Dassault Mirage F1 การออกแบบที่พลิกโฉมวงการการบินรบ

ดาโซลท์ มิราจ F1 (Dassault Mirage F1) ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่และโจมตีสัญชาติฝรั่งเศส โดยมีโครงสร้างเนื้อหาแบ่งออกเป็นสามส่วนหลักคือ ประวัติการพัฒนา, การออกแบบ/คุณสมบัติ, และประวัติการปฏิบัติงานในประเทศต่างๆ
1. ประวัติการพัฒนา
จุดกำเนิด: ในช่วงทศวรรษ 1960s ดาโซลท์ เอวิเอชั่น ได้พัฒนา Mirage F1 ด้วยเงินทุนส่วนตัว ควบคู่ไปกับโครงการ Mirage F2 ที่ใหญ่กว่า แต่สุดท้าย F1 ก็มีความสำคัญกว่า F2 ที่มีค่าใช้จ่ายสูงและถูกยกเลิกไป
ความต้องการของกองทัพ: กองทัพอากาศฝรั่งเศส (Armée de l'Air) ให้ความสนใจกับ Mirage F1 เพื่อตอบสนองความต้องการเครื่องบินสกัดกั้นในทุกสภาพอากาศ
เข้าประจำการ: เครื่องบินล็อตแรกติดตั้งเรดาร์โมโนพัลส์ Thomson-CSF Cyrano IV เริ่มเข้าประจำการในกองทัพอากาศฝรั่งเศสในช่วงครึ่งหลังของปี 1974 และเป็นเครื่องบินสกัดกั้นหลักจนกระทั่ง Mirage 2000 เข้ามาแทนที่
การปลดประจำการ: Mirage F1 ลำสุดท้ายของฝรั่งเศสปลดประจำการในเดือนกรกฎาคม 2014
การผลิต: มีการผลิตเครื่องบิน Mirage F1 และเครื่องบินฝึกรวมทุกรุ่นประมาณ 726 ลำระหว่างปี 1966 ถึง 1992
บทบาท: ถูกใช้เป็นเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ขนาดเบาและส่งออกไปกว่าสิบประเทศ
2. การออกแบบและคุณสมบัติ
บทบาท: ออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็นทั้งเครื่องบินสกัดกั้นและเครื่องบินโจมตีภาคพื้นดิน (เครื่องบินป้องกันภัยทางอากาศเป็นบทบาทหลัก, โจมตีภาคพื้นดินเป็นบทบาทรอง)
การสืบทอด: พัฒนาให้เป็นทายาทของตระกูล Mirage III และ Mirage 5 โดยใช้ลำตัวเครื่องบินแบบเดียวกับ Mirage III
การกำหนดค่าปีก:
เปลี่ยนจากปีกทรงสามเหลี่ยม (delta wing) แบบ Mirage III มาเป็น ปีกกวาดไปด้านหลัง (swept wing) ติดตั้งบริเวณไหล่ลำตัว
ข้อดีของการเปลี่ยนปีก: ทำให้ระยะทางที่ต้องใช้ในการวิ่งขึ้นและลงจอดสั้นลงกว่า 50%, ความจุเชื้อเพลิงภายในเพิ่มขึ้น (พิสัยการรบยาวนานขึ้นถึง 40%), และความเร็วในการเข้าสู่การลงจอดลดลง 25%
ปีกติดตั้ง แฟลปขอบท้ายแบบ double-slotted และสแลทขอบหน้าเต็มช่วงปีก ซึ่งทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อลดรัศมีการเลี้ยวในการต่อสู้
ระบบขับเคลื่อน: ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ต SNECMA Atar 9K-50 เพียงเครื่องเดียว ให้แรงขับประมาณ 7 ตัน (69 กิโลนิวตัน) ทำความเร็วสูงสุด 1,453 ไมล์ต่อชั่วโมง และเพดานบินสูงสุด 65,615 ฟุต
ระบบอิเล็กทรอนิกส์อากาศยาน (Avionics):
เรดาร์: ระบบเรดาร์โมโนพัลส์ Thomson-CSF Cyrano IV (พัฒนามาจาก Cyrano II) ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์หลัก
โหมดการทำงานของเรดาร์: ตรวจจับและติดตามเป้าหมายทางอากาศ, ทำแผนที่พื้นผิวโลก, และหลีกเลี่ยงภูมิประเทศ (รุ่น Cyrano IV-1 เพิ่มความสามารถในการมองลงแบบจำกัด)
คุณสมบัติอื่น ๆ: ระบบลงจอดด้วยเครื่องมือ (ILS), เครื่องวัดความสูงด้วยเรดาร์, วิทยุ UHF/VHF, ระบบนำร่องทางอากาศ (TACAN), ระบบเชื่อมโยงข้อมูลภาคพื้นดิน, ระบบควบคุมการบินอัตโนมัติ และระบบป้องกันการสั่น
อาวุธยุทโธปกรณ์:
อาวุธติดตั้งภายใน: ปืนใหญ่อากาศขนาด 30 มม. สองกระบอก
ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ: Matra R530 (เริ่มต้น), Matra Super 530 F (หลังปี 1979), R550 Magic (บนรางปลายปีก), และ AIM-9 Sidewinder (สำหรับรุ่นที่ส่งออกบางประเทศ)
