
.
“อ.สิริพรรณ” ชี้สูตร 20 หยิบ 1 ลดผูกขาดเสียงข้างมากไม่ได้จริง ขอให้ทบทวน พร้อมแนะให้กำหนดกรอบทำรธน.ใหม่ อย่าตีเช็กเปล่า ด้าน “กมธ.แก้รธน.” ยอมรับสูตรร่างรธน. ไม่เอื้อให้ได้รธน.ที่ดี แต่อยู่ที่การมีส่วนร่วมของประชาชน ด้าน “อ.นิติ มธ.” มองแก้รธน.ส่อมีปัญหาตรวจสอบ-ถ่วงดุล หากให้รัฐสภาเลือกผู้ร่าง-เห็นชอบร่างรธน.ใหม่
.
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ที่รัฐสภา คณะกรรมการวิชาการของวุฒิสภา ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า จัดโครงการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “แก้ไขรัฐธรรมนูญ ใครได้ประโยชน์?” โดย น.ส.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวตอนหนึ่งว่า สูตร 20 หยิบ 1 ช่วยแก้การผูกขาดระดับหนึ่ง ไม่มีเสียงข้างมากโหวตโดยตรง แต่ต้องพึงระวัง สูตรดังกล่าวจะมีผลจริงจัง สามารถลดการผูกขาดได้ต้องรอผลเลือกตั้งรอบหน้า ทั้งนี้ ส.ว.มี 200 คน สามารถเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ 10 คน จาก 35 คน อีกฝั่งหนึ่ง คือ พรรคการเมือง ที่อาจรวมกันได้ 200 คน หยิบได้ 10 คน โดยส่วนตัวเชื่อว่า การเลือกตั้งรอบหน้าจะไม่มีพรรคไหนที่ได้ส.ส.เกิน 200 เสียง ดังนั้น หากส.ว. และพรรคการเมืองรวมกันได้ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ 20 คนจาก 35 คน เป็นความน่ากังวลใจ
.
น.ส.สิริพรรณ กล่าวต่อว่า สำหรับกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นสิ่งสำคัญ โดยรัฐสภาต้องชูธงให้ประชานรู้สึกว่าได้ประโยชน์อะไรจากการแก้รัฐธรรมนูญ ขณะที่กระบวนการเลือกตั้งต้องสอดคล้องกัน ว่า ประชาชนเลือกส.ส. เพื่อให้เป็นตัวแทนเลือก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดกระบวนการการมีส่วนร่วมแก้รัฐธรรมนูญ และทำให้ประเด็นที่อยากแก้กระจายลงไป
.
“สิ่งที่ต้องคุยกัน คือ ก่อนให้ประชาชนลงประชามติ ต้องทำให้ประชาชนเห็นภาพว่า หน้าตาของรัฐธรรมนูญใหม่เป็นอย่างไร ไม่ใช่ตีเช็คเปล่า ทั้งนี้ ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนต่อการทำรัฐธรรมนูญที่ดี คือการจัดทำรัฐธรรมนูญที่ซื่อตรงเพื่อให้ระบอบการเมือง และรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชามติ ทั้งนี้ขอพยากรณ์ว่า บัตรประสงค์ไม่ลงคะแนนจะเยอะ เพราะประชาชนไม่เชื่อมั่นในระบอบการเมือง เพราะปัจจุบันพบว่า ไม่ต้องเป็นพรรคที่ได้ส.ส.ข้างมาก ก็ได้เป็นรัฐบาล” น.ส.สิริพรรณ กล่าว
.
น.ส.สิริพรรณ กล่าวต่อว่า มีประเด็นที่น่ากังวล คือการให้รัฐสภาผ่านร่างแก้รัฐธรรมนูญในวาระสามได้ก่อนการยุบสภา แต่หากยุบสภาเกิดก่อน 31 มกราคม 2569 อาจทำไม่ได้ ดังนั้นอยากวิงวอนไปยังรัฐบาลให้ประกาศการจัดทำประชามติในคำถามแรก ว่าด้วยการขอความเห็นชอบจากประชาชนต่อการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้ว่าคำถามที่สองไม่สามารถทำได้ เพราะยังไม่ผ่านวาระสาม อย่างไรก็ดีหากไม่สามารถผ่านวาระสามได้ทันก่อนการยุบสภา ควรพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา
.
