JJNY : ‘ศิริกัญญา’ เตือนรัฐบาล│ผลสำรวจบริษัทเอกชน│"ศูนย์วิจัยกสิกรฯ"ส่องศก.ไทยปี 68│ผู้นำเยอรมนียันไม่ส่งทหารช่วยยูเครน

‘ศิริกัญญา’ เตือนรัฐบาลปรับโครงสร้างภาษีให้ดี หวั่นชนชั้นกลางกลายเป็น ‘เดอะ แบก’
https://ch3plus.com/news/economy/morning/427180
 
 
ศิริกัญญา เตือนรัฐบาลศึกษาปรับโครงสร้างภาษีใหม่ให้ดี หวั่นกลายเป็นการจัดเก็บภาษีไม่เป็นธรรม ไม่ช่วยลดช่องว่างคนจน-คนรวย  คนชั้นกลางกลายเป็นเดอะแบก จ่ายภาษีหลังหัก  
 
จากกรณีกระทรวงการคลังเร่งศึกษาการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ หรือ Flat Rate เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยภาษีเงินได้นิติบุคคล จะศึกษาการจัดเก็บ จาก 20% เป็น 15% ,  ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อาจพิจารณาจาก 35% เป็น 15% เพื่อจูงใจการทำงานในประเทศไทย  และภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat)   ที่จะศึกษาจัดเก็บจาก 7% เป็น 15% เพื่อลดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย
 
เมื่อวานนี้ (5 ธ.ค.67) นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ในรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ แสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว ว่า เรื่องนี้เข้าใจว่านายพิชัย  ชุนหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการศึกษา แต่นายพิชัยพูดเรตอัตราภาษีใหม่ออกมาชัดเจน ตนจึงต้องขอแสดงความคิดเห็นในส่วนที่คิดว่าอาจจะกลายเป็นปัญหา
 
ประเด็นแรก การปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่จะปรับเป็น 15% แบบไม่มีขั้นบันได คือ ทุกคนเสียภาษีในอัตรา 15% ของเงินเดือนเท่ากันหมด  รวมทั้งยกเลิกการลดหย่อนต่างๆ  นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า หากมาคิดดีๆ แล้วว่าใครจะได้รับประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากการเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
15% ปรากฎว่า คนทั่วไปที่มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 3 แสนบาท  หรือมีรายได้ 3.6 ล้านบาทต่อปี จะเสียภาษีจริงๆ ไม่ถึง 15% ของรายได้  โดยใช้สูตรคำนวนเอาภาษีเงินได้ที่เราจ่าย หารด้วยรายได้ก่อนหักลดหย่อน  

แต่ถ้าหากใช้โครงสร้างภาษีใหม่ คนที่มีเงินเดือนน้อยกว่า 3 แสนบาทต่อเดือน ต้องเสียภาษีเพิ่มกันทุกคน เช่น คนที่มีเงินเดือน 2-3 หมื่นบาท  ก็จะต้องเสียภาษีเท่ากับเงินเดือน 1 เดือน   / แต่คนที่จะได้ประโยชน์จากโครงสร้างภาษีใหม่และเสียภาษีน้อยลง คือ กลุ่มคนที่มีเงินเดือนเกิน 3 แสนบาทต่อเดือน  ดังนั้นจึงไม่ใช่การลดความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม และขัดกับหลักการภาษีเบื้องต้น ที่ต้องเป็นธรรม คนรายได้สูงต้องเสียภาษีมากกว่าคนที่มีรายได้น้อยกว่า  อีกทั้งจากโครงสร้างนี้ ก็ไม่มีใครการันตีได้ว่า รัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มหรือไม่

