียมเสนอครม. 3 เส้นทาง สามารถเดินหน้าต่อไปได้ และจะมีการนำเสนอครม.ได้ในช่วง 4 เดือนนี้แน่นอน
          
          สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) จะเชิญ เอกชน ผู้รับสัมปทาน (บริษัท เอเชีย เอราวัณ จำกัด) มาหารือรายละเอียดประเด็นข้อติดขัด การส่งมอบพื้นที่ล่าช้า แต่เวลา 4 เดือนอาจจะไม่ทัน แต่ได้เริ่มหารือเพื่อหาทางออกแน่นอน
          
          นอกจากนี้โครงการบ้านเพื่อคนไทยของรัฐบาลเพื่อไทยที่ดำเนินการค้างอยู่โดยเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนและจะมีการจับฉลากในเดือนพ.ย. 68 นั้น จะมีการสานต่ออย่างไร นายพิพัฒน์ ระบุว่า ว่า เรื่องใหญ่ ๆ อยากให้รอหลังแถลงนโยบายให้นายกฯ ได้พูดในสภาก่อน


เอาจริงๆก็เห็นด้วยนะ ที่บอกว่าถ้าจะลดก็ลดมันไปด้วยกันเลยคนละนิด ทำเป็นแบบ ลดทั้งระบบ รถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่