ขณะที่ นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ส.ว. ฐานะโฆษก คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา กล่าวตอนหนึ่งว่า สูตร 20 หยิบ1 ไม่ได้การันตีว่าจะทำให้ได้รัฐธรรมนูญที่ดี หรือการันตีทุกอย่างได้แต่ข้อเสนอที่คุยในกมธ. เป็นแนวทางที่ดีที่สุด โดยเฉพาะกันการครอบงำของเสียงข้างมากในรัฐสภา การเลือกตั้งครั้งหน้า อาจไม่มีพรรคไหนได้ 200 เสียง สมมติว่า หาก ส.ว.รวมหัวกัน 200 คน เลือกผู้ร่างได้เต็มที่ 10 คน อาจไปรวมกับ พรรค หรือจากสภาอื่นได้อีก 10 คน เมื่อรวมกันจะได้ 20 คน จาก 35 คน ถือว่ายังห่างไกลครึ่งหนึ่ง
.
“สูตร 20 หยิบ 1 ไม่ได้ทำให้เกิดรัฐธรมนูญที่ดี แต่อยู่ที่การมีส่วนร่วมของประชาชน จึงเสนอให้มีการถ่ายทอดสดให้ประชาชนได้ชมการถ่ายทอดสด เพื่อไม่ให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่กล้าทำเรื่องที่แปลก ดังนั้นสูตรนั้นคือกระบวนการที่กันการครอบงำ ทำให้ร่างรัฐธรรมนุญใหม่ ที่มีความหลากหลายไม่ถูกผูกมัดกับคนที่มาร่างได้” นายนรเศรษฐ์ กล่าว
.
ด้าน น.ส.สิริพรรณ กล่าวทันทีว่า ตนเห็นภาพว่าจะเกิดการผูกขาด เช่น เมื่อพิจารณาจาก ส.ว.ที่โหวตรับร่างแก้รัฐธรรมนูญของพรรคภูมิใจไทย จำนวน 167 คน จะได้ ผู้ยกร่าง 8 คน ส่วน ส.ว.อีกกลุ่มอาจหยิบได้ 2 คน หากกลุ่มใหญ่ไปรวมกับพรรครัฐบาลครั้งหน้า ซึ่งฝั่งนั้นรวมกันได้ 200 คน เท่ากับจะได้ผู้ยกร่าง 20 คน เมื่อรวมกันจะได้ ผู้ยกร่างรวม 28 คน จาก 35 คน ถือว่าเกินครึ่ง ดังนั้น เป็นโจทย์ที่ต้องคิดต่อว่า หากจะลดการผูกขาดต้องหาวิธีอื่นอย่างไร ซึ่งต้องทบทวนดีๆ รวมไปถึงต้องไม่ใช้วิธีเขียนเช็คเปล่าให้ โดยการแก้ไข มาตรา 256 นั้นต้องวางกรอบให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับหน้า มีหลักประกันที่จะทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง รับผิดชอบในการกระทำของตนเอง มีระบบตรวจสอบถ่วงดุล ไม่ลดทอนสิทธิเสรีภาพ ที่น่ากังวลคือ การแก้ไขระบบเลือกตั้งที่มีเป้าหมายเพื่อเอื้อบางพรรคการเมือง ดังนั้น หากจะแก้ไขต้องไม่คิดว่าแก้แล้วเอื้อให้พรรคไหน แต่ต้องคำนึงถึงหัวใจให้ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่สับสนและสะท้อนเจตนารมณ์ของตนเอง ดังนั้นต้องวางกรอบให้ชัดเจน
.
