🔴 อินเดียได้สรุปข้อตกลงมูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อจัดหาเครื่องบินขับไล่ Rafale M จำนวน 26 ลำ

อินเดียได้สรุปข้อตกลงมูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อจัดหาเครื่องบินขับไล่ Rafale M จำนวน 26 ลำ
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 อินเดียลงนามข้อตกลงด้านการป้องกันประเทศครั้งใหญ่กับฝรั่งเศส มูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์ สำหรับการจัดหาเครื่องบินขับไล่ Rafale Marine หรือ Rafale M จำนวน 26 ลำ ซึ่งนับเป็นดีลด้านการทหารที่ใหญ่ที่สุดระหว่างสองประเทศ

พิธีลงนามจัดขึ้นที่กรุงนิวเดลี โดยมีเป้าหมายหลักคือเสริมแสนยานุภาพทางอากาศสำหรับเรือบรรทุกเครื่องบิน  ท่ามกลางสถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคที่ตึงเครียดขึ้น โดยเฉพาะจากการขยายตัวของฐานทัพเรือจีนในมหาสมุทรอินเดีย

แม้ว่าข้อตกลงจะมาพร้อมความหวังด้านยุทธศาสตร์ แต่ราคาก็สูงถึงราว 288 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง ซึ่งจุดประกายคำถามเกี่ยวกับความคุ้มค่าของการเลือกใช้เครื่องบินรุ่นที่สี่ในเมื่อมีทางเลือกอย่าง F-35C จากสหรัฐฯ ที่เป็นเครื่องรุ่นที่ห้าราคาใกล้เคียงหรืออาจต่ำกว่า

Rafale M ซึ่งบริษัท Dassault Aviation ของฝรั่งเศสพัฒนาเพื่อปฏิบัติการจากเรือบรรทุกเครื่องบินโดยเฉพาะ จะมีจำนวน 22 ลำเป็นรุ่นที่นั่งเดียวสำหรับใช้งานจริงบนเรือ และอีก 4 ลำเป็นรุ่นฝึกสองที่นั่งซึ่งใช้งานได้เพียงบนบก

ดีลนี้ครอบคลุมทั้งอาวุธ ชุดฝึกจำลอง โปรแกรมฝึกลูกเรือ และระบบโลจิสติกส์ระยะเวลา 5 ปี รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของอินเดียในการพึ่งพาตนเองด้านกลาโหม

กระทรวงกลาโหมอินเดียคาดว่าจะเริ่มรับมอบ Rafale M ได้ในช่วงกลางปี 2028 และจัดส่งครบภายในปี 2030 โดยเป็นก้าวต่อจากการจัดซื้อเครื่องบิน Rafale สำหรับกองทัพอากาศ 36 ลำในปี 2016 มูลค่าเกือบ 8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งตอกย้ำถึงความไว้วางใจที่อินเดียมีต่อเทคโนโลยีการทหารของฝรั่งเศส

การตัดสินใจเลือก Rafale M ครั้งนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการทดแทนฝูง MiG-29K จากรัสเซีย จำนวน 40 ลำ ที่เข้าประจำการในช่วงปี 2009–2014 ด้วยมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ แต่ประสบปัญหาบ่อยครั้ง ทั้งด้านชิ้นส่วน อัตราความพร้อมใช้งาน และซัพพลายเชนที่ย่ำแย่ลงจากสงครามในยูเครน

Rafale M ถูกเลือกแทน F/A-18 Super Hornet จากสหรัฐฯ หลังผ่านการทดสอบในปี 2022 ด้วยข้อได้เปรียบด้านความเข้ากันได้ทางโลจิสติกส์กับฝูง Rafale เดิมของกองทัพอากาศอินเดีย

เป็นเครื่องบินขับไล่รุ่น 4.5 อเนกประสงค์ ที่โดดเด่นในด้านควบคุมอากาศ การโจมตีภาคพื้นดิน การลาดตระเวน และการโจมตีทางทะเล ใช้เครื่องยนต์ Safran M88-2 คู่ มีกำลังขับเครื่องละ 16,860 ปอนด์ ความเร็วสูงสุด 1.8 มัค และพิสัยรบมากกว่า 1,850 กม. เมื่อใช้ถังเชื้อเพลิงเสริม

Rafale M บรรทุกอาวุธสมัยใหม่ เช่น Meteor, Exocet AM39 และ SCALP พร้อมยังรองรับการผสานอาวุธในประเทศอย่าง Astra Mk1 และ Rudram ตามนโยบาย “Make in India”

ถึงแม้จะมีขีดความสามารถสูง ราคาก็ยังเป็นประเด็น เพราะอยู่เหนือเครื่องบินรบรุ่นที่ 5 อย่าง F-35C ซึ่งมีราคาพื้นฐานราว 120–150 ล้านดอลลาร์ หรืออาจเพิ่มถึง 250 ล้านดอลลาร์เมื่อติดตั้งเต็มที่

