“เท้ง” ชี้อุปสรรคสำคัญพัฒนาประเทศ การเมืองไร้เสถียรภาพ-รัฐพันลึก ต้องผลักดันแก้ รธน.
.
.
“เท้ง ณัฐพงษ์” ชี้ การเมืองไร้เสถียรภาพ-รัฐพันลึก คืออุปสรรคสำคัญการพัฒนาประเทศ พรรคประชาชนลุยผลักดันแก้รัฐธรรมนูญ เผย อยากเห็นประเทศไทยเท่าทันโลก คนไทยเท่าเทียมกัน
.
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ร่วมวงเสวนา “ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โมเดลใหม่ในการพัฒนา” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “Reimagining Thailand’s Development Model” ที่จัดโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์
.
นายณัฐพงษ์ ระบุในช่วงหนึ่งว่า ปัญหาของประเทศไทยที่ผ่านมามีต้นตอจากปัญหาทางการเมือง ย้อนหลังไป 20 ปี ไทยมีนายกรัฐมนตรี 10 คน ตั้งแต่ปี 2557-2565 ถ้าตัด 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกไป โดยเฉลี่ยนายกรัฐมนตรีแต่ละคนอยู่ในตำแหน่งแค่ 1 ปีกว่า นโยบายอุตสาหกรรมที่ต้องการสร้างงานคุณภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยในสภาวะทางการเมืองที่มีการเปลี่ยนคนบริหารเช่นนี้ การสร้างอุตสาหกรรมใหม่ต้องอาศัยการเมืองที่มีเสถียรภาพ มีความชอบธรรม และมีทีมบริหารที่พร้อม แต่เสถียรภาพอย่างเดียวไม่เพียงพอ การเติบโตอย่างมีคุณภาพต้องการการลงทุนที่มีคุณภาพ และการค้าที่เป็นธรรมก็จะนำมาซึ่งการเติบโตที่เป็นธรรม ประเทศไทยยังมีปัญหาอีกหลายอย่าง เช่น เรื่องรัฐพันลึกที่ปิดกั้นและขูดรีด กลุ่มทุนในประเทศส่วนใหญ่แสวงหาค่าเช่าในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่การเติบโตที่ทุกคนอยากเห็น การเติบโตที่มีคุณภาพนอกจากการสร้างตัวเลขที่ดีแล้ว ต้องกระจายไปให้ถึงคนตัวเล็กตัวน้อยข้างล่างและธุรกิจเอสเอ็มอีด้วย
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ปัญหาทางการเมืองคืออุปสรรค เป็นสาเหตุหนึ่งว่าทำไมพรรคประชาชนถึงยอมแลกความนิยมทางการเมืองของตัวเองเพื่อเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าไม่แก้ระบบให้ดี ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลอีกกี่สมัย ถ้าศาลรัฐธรรมนูญปลดนายกรัฐมนตรีได้โดยง่าย ก็ไม่มีทางที่จะนำนโยบายที่มีการนำเสนอวันนี้ไปทำได้ และถ้าไม่ริเริ่มกระบวนการในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในครั้งนี้ ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาใหญ่ของประเทศได้ ดังนั้น ระบบการเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตย สร้างรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีความชอบธรรม คือสิ่งที่ประเทศต้องมีและต้องทำนโยบายอย่างต่อเนื่อง อาจจะต้อง 8 ปี หรือ 12 ปี จึงจะเกิดอุตสาหกรรมใหม่และงานที่มีคุณภาพได้
.