ส่วนเรื่องภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ปัจจุบันมีเพดานสูงสุดที่ 20% และรัฐบาลมีแนวคิดจะลดลงมาอีกเหลือ 15% สาเหตุเนื่องจากต้องปรับให้สอดคล้องกับกฎขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่ออกข้อกำหนดใหม่ภายใต้ OECD Pillar 2 กำหนดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำที่ 15% สำหรับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีรายได้เกิน 750 ล้านยูโร หรือประมาณ 27,000 ล้านบาท  เพื่อยุติการแข่งขันลดอัตราภาษีระหว่างประเทศ หรือ Race to Bottom  (อย่างเช่นบริษัทที่ได้รับสิทธิพิเศษจากบีโอไอ ต่างก็เสียภาษีแค่ 7-8% น้อยกว่าเพดานสูงสุด 20%ทั้งนั้น)นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า เมื่อเราเข้าร่วมเป็นภาคีแล้ว ก็ต้องทำตามกฎของ OECD Pillar 2  ซึ่งตามกฎนั้น ระบุว่า ไม่ให้เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำกว่า 15% แต่ไม่ได้บอกว่า ห้ามเก็บภาษีสูงกว่า 15% ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่า ทำไมเราจึงต้องไปเก็บภาษีในอัตราขั้นต่ำสุด 15% ทั้งที่ภาษีส่วนนี้ภาครัฐเก็บได้เป็นกอบเป็นกำ และควรจะเพิ่มอัตราภาษีขึ้นด้วยซ้ำ  เพราะการดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศนั้น ไม่ได้มีเหตุผลเรื่องของภาษีอย่างเดียว แต่หากเข้ามาแล้วค่าไฟแพง หรือแรงงานขาดทักษะ นักลงทุนก็จะไม่มาอีก

ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่ม นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า ในอดีต กระทรวงการคลังเคยพยายามเสนอขึ้นแวต 10% มาอย่างยาวนาน  แต่เพิ่งจะเห็นตัวเลขขึ้นแวต 15% เป็นครั้งแรกในรัฐบาลนี้ ซึ่งขึ้นมามากเกินกว่า 2 เท่าจากเดิมที่เก็บอยู่ ทำให้ประชาชนตกใจ  ซึ่งนางสาวศิริกัญญา มองว่า ไม่ควรขึ้นเยอะขนาดนี้ เพราะเป็นภาษีที่มาจากฐานการบริโภค  ที่หลายประเทศพยายามลดสัดส่วนการเก็บแวต และไปเน้นเก็บภาษีเงินได้มากกว่า
จากที่หลายคนเข้าใจว่า คนจน-คนรวย ต่างเสียภาษีแวต เท่ากับหมด และอาจจะคิดว่าคนจนจ่ายมากกว่าคนรวย แต่มีผลการศึกษาที่ระบุว่า จริงๆ แล้ว คนรายได้น้อยจะถูกเก็บแวตประมาณ 2.2%จากรายได้  เพราะคนจนมักจะใช้จ่ายในสินค้าที่ไม่จ่ายแวต เช่น ซื้อของสดในตลาด ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มไปแล้ว   ส่วนคนรวยก็ไม่ใช่กลุ่มที่จ่ายแวตสูงสุด เพราะจะจ่ายอยู่ที่ 2.5%ของรายได้  แต่คนที่อยู่ตรงกลาง คนชั้นกลาง จะเสียภาษีแวตมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ประมาณ 2.8%จากรายได้ เป็นลักษณะกราฟระฆังคว่ำ  ดังนั้นหากรัฐบาลจะจัดเก็บแวตเพิ่ม ก็ต้องศึกษาให้ดีว่า จะกระทบกับการตัดสินใจใช้จ่ายของประชาชนอย่างไร
 
นางสาวศิริกัญญา ยังระบุว่า คนชั้นกลางจะกลายเป็นคนแบกภาษี ตั้งแต่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากมีการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ คนกลุ่มนี้ก็ต้องเสียภาษีเพิ่ม  หากปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ คนกลุ่มนี้ก็ต้องจ่ายเพิ่มมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ   ดังนั้นการจะปรับโครงสร้างภาษีใหม่ รัฐบาลจะต้องคำนึงถึงการจัดเก็บภาษีที่เป็นธรรมมากกว่านี้  ซึ่งตนเข้าใจว่า ถึงเวลาที่จำเป็นต้องปฏิรูประบบภาษีครั้งใหญ่ เพราะฐานะการคลังของประเทศก็ไม่สู้ดี   รายได้จัดเก็บได้น้อยลง แต่คิดว่าไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนในรูปแบบนี้ที่จะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม  
 