ขณะที่ นายอภินพ อติพิบูลย์สิน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สูตรที่กำหนดให้เป็นที่มาของ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ด้วย 20 หยิบ 1 นั้น สุ่มเสี่ยงที่นักการเมืองจะเลือกคนกันเอง และอาจทำให้การแก้รัฐธรรมนูญอยู่ในระบบแบบเดิม ยากต่อการเปลี่ยนแปลงเรื่องที่อยู่นอกวงการเมืองได้ แต่สิ่งที่จะทำให้พ้นภาวะดังกล่าว คือ ประชาชนต้องเรียกร้องกดดันว่า ต้องการได้รัฐธรรมนูญแบบไหน ต่อให้ออกแบบสูตร 20 หยิบ 1 การกดดันจะทำให้รัฐสภาเลือกคนที่ไม่น่าเกลียด หรือ ได้คนเป็นกลางมาทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
“มีคำถามว่ารัฐธรรมนูญจะหน้าตาเป็นอย่างไร ผู้คัดเลือกคือรัฐสภา ไม่ใช่ประชาชน และร่างรัฐธรรมนูญต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา หากผู้ที่มาเลือกกมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ เป็นสภาชุดใหม่หลังเลือกตั้ง และเป็นผู้ที่ต้องรับรองร่างรัฐธรรมนูญเป็นชุดเดียวกัน อาจมีปัญหาตรวจสอบ ถ่วงดุล ขณะที่กระบวนการทำประชามติ สุ่มเสี่ยงมีปัญหา หากถูกหยิบบางประเด็นมาเผยแพร่ เช่น ทรยศชาติ อาจทำให้ประชาชนทะเลาะกันเอง จนควบคุมไม่ได้ ดังนั้น การมีส่วนร่วม ถือเป็นเครื่องมือที่ต้องใช้อย่างงระมัดระวัง แต่หากกำหนดประเด็นชัดเจน เช่น มีคำถามพ่วงว่า เมื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว ต้องรีเซตรัฐสภาทั้งหมด ทั้งส.ส. และ ส.ว.” นายอภินพ กล่าว
.
.
รีแคป ‘พ.ร.บ.อุ้มหายฯ’ 3 ปีผ่านไป กล้องยังไม่พร้อม? อดีตส.ส.ยะลา ชี้ไม่ต้องรอ 5 ปี แก้ได้เลย
.
รีแคป ‘พ.ร.บ.อุ้มหายฯ’ 3 ปีผ่านไป กล้องยังไม่พร้อม? อดีต ส.ส.ยะลา ชี้ไม่ต้องรอ 5 ปี แก้ได้เลย
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมสัมมนา B1–2 อาคารรัฐสภา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับเครือข่าย จัดงานเสวนา “
นับถอยหลัง! ครบรอบ 1 ปี การติดตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน : ก้าวต่อไปของรัฐสภาไทยในการคุ้มครองเหยื่อทรมานและอุ้มหาย”
.
ในโอกาสที่ประเทศไทยกำลังจะครบรอบหนึ่งปี หลังจากรายงานจากคณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติเปิดตัว รายงานดังกล่าวประกอบไปด้วยข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดในฐานะชาติสมาชิกทั้งนี้ เพื่อตั้งคำถามว่า รัฐไทย ได้ขับเคลื่อนถึงไหนแล้ว และสิ่งใดที่ยังต้องผลักดันต่อ ให้การคุ้มครอง ป้องกัน การทรมานและการบังคับสูญหายเกิดขึ้นจริงในเชิงระบบ
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานแบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยวงเสวนาแรกในหัวข้อ ‘ความคืบหน้าการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะเร่งด่วน’
.
จากนั้นต่อด้วยวงเสวนาที่ 2
‘บทบาทฝ่ายนิติบัญญัติและทิศทางการแก้ไขกฎหมาย’ โดย นาย
รอมฎอน ปันจอร์ ผู้แทนพรรคประชาชน, ทพญ.
ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ ผู้แทนพรรคเพื่อไทย, นาง
รัดเกล้า สุวรรณคีรี ผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์, นาย
อาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ผู้แทนพรรคกล้าธรรม ดำเนินรายการ
อภิสิทธิ์ ดุจดา รองบรรณาธิการสำนักข่าวทูเดย์
.