ส่วนเรื่องการกิโยตินกฎหมายก็เช่นเดียวกัน TDRI มีผลการศึกษามานานแล้ว ต้นทุนของการมีกฎระเบียบเกินความจำเป็นต่อภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นสินบนเงินใต้โต๊ะ หรืออุปสรรคต่างๆ ในภาคธุรกิจ ปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท คำถามคือในเมื่อ TDRI หรือภาควิชาการในประเทศไทยศึกษามานานแล้ว แล้วทำไมถึงไม่เคยเกิดขึ้นเสียที เพราะสิ่งที่ขาดไปคือเจตจำนงทางการเมือง ประเทศไทยรู้หมดว่าต้องทำอะไร แต่โจทย์คือจะทำอย่างไรให้ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจนโยบาย เมื่อเข้ามามีอำนาจแล้วเข้าไปทำจริงๆ เรื่องเจตจำนงทางการเมืองและที่มาที่ไปของผู้ที่ได้เข้าสู่อำนาจ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้
.
“อีกสิ่งที่สำคัญคือการเปลี่ยนวิธีการใช้งบประมาณ เวทีวันนี้มีการพูดถึงการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งสิ่งที่พรรคประชาชนเสนอมาตลอดคือการเปลี่ยนความต้องการของประชาชนเป็นอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การจัดการขยะเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมมาก ประเทศไทยมีปัญหาขยะล้นเมือง วิธีการจัดการขยะในปัจจุบันมีการตั้งงบประมาณให้ท้องถิ่นทำเตาเผาขยะชุมชนขนาดเล็ก ซึ่งมีราคาแพง พังเร็ว และสกปรก ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วใช้ระบบบริหารจัดการขยะโดยใช้เตาเผาขยะขนาดใหญ่ ซึ่งกรรมาธิการของพรรคประชาชนได้เข้าไปศึกษาเรื่องนี้จนได้ผลสรุปเป็นรูปธรรมแล้ว ว่าการลงทุนอย่างถูกจุดสามารถสร้างการลงทุนใหม่ที่มีคุณภาพได้ ถ้าเปลี่ยนเม็ดเงินเดียวกันหลายแสนล้านบาทมาลงทุนอย่างต่อเนื่องและถูกจุด สร้างเตาเผาขยะขนาดใหญ่ ประเทศไทยสามารถมีระบบบริหารจัดการขยะที่ดีเท่าเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้วได้”
.
นอกจากนี้ หัวหน้าพรรคประชาชน ยังกล่าวถึงอีกหลายเรื่อง อาทิ การลงทุนของรัฐในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานมีปัญหา เรื่องของ AI พลังงานสะอาด ระบบงบประมาณ โดยเฉพาะกระบวนการในการจัดทำงบประมาณ ปัจจุบันกระบวนการจัดทำงบประมาณของประเทศไทยมาจากการคิดของระบบราชการมากเกินไป แม้ประเทศไทยจะมีแผนและยุทธศาสตร์จำนวนมาก แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่รัฐกระดาษ เขียนแผนมากมายแต่กลไกราชการไม่ตอบสนองต่อแผน เพราะกระบวนการตั้งและจัดสรรงบประมาณเป็นแบบต่างคนต่างทำ
.
ดังนั้น กระบวนการจัดทำงบประมาณของประเทศไทยต่อจากนี้ควรต้องหาจุดสมดุล ขีดเส้นให้ชัด ในส่วนของรายจ่ายประจำ หน้าที่ของรัฐบาล (ระดับนโยบาย) คือการวางนโยบายให้มีการประหยัดต้นทุนต่อหน่วยของงบประมาณรายจ่ายประจำให้มากที่สุด แต่สำหรับงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์ เช่น งบลงทุน ต้องมีการจัดสรรกันใหม่ ถ้าปล่อยให้ส่วนราชการคิดก็จะกลายเป็นงบประมาณสร้างตึก ตัดถนน ขุดคลองไปเรื่อยๆ เช่นนี้ต่อไป “อีกสิ่งที่จำเป็นคือการจัดสรรงบลงทุนที่ตอบโจทย์ประเทศโดยระดับนโยบายเป็นคนคิด ประเทศไทยที่ผมอยากเห็น คือประเทศที่คนไทยเท่าเทียมกัน ประเทศไทยเท่าทันโลก”
.