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/mKQLMFrpKsM

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

 
ผลสำรวจบริษัทเอกชน พร้อมจ่ายโบนัส แต่ไม่พร้อมขึ้นเงินเดือน
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/427112

ใกล้เทศกาลปีใหม่ นอกจากการเฉลิงฉลองแล้ว อีกสิ่งที่หลายคนรอคอย โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน คือ เงินโบนัสและการขึ้นเงินเดือน / ผลสำรวจบริษัทเอกชนในปีนี้ พบว่า ส่วนใหญ่พร้อมจ่ายโบนัส แต่ยังไม่พร้อมปรับขึ้นค่าจ้าง

ดร.ธนิต โสรัตน์ ประธานสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นการจ้างงาน การจ่ายโบนัสและการปรับค่าจ้าง ซึ่งคณะกรรมการสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานได้ทำการสำรวจ โดยมีกลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามจำนวน 852 กิจการ ครอบคลุม 31 จังหวัดทั่วประเทศ ในทุกประเภทกิจการ ตั้งแต่ขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ๋ ระหว่างวันที่ 1 – 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พบว่า สถานประกอบการส่วนใหญ่ ร้อยละ 41.1 ระบุว่า พร้อมจ่ายโบนัส / ที่ตอบว่าไม่จ่าย อยู่ที่ร้อยละ 31.1 ส่วนร้อยละ 27.1 ตอบว่า ไม่แน่ใจ

ขณะที่แนวโน้มการปรับค่าจ้าง พบว่า สถานการณ์เศรษฐกิจปี 2568 ไม่เอื้อต่อการปรับค่าจ้าง โดยภาพรวมสถานประกอบการส่วนใหญ่ ระบุไม่ปรับค่าจ้าง คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 46.4 / แต่ก็มีถึงร้อยละ 42.1 ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มค่าจ้าง เฉลี่ยปรับขึ้นร้อยละ 4 – 5 อีกร้อยละ 11.5 บอกยังไม่แน่ใจว่าจะปรับหรือไม่ปรับ

ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า เศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะซบเซา สถานประกอบการจำนวนมากขาดสภาพคล่อง ทำให้ส่วนใหญ่ สูงถึงร้อยละ 52.8 บอกว่า จะไม่มีการจ้างงานเพิ่ม และร้อยละ 24.2 บอกอาจลดการจ้างงานลง
 
รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/GxcDAJ0dwz0


 
"ศูนย์วิจัยกสิกรฯ" ส่อง ศก.ไทยปี 68 โต 2.4% ชะลอตัวจากพิษสงครามการค้า-ท่องเที่ยว-ส่งออกลดลง
https://siamrath.co.th/n/585589

"ศูนย์วิจัยกสิกรฯ" ส่อง ศก.ไทยปี 68 โต 2.4% ชะลอตัวจากพิษสงครามการค้า-ท่องเที่ยว-ส่งออกลดลง
 
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ได้สร้างความไม่แน่นอนขึ้นต่อการลงทุนและการค้าโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าที่ต้องรอความชัดเจนในต้นปีหน้า ซึ่งได้ก่อให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะซบเซาเหมือนช่วงทศวรรษ 1930 นอกจากนั้น นโยบาย America First จะทำให้มีการเปลี่ยนระเบียบโลก (Global Order) สร้างความเสี่ยงต่อองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การการค้าโลก (WTO) และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) 