สามารถบรรทุกระเบิดและขีปนาวุธรวมกันได้สูงสุด 6,300 กิโลกรัม

Dassault Mirage F1 การออกแบบที่พลิกโฉมวงการการบินรบ
1. ประวัติการพัฒนา
จุดกำเนิด: ในช่วงทศวรรษ 1960s ดาโซลท์ เอวิเอชั่น ได้พัฒนา Mirage F1 ด้วยเงินทุนส่วนตัว ควบคู่ไปกับโครงการ Mirage F2 ที่ใหญ่กว่า แต่สุดท้าย F1 ก็มีความสำคัญกว่า F2 ที่มีค่าใช้จ่ายสูงและถูกยกเลิกไป
ความต้องการของกองทัพ: กองทัพอากาศฝรั่งเศส (Armée de l'Air) ให้ความสนใจกับ Mirage F1 เพื่อตอบสนองความต้องการเครื่องบินสกัดกั้นในทุกสภาพอากาศ
เข้าประจำการ: เครื่องบินล็อตแรกติดตั้งเรดาร์โมโนพัลส์ Thomson-CSF Cyrano IV เริ่มเข้าประจำการในกองทัพอากาศฝรั่งเศสในช่วงครึ่งหลังของปี 1974 และเป็นเครื่องบินสกัดกั้นหลักจนกระทั่ง Mirage 2000 เข้ามาแทนที่
การปลดประจำการ: Mirage F1 ลำสุดท้ายของฝรั่งเศสปลดประจำการในเดือนกรกฎาคม 2014
การผลิต: มีการผลิตเครื่องบิน Mirage F1 และเครื่องบินฝึกรวมทุกรุ่นประมาณ 726 ลำระหว่างปี 1966 ถึง 1992
บทบาท: ถูกใช้เป็นเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ขนาดเบาและส่งออกไปกว่าสิบประเทศ
2. การออกแบบและคุณสมบัติ
บทบาท: ออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็นทั้งเครื่องบินสกัดกั้นและเครื่องบินโจมตีภาคพื้นดิน (เครื่องบินป้องกันภัยทางอากาศเป็นบทบาทหลัก, โจมตีภาคพื้นดินเป็นบทบาทรอง)
การสืบทอด: พัฒนาให้เป็นทายาทของตระกูล Mirage III และ Mirage 5 โดยใช้ลำตัวเครื่องบินแบบเดียวกับ Mirage III
การกำหนดค่าปีก:
เปลี่ยนจากปีกทรงสามเหลี่ยม (delta wing) แบบ Mirage III มาเป็น ปีกกวาดไปด้านหลัง (swept wing) ติดตั้งบริเวณไหล่ลำตัว
ข้อดีของการเปลี่ยนปีก: ทำให้ระยะทางที่ต้องใช้ในการวิ่งขึ้นและลงจอดสั้นลงกว่า 50%, ความจุเชื้อเพลิงภายในเพิ่มขึ้น (พิสัยการรบยาวนานขึ้นถึง 40%), และความเร็วในการเข้าสู่การลงจอดลดลง 25%
ปีกติดตั้ง แฟลปขอบท้ายแบบ double-slotted และสแลทขอบหน้าเต็มช่วงปีก ซึ่งทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อลดรัศมีการเลี้ยวในการต่อสู้
ระบบขับเคลื่อน: ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ต SNECMA Atar 9K-50 เพียงเครื่องเดียว ให้แรงขับประมาณ 7 ตัน (69 กิโลนิวตัน) ทำความเร็วสูงสุด 1,453 ไมล์ต่อชั่วโมง และเพดานบินสูงสุด 65,615 ฟุต
ระบบอิเล็กทรอนิกส์อากาศยาน (Avionics):
เรดาร์: ระบบเรดาร์โมโนพัลส์ Thomson-CSF Cyrano IV (พัฒนามาจาก Cyrano II) ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์หลัก
โหมดการทำงานของเรดาร์: ตรวจจับและติดตามเป้าหมายทางอากาศ, ทำแผนที่พื้นผิวโลก, และหลีกเลี่ยงภูมิประเทศ (รุ่น Cyrano IV-1 เพิ่มความสามารถในการมองลงแบบจำกัด)
คุณสมบัติอื่น ๆ: ระบบลงจอดด้วยเครื่องมือ (ILS), เครื่องวัดความสูงด้วยเรดาร์, วิทยุ UHF/VHF, ระบบนำร่องทางอากาศ (TACAN), ระบบเชื่อมโยงข้อมูลภาคพื้นดิน, ระบบควบคุมการบินอัตโนมัติ และระบบป้องกันการสั่น
อาวุธยุทโธปกรณ์:
อาวุธติดตั้งภายใน: ปืนใหญ่อากาศขนาด 30 มม. สองกระบอก
ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ: Matra R530 (เริ่มต้น), Matra Super 530 F (หลังปี 1979), R550 Magic (บนรางปลายปีก), และ AIM-9 Sidewinder (สำหรับรุ่นที่ส่งออกบางประเทศ)
สามารถบรรทุกระเบิดและขีปนาวุธรวมกันได้สูงสุด 6,300 กิโลกรัม