คุณจะยังกล้านอนหลับอยู่ในบ้านของตัวเองไหม…
ถ้ารู้ว่ามันไม่เคยว่างเปล่าเลยตั้งแต่แรก?
เมื่อครอบครัววัฒนะชัยพบกับข้อเสนอสุดยั่วใจ—บ้านสองชั้นราคาต่ำกว่าท้องตลาดครึ่งหนึ่ง พวกเขาไม่ลังเลที่จะซื้อทันที โดยไม่คิดถามว่าเหตุใดบ้านหลังใหญ่กลางหมู่บ้านเงียบสงบจึงไม่มีใครกล้าย้ายเข้าอยู่เลยนานนับปี
ในวันที่พวกเขาเหยียบย่างเข้าไปในบ้าน ความอบอุ่นของครอบครัวกลับถูกแทนที่ด้วยบางสิ่งที่เย็นเยียบ… เสียงฝีเท้าแผ่วเบาในยามดึก กลิ่นเน่าโชยวูบจากห้องปิดตาย และรอยนิ้วมือบางเบาที่ปรากฏขึ้นในกระจกทุกคืน
เด็กหญิงตัวน้อยเริ่มพูดคุยกับเพื่อนที่ไม่มีใครมองเห็น
ภรรยาเริ่มฝันซ้ำถึงผู้หญิงที่ร้องไห้ในเงามืด
และสามีผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับ…ก็เริ่มเห็นสิ่งที่ไม่มีคำอธิบาย
เพราะ “บ้านหลังนี้” ไม่ได้ว่างเปล่า
และผู้ที่เคยอาศัยอยู่—ไม่เคยจากไปไหนเลย…
ครอบครัววัฒนะชัยประกอบด้วย “คุณธีระ” หัวหน้าครอบครัว “นิดา” ภรรยา และ “มิลค์” ลูกสาววัยเจ็ดขวบ พวกเขาย้ายเข้าบ้านใหม่ด้วยความหวังว่าจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ บ้านทรงไทยประยุกต์หลังนี้ตั้งอยู่ในซอยลึก เงียบสงบ และแทบไม่มีเพื่อนบ้านเลย
วันแรกผ่านไปอย่างสงบ แต่นิดาเริ่มรู้สึกแปลกในคืนแรก เธอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินบนพื้นไม้ชั้นบน ทั้งที่ทุกคนหลับอยู่ เธอลุกไปดู และในเงาสะท้อนของกระจกปลายโถง เธอเห็น “เงาผู้หญิง” ยืนอยู่เงียบ ๆ
“อาจแค่ตาฝาด” เธอบอกตัวเอง
แต่วันต่อมา มิลค์เริ่มพูดถึง “พี่คนสวย” ที่มาเล่นกับเธอในห้อง
“แม่ พี่เขาอยู่ในตู้เสื้อผ้า…แต่หนูห้ามบอกพ่อนะ”
นิดาเริ่มกลัว แต่ธีระไม่เชื่อ เขาคิดว่าเป็นแค่ความเครียดของลูกและภรรยา กระทั่งวันหนึ่ง เขาเองได้ยินเสียงน้ำเปิดในห้องน้ำตอนตีสาม และเมื่อเขาเปิดประตู เขาเห็นเงาร่างหญิงสาวผมยาวหันหลังให้…ก่อนที่เธอจะหายวับไปในอากาศ ทิ้งเพียงข้อความบนกระจกที่ขึ้นฝ้าจากไอน้ำว่า
“ยังอยู่ที่นี่…”
หลังจากนั้น มิลค์เริ่มนิ่งเงียบ ไม่เล่น ไม่ยิ้ม และจ้องมองตู้เสื้อผ้าทั้งวัน พวกเขาพาเธอไปหาหมอเด็ก แต่หมอกลับบอกว่า “จินตนาการสูงเกินวัย”
คืนนั้นเอง นิดาเจอบันทึกเล่มหนึ่งซ่อนอยู่ใต้พื้นกระเบื้อง มันเขียนด้วยลายมือสั่นระรัวว่า:
“เขาไม่ให้ฉันออกไป…บ้านหลังนี้กลืนฉันไว้…ใครเข้ามา จะไม่มีวันกลับออกไปเหมือนเดิม…”
หน้าสุดท้ายของบันทึก มีรูปวาดของครอบครัวสามคน หน้าตาเหมือนครอบครัวเธอไม่มีผิด
ทั้งคู่ตัดสินใจเก็บของจะย้ายออกในคืนนั้น แต่ประตูทุกบานกลับล็อกเอง ไฟดับ เสียงหัวเราะของเด็กผู้หญิงดังก้องไปทั่วบ้าน และกลิ่นเหม็นเน่าก็โชยแรงขึ้นทุกวินาที
พวกเขาพยายามหนี แต่ไม่สำเร็จ…
รุ่งเช้า…
ตำรวจได้รับแจ้งจากเพื่อนบ้านว่ามีเสียงแปลกจากบ้านร้างอีกแล้ว เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ แต่บ้านว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ ไม่มีร่องรอยการอยู่อาศัยแม้แต่น้อย
แต่ในกระจกที่บันได…ยังมีรอยนิ้วมือ และเงาของผู้หญิงในชุดนอนซีดๆ ที่ยืนมองตรงออกมา พร้อมเงาของครอบครัวสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ
พวกเขายังอยู่ในนั้น…ตลอดไป
เงาในบ้านหลังใหม่
ถ้ารู้ว่ามันไม่เคยว่างเปล่าเลยตั้งแต่แรก?