น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดกล่าวว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 2.4% ชะลอตัวลงจากปี 2567 ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว 2.6% เนื่องจากสงครามการค้าซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก จากความไม่แน่นอนจากนโยบายของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมกับประเทศไทย ที่มีความเปราะบางจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ประเมินว่าแรงส่งจากการท่องเที่ยวที่ลดลง ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าใกล้ระดับก่อนโควิด เช่นเดียวกับการส่งออกที่คาดว่าจะโตช้าลง จากผลกระทบสงครามการค้า ทั้งทางตรงจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้า และทางอ้อมผ่านตลาดอื่น ๆ ที่ต้องแข่งขันกับสินค้าจีน
 
อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาครัฐขยายตัวดีกว่าปีที่ผ่านมา จากเม็ดเงินเบิกจ่ายงบประมาณที่ต่อเนื่อง ในขณะที่การลงทุนเอกชนปรับตัวดีขึ้นจากปี 2567 ที่หดตัว สอดคล้องไปกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDIs) ที่เข้ามาในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมมองว่า ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยยังมีสูง จากความแน่นอนของสงครามการค้า เศรษฐกิจหลักของโลกชะลอตัวลง โดยเฉพาะจีน และภาคการผลิตของไทย ที่เจอภาวะการแข่งขันสูงจากสินค้าจีน ท่ามกลางขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง
 
สำหรับแนวคิดการปรับโครงสร้างภาษีของภาครัฐนั้น มองว่ารัฐบาลมีความพยายามหาแรงดึงดูดให้มีการลงทุนภายในประเทศเพิ่ม รวมทั้งดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติด้วยการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่จะส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลลดลง ดังนั้น จึงต้องพิจารณาปรับขึ้นภาษีส่วนอื่น นั่นคือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากปัจจุบันเก็บที่อัตรา 7%
 
"การปรับเพิ่มภาษี VAT จะก่อให้เกิดเงินเฟ้อ และกระทบกับกลุ่มรายได้น้อย สร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ดังนั้นภาครัฐอาจต้องมีมาตรการเสริมเพื่อเยียวยา ทั้งนี้ ต้องติดตามรายละเอียดของการปรับโครงสร้างภาษีต่อไป" น.ส.ณัฐพรกล่าว
 
น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ในปี 2568 สถานการณ์อุตสาหกรรมไทย คงจะไม่ดีขึ้นได้มากนัก ท่ามกลางหลายปัจจัยกดดัน ทั้งสงครามการค้าภายใต้นโยบาย "ทรัมป์ 2.0" ซึ่งจะมีผลต่อการส่งออกและการผลิต มาตรการภาครัฐบางเรื่องที่อาจกระทบต้นทุน และประเด็นเชิงโครงสร้าง ที่ยังทำให้การใช้จ่ายเป็นไปด้วยความระมัดระวัง ส่วนกลุ่มที่ยังฟื้นตัวได้ช้า จะเป็นธุรกิจขนาดกลางถึงล่าง โดยมีความเสี่ยงที่จำนวนผู้ประกอบการภาคการผลิตในธุรกิจรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ โลหะ แฟชั่น อาจลดลงอีก ส่วนในภาคการค้าและบริการ แม้จำนวนผู้ประกอบการอาจเพิ่ม แต่การยืนระยะทางธุรกิจก็คงไม่ง่ายเช่นกัน
 
น.ส.ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปี 2568 คาดว่าจะยังเห็นสถานการณ์แนวโน้มสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยเติบโตช้าและต่ำ โดยมีอัตราการขยายตัวราว 0.6% จากปี 2567 ที่คาดว่าจะหดตัว 1.8% ท่ามกลางปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ที่ยังจะกดดันให้สินเชื่อรายย่อยยังหดตัวต่อเนื่อง ขณะที่หนี้ด้อยคุณภาพ ยังเป็นปัญหาที่ต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง ทั้งฝั่งสินเชื่อรายย่อย รวมถึงฝั่งสินเชื่อ SME โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ข้อมูลสินเชื่อธุรกิจจากฐานข้อมูลบัญชีลูกหนี้นิติบุคคล ซึ่งเป็นข้อมูลสถิติที่ไม่ระบุตัวตนของเครดิตบูโร (NCB) พบ 5 ประเด็นสำคัญ คือ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่