บทนำ
ค่ำคืนหนึ่งในช่วงปลายรัชกาลที่ ๖ แสงจันทร์ริบหรี่ลอยเคว้งอยู่เหนือผืนน้ำคลองที่สงบนิ่ง บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรระงมอยู่ไกล ๆ และเสียงลมพัดต้องยอดไม้ไหวเบา ๆ สะท้อนเงาเรือนไทยไม้สักริมคลองหลังงามหลังนั้นลงบนผิวน้ำเป็นภาพพร่าเลือน ใต้เงาจันทร์ซีดเซียวที่พาดลงมาบนชานเรือน ยืนร่างหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดผ้าไทยสีขาว เธอยืนนิ่งสงบ มือโอบกระชับห่อผ้าขาวเล็ก ๆ ราวกับอุ้มทารก ท่ามกลางความเงียบมีเสียงสะอื้นแผ่วเบาหลุดจากริมฝีปากของหญิงสาวคนนั้นก่อนจะเงียบหายไปในสายลมค่ำคืน ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องโหยหวนดังกึกก้องขึ้นข้ามความเงียบ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานและความแค้นเคือง ร่างขาวซีดนั้นพลันกระโจนลงจากชานเรือนไปสู่สายน้ำเบื้องล่าง เกิดระลอกน้ำกระเพื่อมกระจายเป็นวงกว้างก่อนผืนคลองจะกลับคืนสู่ความเรียบนิ่งดังเดิม ราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น มีเพียงเสียงหมาหอนรับเป็นระยะและเสียงฟ้าร้องคำรามอยู่ลิบ ๆ บ่งบอกลางร้ายของโศกนาฏกรรมที่ซ่อนเร้นอยู่ในเรือนไทยริมน้ำแห่งนี้
อาถรรพ์เรือนรัก
ค่ำคืนหนึ่งในช่วงปลายรัชกาลที่ ๖ แสงจันทร์ริบหรี่ลอยเคว้งอยู่เหนือผืนน้ำคลองที่สงบนิ่ง บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรระงมอยู่ไกล ๆ และเสียงลมพัดต้องยอดไม้ไหวเบา ๆ สะท้อนเงาเรือนไทยไม้สักริมคลองหลังงามหลังนั้นลงบนผิวน้ำเป็นภาพพร่าเลือน ใต้เงาจันทร์ซีดเซียวที่พาดลงมาบนชานเรือน ยืนร่างหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดผ้าไทยสีขาว เธอยืนนิ่งสงบ มือโอบกระชับห่อผ้าขาวเล็ก ๆ ราวกับอุ้มทารก ท่ามกลางความเงียบมีเสียงสะอื้นแผ่วเบาหลุดจากริมฝีปากของหญิงสาวคนนั้นก่อนจะเงียบหายไปในสายลมค่ำคืน ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องโหยหวนดังกึกก้องขึ้นข้ามความเงียบ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานและความแค้นเคือง ร่างขาวซีดนั้นพลันกระโจนลงจากชานเรือนไปสู่สายน้ำเบื้องล่าง เกิดระลอกน้ำกระเพื่อมกระจายเป็นวงกว้างก่อนผืนคลองจะกลับคืนสู่ความเรียบนิ่งดังเดิม ราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น มีเพียงเสียงหมาหอนรับเป็นระยะและเสียงฟ้าร้องคำรามอยู่ลิบ ๆ บ่งบอกลางร้ายของโศกนาฏกรรมที่ซ่อนเร้นอยู่ในเรือนไทยริมน้ำแห่งนี้