เมื่อครอบครัววัฒนะชัยพบกับข้อเสนอสุดยั่วใจ—บ้านสองชั้นราคาต่ำกว่าท้องตลาดครึ่งหนึ่ง พวกเขาไม่ลังเลที่จะซื้อทันที โดยไม่คิดถามว่าเหตุใดบ้านหลังใหญ่กลางหมู่บ้านเงียบสงบจึงไม่มีใครกล้าย้ายเข้าอยู่เลยนานนับปี
ในวันที่พวกเขาเหยียบย่างเข้าไปในบ้าน ความอบอุ่นของครอบครัวกลับถูกแทนที่ด้วยบางสิ่งที่เย็นเยียบ… เสียงฝีเท้าแผ่วเบาในยามดึก กลิ่นเน่าโชยวูบจากห้องปิดตาย และรอยนิ้วมือบางเบาที่ปรากฏขึ้นในกระจกทุกคืน
เด็กหญิงตัวน้อยเริ่มพูดคุยกับเพื่อนที่ไม่มีใครมองเห็น
ภรรยาเริ่มฝันซ้ำถึงผู้หญิงที่ร้องไห้ในเงามืด
และสามีผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับ…ก็เริ่มเห็นสิ่งที่ไม่มีคำอธิบาย
เพราะ “บ้านหลังนี้” ไม่ได้ว่างเปล่า
และผู้ที่เคยอาศัยอยู่—ไม่เคยจากไปไหนเลย…
ครอบครัววัฒนะชัยประกอบด้วย “คุณธีระ” หัวหน้าครอบครัว “นิดา” ภรรยา และ “มิลค์” ลูกสาววัยเจ็ดขวบ พวกเขาย้ายเข้าบ้านใหม่ด้วยความหวังว่าจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ บ้านทรงไทยประยุกต์หลังนี้ตั้งอยู่ในซอยลึก เงียบสงบ และแทบไม่มีเพื่อนบ้านเลย
วันแรกผ่านไปอย่างสงบ แต่นิดาเริ่มรู้สึกแปลกในคืนแรก เธอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินบนพื้นไม้ชั้นบน ทั้งที่ทุกคนหลับอยู่ เธอลุกไปดู และในเงาสะท้อนของกระจกปลายโถง เธอเห็น “เงาผู้หญิง” ยืนอยู่เงียบ ๆ
“อาจแค่ตาฝาด” เธอบอกตัวเอง
แต่วันต่อมา มิลค์เริ่มพูดถึง “พี่คนสวย” ที่มาเล่นกับเธอในห้อง
“แม่ พี่เขาอยู่ในตู้เสื้อผ้า…แต่หนูห้ามบอกพ่อนะ”
นิดาเริ่มกลัว แต่ธีระไม่เชื่อ เขาคิดว่าเป็นแค่ความเครียดของลูกและภรรยา กระทั่งวันหนึ่ง เขาเองได้ยินเสียงน้ำเปิดในห้องน้ำตอนตีสาม และเมื่อเขาเปิดประตู เขาเห็นเงาร่างหญิงสาวผมยาวหันหลังให้…ก่อนที่เธอจะหายวับไปในอากาศ ทิ้งเพียงข้อความบนกระจกที่ขึ้นฝ้าจากไอน้ำว่า
“ยังอยู่ที่นี่…”
หลังจากนั้น มิลค์เริ่มนิ่งเงียบ ไม่เล่น ไม่ยิ้ม และจ้องมองตู้เสื้อผ้าทั้งวัน พวกเขาพาเธอไปหาหมอเด็ก แต่หมอกลับบอกว่า “จินตนาการสูงเกินวัย”
คืนนั้นเอง นิดาเจอบันทึกเล่มหนึ่งซ่อนอยู่ใต้พื้นกระเบื้อง มันเขียนด้วยลายมือสั่นระรัวว่า:
“เขาไม่ให้ฉันออกไป…บ้านหลังนี้กลืนฉันไว้…ใครเข้ามา จะไม่มีวันกลับออกไปเหมือนเดิม…”
หน้าสุดท้ายของบันทึก มีรูปวาดของครอบครัวสามคน หน้าตาเหมือนครอบครัวเธอไม่มีผิด
ทั้งคู่ตัดสินใจเก็บของจะย้ายออกในคืนนั้น แต่ประตูทุกบานกลับล็อกเอง ไฟดับ เสียงหัวเราะของเด็กผู้หญิงดังก้องไปทั่วบ้าน และกลิ่นเหม็นเน่าก็โชยแรงขึ้นทุกวินาที
พวกเขาพยายามหนี แต่ไม่สำเร็จ…
รุ่งเช้า…
ตำรวจได้รับแจ้งจากเพื่อนบ้านว่ามีเสียงแปลกจากบ้านร้างอีกแล้ว เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ แต่บ้านว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ ไม่มีร่องรอยการอยู่อาศัยแม้แต่น้อย
แต่ในกระจกที่บันได…ยังมีรอยนิ้วมือ และเงาของผู้หญิงในชุดนอนซีดๆ ที่ยืนมองตรงออกมา พร้อมเงาของครอบครัวสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ
พวกเขายังอยู่ในนั้น…ตลอดไป