F/A-18 Super Hornet อยู่ที่ 70–100 ล้านดอลลาร์ ส่วน Su-35 จากรัสเซีย ราคาประมาณ 85 ล้านดอลลาร์ Rafale M แม้มีตัวเครื่องราคาระดับ 100–120 ล้าน แต่แพ็กเกจเต็มรูปแบบผลักราคาเฉลี่ยพุ่งขึ้นไปถึงเกือบ 300 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ยังรวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยี การสร้างโรงงานประกอบตัวเครื่องในอินเดีย และศูนย์ซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ เซ็นเซอร์ และระบบอาวุธ ซึ่งล้วนเพิ่มต้นทุน

เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังดีลนี้ คือการเผชิญหน้ากับอิทธิพลของกองทัพเรือจีน ซึ่งมีเรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำ และฝูงบิน J-15 เกือบ 60 ลำ สนับสนุนโดย J-11 รุ่นที่ 4 พร้อมฐานทัพในจิบูตีและสิ่งอำนวยความสะดวกในปากีสถาน ซึ่งเพิ่มอิทธิพลในมหาสมุทรอินเดีย

Rafale M เป็นหัวใจในการฉายอำนาจทางทะเล และคุ้มกันเส้นทางการค้าในอินโด-แปซิฟิก บทบาทของฝรั่งเศสในข้อตกลงนี้ยังสะท้อนถึงแนวทางยุทธศาสตร์ระยะยาว ไม่ใช่แค่การค้าเท่านั้น

ฝรั่งเศสมีประวัติความร่วมมือด้านกลาโหมกับอินเดียมายาวนาน ตั้งแต่ Mirage 2000 ในยุค 1980 ไปจนถึงเรือดำน้ำ Scorpene ในปี 2005

ท่าทีของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ที่ผลักดันความเป็นอิสระทางกลาโหมของยุโรป ก็ช่วยดันให้ Rafale เป็นตัวเลือกสำหรับชาติที่ต้องการทางเลือกจาก F-35 หรือเทคโนโลยีจีน Dassault ซึ่งยอดสั่งซื้อในประเทศมีจำกัด ก็ต้องพึ่งยอดขายต่างประเทศเช่นนี้เพื่อความอยู่รอด

ในปี 2024 บริษัทปิดดีลกับอินโดนีเซีย 18 ลำ เซอร์เบีย 12 ลำ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 80 ลำในปี 2021 ด้วยมูลค่ารวมกว่า 19,000 ล้านดอลลาร์

ข้อตกลงกับอินเดีย มีเงื่อนไขชดเชยมูลค่า 50% หรือราว 3,750 ล้านดอลลาร์ ที่ต้องลงทุนกลับในอินเดีย เพื่อเสริมการผลิตภายในประเทศผ่านการร่วมทุนกับกลุ่ม Reliance ซึ่งเป็นพันธมิตรกับ Dassault ตั้งแต่ปี 2016

Rafale M รุ่นทัพเรือที่ใช้งานในกองทัพฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2001 ผ่านการรบในอัฟกานิสถาน ลิเบีย และซีเรีย เป็นเครื่องบินที่มีความยืดหยุ่นสูง อินเดียเริ่มนำเข้ารุ่นนี้ในปี 2016 แม้จะเผชิญข้อกล่าวหาคอร์รัปชัน แต่ศาลสูงอินเดียยืนยันว่าสัญญาชอบด้วยกฎหมาย

แม้ Rafale M จะไม่ใช่เครื่องบินล่องหนแบบ F-35 แต่ก็พึ่งพาระบบอิเล็กทรอนิกส์และสงครามอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงเพื่อชดเชยข้อด้อย โดยใช้สถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์เปิดที่สามารถอัปเกรดได้ในอนาคต แต่โครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบตั้งแต่ยุค 90 ก็มีข้อจำกัด

อินเดียจึงเลือก Rafale M เป็นทางออกชั่วคราวที่สมดุลระหว่างความจำเป็นในตอนนี้กับเป้าหมายระยะยาว ภายในปี 2030 อินเดียจะมี Rafale ทั้งหมด 62 ลำ กระจายใช้ระหว่างทัพอากาศและทัพเรือ พร้อมเชื่อมต่อระบบโลจิสติกส์และเติมเชื้อเพลิงร่วม

ในสายตาตะวันตก ดีลนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของตลาดอาวุธโลก แม้สหรัฐฯ จะมี F-35 ที่ครองตลาด แต่ความสำเร็จของฝรั่งเศสในการปิดดีลใหญ่กับอินเดีย แสดงให้เห็นถึงแรงดึงดูดของแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่ของสหรัฐฯ สำหรับประเทศที่ต้องการความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่