.
พริษฐ์ ชี้ ปชน. สู้เต็มที่ แม้แพ้ลงมติ ยันต้องเร่งผลักดันให้เสร็ก่อนสิ้นปี มั่นใจ ‘สูตร 20 หยิบ 1’ ป้องผูกขาดได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_5460265
.
พริษฐ์ ชี้ ปชน. สู้เต็มที่ แม้แพ้ลงมติ ยันต้องเร่งผลักดันให้เสร็ก่อนสิ้นปี มั่นใจ ‘สูตร 20 หยิบ 1’ ป้องผูกขาดได้ เปิดทางปชช.กำหนดผู้ร่างได้บ้างผ่านคูหา
.
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่อาคารอนาคตใหม่ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน กล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ลงมติเพื่อหาข้อสรุปในหลายประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งการมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เป็นสิ่งที่พรรคประชาชนเรียกร้องมาตลอด และเป็นสิ่งที่หลายพรรคเคยเห็นตรงกัน
.
แต่ตั้งแต่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ที่ห้ามไม่ให้ “ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง” ส่งผลให้ไม่มีพรรคการเมืองใดสามารถเสนอ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้อีกต่อไป และทั้ง 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ 3 พรรคการเมืองหลักที่ถูกพิจารณาในวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 14-15 ตุลาคม 2568 ก็ไม่มีร่างไหนที่เสนอให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง
.
ร่างของพรรคประชาชนที่รัฐสภามีมติให้ใช้เป็นร่างหลักในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ มี 2 หลักการที่เราให้ความสำคัญคือ (1) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากที่สุด โดยไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ (2) ป้องกันการผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่ง
.
นายพริษฐ์กล่าวว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการมีการลงมติเกี่ยวกับ 3 ข้อเสนอหลักในร่างของพรรคประชาชนที่พยายามมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว ประกอบด้วย
.
1. สภาที่ปรึกษาที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ด้วยข้อจำกัดของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้กลไกใดๆ ก็ตามที่มีหน้าที่ในการร่างรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้ พรรคประชาชนจึงออกแบบกลไก “สภาที่ปรึกษา” ที่ไม่ได้มีอำนาจในการร่าง แต่มีอำนาจในการรับฟังรวบรวมความเห็นของประชาชน เมื่อเป็นเช่นนี้ สภาที่ปรึกษาจึงเป็นกลไกเดียวในบรรดาทุกร่างที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แต่น่าเสียดายที่คณะกรรมาธิการมีมติ ให้ตัดสภาที่ปรึกษาออก โดยมีแค่กรรมาธิการ 8 คนจากพรรคประชาชนที่ลงมติให้คงสภาที่ปรึกษาไว้ ส่วนอีก 23 คนเห็นควรให้ตัดออก และ 3 คนงดออกเสียง
.
2.การเปิดให้ประชาชนเข้าคูหาเลือกตั้งเพื่อคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้นก่อนส่งให้รัฐสภาคัดเลือก ร่างของพรรคประชาชนเสนอให้ประชาชนเลือกตั้งผู้ร่างให้เหลือ 70 คน โดยใช้ระบบเลือกตั้งคล้ายกับ สส.บัญชีรายชื่อ ก่อนจะส่งต่อให้รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน แต่น่าเสียดายที่คณะกรรมาธิการมีมติให้ตัดกลไกดังกล่าวออก โดยมีแค่กรรมาธิการ 8 คนจากพรรคประชาชนที่ลงมติให้คงกลไกดังกล่าวไว้ อีก 14 คนเห็นควรให้ตัดออก และ 12 คนงดออกเสียง
3. การให้รัฐสภาคัดเลือกผู้ร่างโดยใช้สูตร “20 หยิบ 1” แทนการใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก : สำหรับสูตร 20 หยิบ 1 นั้นคือการกำหนดว่าในเมื่อสมาชิกรัฐสภามี 700 คน และผู้ร่างมี 35 คน จึงควรให้สมาชิกรัฐสภาที่รวมตัวกันได้ 20 คน สามารถมีสิทธิคัดเลือกผู้ร่างได้หนึ่งคน ซึ่งจะเป็นหลักประกันว่าคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่ง และทำให้คณะผู้ร่างมีตัวแทนที่หลากหลายจากทุกกลุ่มความคิด
.