ในตอนหนึ่ง
นายอาดิลัน ผู้แทนพรรคกล้าธรรม ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ยะลา เขต 1 ซึ่งเป็นอดีตทนายความ กล่าวว่า จากที่มีการกล่าวถึงปัญหาของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ซึ่งตนอยากนำเรียนว่า ทางคณะกรรมการฯ ได้มีความพยายามที่จะแก้ไข เพื่อให้องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ มีผู้แทนทั้งผู้เสียหายและผู้สูญหายด้วย แต่เมื่อเสนอไปในชั้น วุฒิสภา ก็มีการปรับแก้และใช้ร่างหลักของรัฐบาล จึงเป็นที่มาของ
พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ฉบับปัจจุบันนี้ ที่ใช้มาร่วม 3 ปี ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีทบทวนดูว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะกลับไปใช้ร่างที่ผ่านการพิจารณาของ ส.ส.
.
“แต่สิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้ว่า เราอย่าไปติดกับดักว่าต้องรอ 5 ปี เราสามารถจะปรับปรุงแก้ไขได้ทันที หากเห็นอุปสรรคของกฎหมาย เหมือนอย่างที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า ปัญหาอะไรที่ล้าหลัง ไม่เป็นธรรม สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ทันที” นาย
อาดิลันกล่าว
.
นาย
อาดิลันกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องของ
‘อายุความ’ โดยตัวกฎหมายเอง ในเรื่องของการสูญหาย มีการเขียนไว้อยู่แล้ว ว่ายังไม่ได้นับอายุความจนกว่าทราบชะตากรรมของผู้สูญหาย อยากนำเรียนว่า ในคณะอนุกรรมาธิการตากใบ ซึ่งตนมีโอกาสเป็นหนึ่งในนั้น ทำให้ได้เห็นถึงสภาพปัญหาของกฎหมายฉบับนั้นว่า ‘
กรณีตากใบ’ เป็นประเด็นสำคัญ ว่าถ้ามีอายุความขึ้นมาในคดีสำคัญ ก็อาจจะทำให้คนผิดลอยนวลได้ เพราะมีอำนาจในช่วงเวลาที่อายุความยังมีอยู่ อย่างที่ปรากฎให้เห็น
.
“ในฐานะที่เคยเป็นอดีต ส.ส. แล้วอนาคตเราต้องต่อสู้ทางการเมืองต่อไป ก็อยากฝากทุกพรรคการเมือง ถ้าเราดูเจตจำนงในการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ถ้าทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า คณะกรรมการฯ ชุดนี้ จะต้องมีองค์ประกอบจาก ‘ผู้เสียหายและสูญหาย’ รวมไปถึงเรื่อง ‘อายุความ’ ด้วย เป็นสิ่งที่อยากย้ำว่า ฝ่ายการเมือง คงจะต้องยืนยันที่จะปรับแก้ในอนาคตต่อไป” นาย
อาดิลันชี้
.
เมื่อถามว่า กฎหมาย พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ใช้มาแล้ว 3 ปี มีประเด็นปัญหาส่วนใดที่พบบ้าง ?
.
นาย
อาดิลันเผยว่า ส่วนตนมาจาก จ.ยะลา ตนขอกล่าวถึงสภาพปัญหาจากสิ่งที่เจอในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือเรื่อง ‘
การใช้บังคับกฎหมายพิเศษ’ เรื่องการสอบสวน หรือผู้แทนอัยการที่อาจจะไม่อยากก้าวล่วงให้ความเห็นในมุมอื่น ว่าได้หรือไม่ได้อย่างไร ในกรณีที่มีกฎหมายพิเศษเข้ามาเกี่ยวข้อง
.
ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่สามารถ อ้างเหตุฉุกเฉิน หรือร้ายแรงได้เลย ฉะนั้นจะต้องมีการบันทึกภาพและเสียง ตั้งแต่วินาทีแรกที่มีการควบคุมตัว เว้นแต่มีเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถบันทึกได้ แต่ต้องเป็นเพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้น หากกล้องไม่มี สามารถใช้กล้องโทรศัพท์ได้
.
“แต่ปัญหาคือ ในทางปฏิบัติ ในทางคดี เราไม่สามารถรู้ได้เลย ว่ามีการบันทึกภาพหรือไม่ เว้นแต่คดีที่มีการรับสารภาพ ก็จะมีการบันทึกภาพวิดีโอ ขณะตอบคำถาม ซึ่งผมเคยถามว่าเรามีแนวทางหรือไม่ เพื่อกำชับพนักงานสอบสวน ว่าคุณต้องส่งภาพ และทนายความมีสิทธิที่จะขอหมาย ให้อัยการส่งไฟล์ภาพเหล่านั้นได้ ซึ่งที่ผ่านมาเราขอไป ก็ไม่มีข้อมูล คือสิ่งที่เกิดขึ้น” นาย
อาดิลันกล่าว
JJNY : 5in1 ห่วงสูตร 20 หยิบ 1│รีแคป ‘พ.ร.บ.อุ้มหายฯ’│ชายแดนสุรินทร์ยังเครียด│พัทลุงอ่วม ฝนถล่มต่อเนื่อง│โปแลนด์โกรธจัด!
https://www.matichon.co.th/politics/news_5464388
.
.
.
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมสัมมนา B1–2 อาคารรัฐสภา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับเครือข่าย จัดงานเสวนา “นับถอยหลัง! ครบรอบ 1 ปี การติดตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน : ก้าวต่อไปของรัฐสภาไทยในการคุ้มครองเหยื่อทรมานและอุ้มหาย”
.
ในโอกาสที่ประเทศไทยกำลังจะครบรอบหนึ่งปี หลังจากรายงานจากคณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติเปิดตัว รายงานดังกล่าวประกอบไปด้วยข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดในฐานะชาติสมาชิกทั้งนี้ เพื่อตั้งคำถามว่า รัฐไทย ได้ขับเคลื่อนถึงไหนแล้ว และสิ่งใดที่ยังต้องผลักดันต่อ ให้การคุ้มครอง ป้องกัน การทรมานและการบังคับสูญหายเกิดขึ้นจริงในเชิงระบบ
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานแบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยวงเสวนาแรกในหัวข้อ ‘ความคืบหน้าการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะเร่งด่วน’
.
จากนั้นต่อด้วยวงเสวนาที่ 2 ‘บทบาทฝ่ายนิติบัญญัติและทิศทางการแก้ไขกฎหมาย’ โดย นายรอมฎอน ปันจอร์ ผู้แทนพรรคประชาชน, ทพญ. ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ ผู้แทนพรรคเพื่อไทย, นางรัดเกล้า สุวรรณคีรี ผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์, นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ผู้แทนพรรคกล้าธรรม ดำเนินรายการ อภิสิทธิ์ ดุจดา รองบรรณาธิการสำนักข่าวทูเดย์
.
ในตอนหนึ่ง นายอาดิลัน ผู้แทนพรรคกล้าธรรม ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ยะลา เขต 1 ซึ่งเป็นอดีตทนายความ กล่าวว่า จากที่มีการกล่าวถึงปัญหาของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ซึ่งตนอยากนำเรียนว่า ทางคณะกรรมการฯ ได้มีความพยายามที่จะแก้ไข เพื่อให้องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ มีผู้แทนทั้งผู้เสียหายและผู้สูญหายด้วย แต่เมื่อเสนอไปในชั้น วุฒิสภา ก็มีการปรับแก้และใช้ร่างหลักของรัฐบาล จึงเป็นที่มาของ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ฉบับปัจจุบันนี้ ที่ใช้มาร่วม 3 ปี ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีทบทวนดูว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะกลับไปใช้ร่างที่ผ่านการพิจารณาของ ส.ส.
