JJNY : ปชน. ยื่นร่างแก้รธน.17ฉบับ│เคาะสิทธิลาคลอด 120 ภาคปชช.ยืน 180│หุ้นไทยปิดเช้าลบ│เวียดนามเล็งฟื้นโครงการนิวเคลียร์

ปชน. ยื่นร่างแก้รธน.17ฉบับ ตัดเสียงสว.ร่วมโหวต ให้อำนาจสมาชิกรัฐสภา สอบปปช.
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9504982
 
 
ปชน. ยื่นร่างแก้รธน. 17 ฉบับ ตัดเสียง สว. ร่วมโหวต เปิดทางพรรคฝ่ายค้าน นั่งปธ.-รองปธ.สภาฯ ให้อำนาจสมาชิกรัฐสภา สอบ ป.ป.ช.
 
เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาถึงความเคลื่อนไหวต่อการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังจากที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ว่าเตรียมนัดประชุมคณะกรรมการประสานงาน วิป 3 ฝ่าย คือ วุฒิสภา สส.รัฐบาล สส.ฝ่ายค้าน ในช่วงต้นเดือนธ.ค. ก่อนที่จะเปิดสมัยประชุมสภาฯ ซึ่งมีวาระพิจารณากำหนดกรอบการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีผู้เสนอต่อรัฐสภา
 
ทั้งนี้ ในการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภานั้น ล่าสุด สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เผยแพร่รายละเอียด การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ในสภาฯ ชุดที่ 26 มีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตรา เข้ามาแล้ว รวม 17 ฉบับ ซึ่งเป็นฉบับที่ สส.พรรคประชาชน (ปชน.) เข้าชื่อเสนอทั้งหมด ได้แก่

1. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยสาระสำคัญ คือ ตัดเงื่อนไขที่ต้องใช้เสียง สว.​ร่วมโหวตเป็นจำนวนตามเกณฑ์กำหนด โดยเปลี่ยนใช้เสียง สส.เห็นชอบทั้งหมด และมีเงื่อนไข คือ ต้องได้เสียง สส.เห็นชอบ ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกที่มีอยู่ของสภา
 
2. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ซึ่งตัดประเด็นเงื่อนไขกรณีต้องไม่มีสมาชิกพรรคที่ดำรงตำแหน่งประธานสภาฯ หรือ รองประธานสภาฯ ออกไป เพื่อให้ผู้นำฝ่ายค้าน ในฐานะพรรคการเมืองหลักในฝ่ายค้านสามารถมีตำแหน่งรองประธานสภาฯ หรือ รองประธานสภาฯ ได้
 
3. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ว่าด้วยหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) โดยเพิ่มอำนาจให้สอบสวนข้อเท็จจริงได้ จากเดิมที่กำหนดหน้าที่เพียงสอบหาข้อเท็จจริง
 
4. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 199 ว่าด้วยขอบเขตอำนาจศาลทหาร ที่กำหนดกรอบอำนาจให้ศาลทหารพิจารณาพิพากษาคดีอาญาของผู้กระทำความผิดเป็นบุคคล เฉพาะในระหว่างการประกาศสงคราม

5. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 ว่าด้วยหน้าที่ของบุคคล ซึ่งแก้ไข (5) ที่กำหนดให้มีหน้าที่รับราชการทหาร ตามที่กฎหมายบัญญัติ เป็นรับราชการทหารเมื่อมีภัยสงครามหรือเหตุที่ประเทศเผชิญสงครามในระยะเวลาอันใกล้ตามที่กฎหมายกำหนด
 
6. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ซึ่งตัดข้อห้ามการใช้สิทธิและเสรีภาพ ประเด็นที่จะกระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐออกไป

7. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 34 ว่าด้วยการขยายการใช้สิทธิและเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ที่ไม่ให้กฎหมายใดจำกัดการแสดงความคิดเห็นที่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม อีกทั้งยังกำหนดให้บุคคลมีเสรีภาพทางวิชาการ และกำหนดบทคุ้มครองการศึกษาอบรม การเรียนการสอน การวิจัย การเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการที่ไม่ขัดต่อหน้าที่พลเมืองหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
 
8. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 ว่าด้วยสิทธิการขอประกันตัวผู้ต้องหา หรือจำเลยในคดีอาญา ที่แก้ไขให้การคุ้มครองสิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวอย่างรวดเร็ว และเหตุที่ไม่ปล่อยตัวชั่วคราว กำหนดบทบัญญัติเป็นกรณีเฉพาะว่า เพราะมีพฤติการณ์อันเชื่อได้ว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวจะทำให้เกิดกรณีหลบหนีหรือเหตุอื่น
 
นอกจากนั้นได้เพิ่มข้อความในวรรคท้ายขึ้นใหม่ โดยกำหนดระยะเวลาคุมขังของผู้เป็นจำเลย ห้ามเกิน 1 ปี ทั้งในศาลชั้นต้น หรือ ชั้นศาลอุทธรณ์ กรณีไม่ถูกพิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
 
9. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 ว่าด้วยการเสมอภาคทางเพศ ซึ่งได้แก้ไขในวรรคสองให้บุคคลทุกคน ไม่ว่าเพศ เพศสภาพ เพศวิถี หรืออัตลักษณ์ทางเพศใดมีสิทธิเท่าเทียมกัน
 
10. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลุ่มมาตราว่าด้วยสิทธิของประชาชนและชุมชนด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้เพิ่มเติมให้สิทธิของบุคคลดำรงชีพอยู่อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ ยั่งยืนและไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของประชาชน
นอกจากนั้นแล้วยังได้เพิ่มบทว่าด้วยหน้าที่ของรัฐที่ต้องคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประชาชนดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติ ต่อเรื่องในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ ยั่งยืนและไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ อนามัยหรือคุณภาพชีวิต และยังกำหนดเงื่อนไขของการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่ให้องค์กรอิสระ ประกอบด้วย เอกชน สถาบันอุดมศึกษาเป็นผู้ดำเนินการ
 
11. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลุ่มมาตราว่าด้วยการศึกษา ซึ่งกำหนดให้บุคคลได้รับการศึกษาที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ เป็นเวลาอย่างน้อย 15 ปี ตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
 
12. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลุ่มมาตราว่าด้วยสิทธิในการรับทราบข้อมูล ข่าวสารสาธารณะ ซึ่งเพิ่มบทบัญญัติที่ว่าด้วยการได้รับคุ้มครองจากรัฐ ในกรณีเปิดเผยหรือแจ้งเบาะแสการทุจริตภาครัฐ พร้อมทั้งกำหนดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารของรัฐ ยกเว้นความลับทางราชการ ในรูปแบบที่ง่ายต่อการใช้งาน
 
13. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 ว่าด้วยการยื่นตรวจสอบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ให้อำนาจสมาชิกรัฐสภาดำเนินการผ่านประธานรัฐสภา ซึ่งได้กำหนดให้ ประธานรัฐสภาหลังได้รับเรื่องต้องส่งให้ประธานศาลฎีกาทันที โดยตัดเงื่อนไขที่ประธานรัฐสภาต้องใช้ดุลยพินิจว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำตามที่ถูกกล่าวหาออก
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้านี้ พรรคประชาชน โดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภามาแล้ว 4 ฉบับ คือ 

1. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลุ่มมาตราว่าด้วยคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ คือ รัฐมนตรี สส. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ซึ่งตัดคุณสมบัติที่ว่าด้วยต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงออก และเชื่อมโยงไปยังกระบวนการตรวจสอบ ของ ป.ป.ช.ในการตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ทำผิดจริยธรรมร้ายแรงด้วย

2. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยการลบล้างผลพวงรัฐประหาร เมื่อ 22 พ.ค.2557 และการป้องกันและต่อต้านรัฐประหาร
 
3. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยการยกเลิกแผนยุทธศาสตร์ชาติและยกเลิกแผนการปฏิรูปประเทศตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ 
 
และ 4. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ยกเลิกมาตรา 279 และเพิ่มสิทธิให้บุคคลที่ได้รับความเสียหายจากคำสั่งการกระทำของ คสช. หรือหัวหน้า คสช. มีสิทธิฟ้องร้องต่อศาลเพื่อเรียกค่าเสียหายได้
 
ทั้งนี้ ตามเงื่อนไขของการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ประธานรัฐสภาต้องพิจารณาความถูกต้องของรายละเอียดการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ และบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระภายใน 15 วัน ส่วนจะพิจารณาในช่วงเวลาใดของสมัยประชุมนั้น ตามการปฏิบัติปกติจะขึ้นอยู่กับการหารือของวิป 3 ฝ่าย ที่จะสรุปออกมา... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9504982



กมธ.แรงงาน สส. เคาะสิทธิลาคลอด 120 วันโดยได้รับค่าจ้าง ภาคประชาชนยืน 180 วัน
https://prachatai.com/journal/2024/11/111366
 
ที่ประชุม กมธ.แรงงาน สส. เคาะสิทธิลาคลอด 120 วันโดยได้รับค่าจ้าง แบ่งให้คู่สมรสได้ 15 วัน ด้านเสียงข้างน้อยสงวน 180 วัน ภาคประชาชนชี้ 180 วัน เพื่อให้แม่ได้มีเวลาอยู่กับลูกและให้นมครบ 6 เดือน พร้อมชงรัฐบาลทำนโยบายช่วยนายจ้าง
 
13 พ.ย. 2567 เพจเฟซบุ๊ก 'เทวฤทธิ์ มณีฉาย' สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เมื่อ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่า หลังเข้าร่วมการชี้แจงของคณะกรรมาธิการแรงงาน วุฒิสภา (กมธ. แรงงาน สว.) ซึ่งมีวาระพิจารณาการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ในประเด็นการลาคลอดของลูกจ้าง
 
สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม เครือข่ายรณรงค์สิทธิลาคลอด 180 วัน โดยได้รับค่าจ้าง และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่าได้ชี้แจงต่อ กมธ.แรงงาน สว. ถึงความเห็นต่อสิทธิลาคลอดของลูกจ้าง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วตนสนับสนุนสิทธิลาคลอด 180 วัน เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์การเกิดของประเทศไทยลดต่ำลงอย่างมาก ประชากรวัยแรงงานจะเป็นผู้สูงอายุมากขึ้น และกำลังการผลิตไม่เพียงพอ
 
สุเพ็ญศรี กล่าวต่อว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … สภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติเสียงข้างมากสนับสนุนสิทธิลาคลอด 120 วัน นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังมีกรรมาธิการเสียงข้างน้อยมีข้อสงวนความเห็นให้ลาได้ 180 วัน ซึ่งคาดว่ากฎหมายจะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมหน้า ทั้งนี้ เขายืนยันสนับสนุน 180 วัน เนื่องจากความต่าง 60 วัน มีนัยสำคัญต่อความใกล้ชิดกันของแม่ และลูก เด็กได้ดื่มนมแม่ก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างไรก็ตาม ในไทยขณะนี้มีนายจ้างหลายบริษัทที่อนุญาตให้ลูกจ้างหญิงลาคลอดได้ 180 วันโดยได้รับค่าจ้าง ส่วนในอนาคตต้องพิจารณาต่อว่าภาครัฐกับภาคเอกชนจะต้องแบ่งกันจ่ายหรือไม่ เป็นสัดส่วนเท่าใด เพราะกฎหมายสิทธิลาคลอดมีความสัมพันธ์กับกำลังการผลิตของประเทศ การเพิ่มจำนวนวันลาคลอดย่อมส่งผลหลายประการ
 
เหตุผลที่ต้องเป็น 180 วัน เนื่องมาจากแต่เดิมสามารถลาคลอดได้เพียง 90 วัน ซึ่งถือว่ายังน้อย ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ชี้ว่า การที่เด็กได้กินนมแม่ 6 เดือน จะเป็นผลดีต่อเด็กและแม่รวมถึงส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งเมื่อลูกจ้างที่ลาคลอดมีคุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพแข็งแรงแล้ว หากกลับไปทำงานก็จะได้ผลผลิตที่ดี
 
ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำหรับลูกจ้างที่ลาคลอด ตามอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุจะต้องลาได้ไม่น้อยกว่า 98 วัน ในส่วนของนายจ้างจะต้องไม่จำกัดสิทธิประโยชน์ลูกจ้าง แต่ในไทยกฎหมายไม่ได้ระบุครอบคลุมถึง ทำให้ลูกจ้างหญิงไม่สามารถที่จะลาได้ครบตามกำหนด
 
สุเพ็ญศรี กล่าวต่อว่า มาตรการที่จำเป็นในการผลักดันสิทธิลาคลอดในขณะนี้คือ มาตรการเรื่องสวัสดิการ และมาตรการทางภาษี โดยรัฐอาจลดภาษีสำหรับนายจ้างที่ให้ความร่วมมือที่ดี ส่วนมาตรการทางสวัสดิการนั้น ขณะนี้ไทยมีแรงงานหญิงนอกระบบและลูกจ้างเหมาบริการภาครัฐ ซึ่งมีปัญหาไม่สามารถลาคลอดโดยได้รับค่าจ้างได้ รัฐบาลจึงควรให้สวัสดิการที่จำเป็นกับลูกจ้างกลุ่มนี้
 
"ตอนนี้เรื่องภาระการตั้งครรภ์คลอดบุตรไปตกอยู่กับผู้หญิง อีกทั้งค่าจ้างขั้นต่ำรวมถึงค่าจ้างของแรงงานนอกระบบที่ไม่ได้สวัสดิการนั้นน้อยมาก การเพิ่มสิทธิวันลาคลอดจะต้องมีอานิสงส์ไปถึงลูกจ้างนอกระบบด้วย ขณะเดียวกันเรามีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น มีแรงงานมาทดแทนได้น้อยลง เพราะฉะนั้นรัฐต้องมีมาตรการทำให้ผู้หญิงหรือครอบครัวมีแรงจูงใจตั้งครรภ์คลอดบุตรสุเพ็ญศรี กล่าวทิ้งท้าย
 
อนึ่ง นอกจากเครือข่ายรณรงค์สิทธิลาคลอด 180 วัน เมื่อ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา กมธ.แรงงาน สว. ยังเชิญ อรุณี ศรีโต นายกสมาคมส่งเสริมสิทธิชุมชนเพื่อการพัฒนา พร้อมด้วยผู้แทนจากสำนักงานองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย (WHO) และมี สุนี ไชยรส คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า เข้าร่วมแลกเปลี่ยนถึงเหตุผลความจำเป็นของสิทธิลาคลอด รวมทั้งตัวแบบของประเทศอื่นๆ ที่ให้สิทธิลาคลอดต่างๆ โดยในการประชุมครั้งหน้า กมธ. แรงงาน สว. เตรียมเชิญผู้แทนจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มาให้ข้อมูลถึงประเด็นนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่