ในทางกลับกัน หากรัฐสภาใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่งมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา เช่น สส. และ สว. รวมกันเกิน 350 คน ก็อาจใช้เสียงข้างมากผูกขาดการคัดเลือกผู้ร่างได้ทั้ง 35 คน หรือ 100% แบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งสำหรับข้อเสนอนี้ น่ายินดีที่คณะกรรมาธิการส่วนใหญ่เห็นด้วย แทบเรียกว่าเป็นฉันทามติ ให้ใช้สูตร 20 หยิบ 1 แทนใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก
.
มุมมองของพรรคประชาชน ผลการลงมติของคณะกรรมาธิการจึงเป็นเรื่องที่ทั้งน่าผิดหวังและน่ายินดีผสมกันไป เพราะแม้เราไม่สามารถโน้มน้าวให้กรรมาธิการจากพรรคอื่นๆ และ สว. เห็นด้วยกับเราใน 2 จาก 3 ข้อเสนอ (สภาที่ปรึกษาที่ประชาชนเลือกโดยตรง และ การให้ประชาชนคัดกรองผู้ร่าง)
.
แต่เราสามารถผลักดัน 1 จาก 3 ข้อเสนอ (สูตร 20 หยิบ 1) ได้สำเร็จ จึงรับประกันได้ว่าการคัดเลือกผู้ร่างโดยรัฐสภาจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และประชาชนยังมีส่วนร่วมได้บ้างในการกำหนดผู้ร่างผ่านคูหาเลือกตั้ง สส. เพราะหากประชาชนเลือก สส. จากพรรคใดเยอะ พรรคดังกล่าวก็ย่อมมีสิทธิในการคัดเลือกผู้ร่างที่มีจุดยืนเรื่องรัฐธรรมนูญใกล้เคียงกันได้เยอะขึ้น
.
อย่างไรก็ตาม มีกรรมาธิการบางท่านมีความกังวลว่า สูตร 20 หยิบ 1 อาจไม่ใช่ยาวิเศษเสียแล้ว เพราะประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้น แต่ข้อเท็จจริงเรื่องนี้คือ
.
1. คณะกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ รวมถึงกรรมาธิการดังกล่าว ไม่ได้ลงมติเห็นชอบกับข้อเสนอของพรรคประชาชน ที่เสนอให้ประชาชนคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้น 70 คน ก่อนส่งให้รัฐสภาคัดเหลือ 35 คน
.
2. กรรมาธิการท่านอื่น ไม่ได้เสนอวิธีการอื่นที่จะป้องกันการผูกขาด มิหนำซ้ำร่างที่พรรคต้นสังกัดของกรรมาธิการดังกล่าวเสนอ ก็กำหนดว่าในขั้นตอนสุดท้ายที่รัฐสภาคัดเลือก สสร. ให้รัฐสภาใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการผูกขาดกว่าสูตร 20 หยิบ 1
JJNY : 5in1 “เท้ง”ชี้อุปสรรคสำคัญ│พริษฐ์มั่นใจ‘สูตร20 หยิบ1’│วันนอร์พร้อมเปิดสภา│ทูตไทยร้อง‘UNSC’│ชาวอยุธยาโอดหนักกว่า54
.
พริษฐ์ ชี้ ปชน. สู้เต็มที่ แม้แพ้ลงมติ ยันต้องเร่งผลักดันให้เสร็ก่อนสิ้นปี มั่นใจ ‘สูตร 20 หยิบ 1’ ป้องผูกขาดได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_5460265
.