.
“แต่สิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้ว่า เราอย่าไปติดกับดักว่าต้องรอ 5 ปี เราสามารถจะปรับปรุงแก้ไขได้ทันที หากเห็นอุปสรรคของกฎหมาย เหมือนอย่างที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า ปัญหาอะไรที่ล้าหลัง ไม่เป็นธรรม สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ทันที” นายอาดิลันกล่าว
.
นายอาดิลันกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องของ ‘อายุความ’ โดยตัวกฎหมายเอง ในเรื่องของการสูญหาย มีการเขียนไว้อยู่แล้ว ว่ายังไม่ได้นับอายุความจนกว่าทราบชะตากรรมของผู้สูญหาย อยากนำเรียนว่า ในคณะอนุกรรมาธิการตากใบ ซึ่งตนมีโอกาสเป็นหนึ่งในนั้น ทำให้ได้เห็นถึงสภาพปัญหาของกฎหมายฉบับนั้นว่า ‘กรณีตากใบ’ เป็นประเด็นสำคัญ ว่าถ้ามีอายุความขึ้นมาในคดีสำคัญ ก็อาจจะทำให้คนผิดลอยนวลได้ เพราะมีอำนาจในช่วงเวลาที่อายุความยังมีอยู่ อย่างที่ปรากฎให้เห็น
.
“ในฐานะที่เคยเป็นอดีต ส.ส. แล้วอนาคตเราต้องต่อสู้ทางการเมืองต่อไป ก็อยากฝากทุกพรรคการเมือง ถ้าเราดูเจตจำนงในการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ถ้าทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า คณะกรรมการฯ ชุดนี้ จะต้องมีองค์ประกอบจาก ‘ผู้เสียหายและสูญหาย’ รวมไปถึงเรื่อง ‘อายุความ’ ด้วย เป็นสิ่งที่อยากย้ำว่า ฝ่ายการเมือง คงจะต้องยืนยันที่จะปรับแก้ในอนาคตต่อไป” นายอาดิลันชี้
.
เมื่อถามว่า กฎหมาย พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ใช้มาแล้ว 3 ปี มีประเด็นปัญหาส่วนใดที่พบบ้าง ?
.
นายอาดิลันเผยว่า ส่วนตนมาจาก จ.ยะลา ตนขอกล่าวถึงสภาพปัญหาจากสิ่งที่เจอในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือเรื่อง ‘การใช้บังคับกฎหมายพิเศษ’ เรื่องการสอบสวน หรือผู้แทนอัยการที่อาจจะไม่อยากก้าวล่วงให้ความเห็นในมุมอื่น ว่าได้หรือไม่ได้อย่างไร ในกรณีที่มีกฎหมายพิเศษเข้ามาเกี่ยวข้อง
.
ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่สามารถ อ้างเหตุฉุกเฉิน หรือร้ายแรงได้เลย ฉะนั้นจะต้องมีการบันทึกภาพและเสียง ตั้งแต่วินาทีแรกที่มีการควบคุมตัว เว้นแต่มีเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถบันทึกได้ แต่ต้องเป็นเพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้น หากกล้องไม่มี สามารถใช้กล้องโทรศัพท์ได้
.
“แต่ปัญหาคือ ในทางปฏิบัติ ในทางคดี เราไม่สามารถรู้ได้เลย ว่ามีการบันทึกภาพหรือไม่ เว้นแต่คดีที่มีการรับสารภาพ ก็จะมีการบันทึกภาพวิดีโอ ขณะตอบคำถาม ซึ่งผมเคยถามว่าเรามีแนวทางหรือไม่ เพื่อกำชับพนักงานสอบสวน ว่าคุณต้องส่งภาพ และทนายความมีสิทธิที่จะขอหมาย ให้อัยการส่งไฟล์ภาพเหล่านั้นได้ ซึ่งที่ผ่านมาเราขอไป ก็ไม่มีข้อมูล คือสิ่งที่เกิดขึ้น” นายอาดิลันกล่าว