สัญญานเริ่มยกธงขาวของละครไทยในสถานีโทรทัศน์เริ่มเห็นชัด
และเมื่อมีประเด็นนี้ ทุกวงสนทนาจะพูดว่าก็ content มันไม่ดี
เนื้อเรื่องเดิม ๆ จับคู่เดิม ๆ ไปดู OTT เจ้าอื่นดีกว่าก็ว่าไป
และตัวผู้ผลิตก็พูดว่าคนดูมีรสนิยมที่เปลี่ยนไป ฉันตามไม่ทันแล้วพี่บัวลอย
แต่ไม่มีใครสนใจประเด็นที่แท้จริง
นอกจากการสื่อสารสองทาง ที่โต้กันไปมาเป็นปิงปอง
แต่จริง ๆ มันเป็นสามเหลี่ยมมาแต่ต้น
เพราะสิ่งที่คนดูผูกพันกันมาในช่วง 30 ปี คือ Free tv
ทีวีที่ไม่มีการเรียกเก็บค่าสมาชิกกับคนดู ไม่เหมือน Pay tv
มีหน้าที่แค่ผลิต content ที่ดึงคนมาดูให้ได้
ไม่จำเป็นต้องรักษาคนดูให้อยู่กับสถานีตลอด
แต่ด้วยระบบผูกขาดทำให้ก่อเกิดกลุ่มก้อนที่ดันพึงใจที่สถานีนั้นเป็น
จนแต่ละสถานีมีกลุ่มก้อนที่เป็นตายอย่างไรก็จะดูแต่ที่นี่
โดยมีสื่อกลางที่มีบทบาทมากที่สุดต่อคนในวงการ ดารา โปรดักชั่นเฮาส์ต้องเกรงใจ
แต่เป็นสิ่งที่เป็นพูดน้อยสุดในวงสนทนาเรื่องนี้คือ บริษัทโฆษณาสินค้า
ลูกค้าตัวจริงที่ลงเงินเพื่อหมุนธุรกิจให้กับสถานีโทรทัศน์ให้มันเปิดได้อยู่จนถึงวันนี้
เพราะคนดูประเทศนี้ไม่เคยเห็นความสำคัญของโฆษณาระหว่างการรับชม
พอจบเบรคละครก็เปลี่ยนช่องที่ไม่มีโฆษณา
thaipbs จึงเป็นที่นิยมในคนดูกลุ่มนึงที่ติดตามนอกจาก content คือมันเป็นช่องที่ไม่มีโฆษณา !!!
สมัยก่อนก็ยังทำได้ มันยังไม่มีผลกระทบอะไรตามช่องทางสื่อที่ไม่มาก
แต่มาถึงยุคนี้พฤติกรรมคนดูละครยิ่งไม่ให้ความสำคัญโฆษณาระหว่างเบรค
งบโฆษณาสินค้าก็น้อยลง และเริ่มคิดว่าจะลงไปในทีวีทำไม คนก็ไม่สนใจ
ลงในพื้นที่ที่คนสนใจมากกว่าดูจะเป็นประโยชน์กว่า
โฆษณาที่ลงละครทุกวันนี้แทบไม่มีผลต่อคนดู
มีผลแค่นักแสดงที่ได้เป็นพรีเซนเตอร์ ที่บอกถึงความนิยมในตัวของดารา
และมีไว้ให้บางคนนับว่ามีกี่ตัวในระหว่างเบรค ที่ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม
ในวันที่ข้อมูลแห่งสรวงสวรรค์นำเสนอข้อมูลสู่คนดูมากขึ้น
Rating ของ AGB Neilsen ซึ่งสมัยก่อนข้อมูลนี้หายากมาก
หลายคนทะเลาะเรื่องกล่องวัดความนิยม จนอยากให้เปลี่ยน
แต่ลูกค้าตัวจริงคือบริษัทโฆษณาที่ให้เงินเขาถืออันนี้สำคัญ
ในวันนี้กลับสามารถหาได้ง่ายขึ้น ลงสื่อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
จนคนดูเมื่อเห็นตัวเลขก็สามารถวิจารณ์ได้มากขึ้นตามอารมณ์เก่งหลังเกม
แต่ความจริง บริษัทโฆษณาตั้งใจปล่อยลงสู่สาธารณะ
เพื่อให้เขาสามารถลงโฆษณาให้ตรงเป้ากับเรื่องที่คนนิยม
เพราะบริษัทเหล่านี้จะถูก AE ของช่องต่าง ๆ บรรยายสรรพคุณดีงาม
เพื่อให้มาลงโฆษณาในละครหรือรายการของช่องนั้น ๆ
ซึ่งบางเรื่องบริษัทโฆษณาไม่เชื่อ และเมื่อตัวเลขส่งมาถึงคนดู
โดยเฉพาะคนไทย เมื่อเห็นตัวเลขที่มีคนดูสิ่งเดียวกันเหมือนกัน
และถ้าเพิ่มขึ้นในทุกวัน มันจะมี content หนึ่งที่เด่นขึ้นมา
บริษัทโฆษณาก็จะเห็นลู่ทางลงโฆษณาในสิ่ง ๆ นั้นมากขึ้น
คุณจึงเห็นบางเรื่องช่วงท้ายมีลง 20 - 30 ตัว เวลาของโฆษณาก็ยิ่งนาน
จนคนดูเดินหนีจากจอทีวีไปชั่วเวลาหนึ่ง กลับมายังไม่จบโฆษณา
แน่นอนเรื่องอื่นแทบจะไม่เหลือโฆษณาเลยทีเดียว
ที่กล่าวมาในตอนแรกให้เห็นบทบาทของบริษัทโฆษณาที่มีบทบาทมากขึ้น
และมาสู่ประเด็นสำคัญ เมื่อบริษัทโฆษณาเริ่มลงทุนในสื่อโฆษณาทีวีลดลงทุกที
แล้วสถานีกับคนดู จะโดนกระทบอะไรบ้าง
เม็ดเงินของสถานีก็ลดลง ทำให้เงินลงทุนที่จะผลิต content ก็น้อยลงตาม
แม้บางสถานีโทรทัศน์จะมีรายได้อื่นมาช่วย แต่ด้วยบุคลากรตรงนี้ที่มากกว่า
ก็เริ่มจะรับไม่ไหวในรูปแบบเดิม จึงเริ่มเห็นการปรับเปลี่ยนตามสถานีอื่น ๆ กันไป
คนดูก็คงได้รับผลกระทบไปด้วย และไม่มีสิทธิ์จะเรียกร้องอะไรได้
นอกจากวิพากษ์วิจารณ์ตามพื้นที่สื่อที่ตัวเองมี
สมัยก่อนคนดูไม่เข้าใจว่าทำไมละครเรื่องนี้ยืดจังเลย
แต่ความจริงโฆษณามันล้นในตอนปกติแล้ว จนต้องเพิ่มตอนขึ้นมา
คนดูก็คงงงว่าเมื่อไหร่มันจะจบ แต่คนในระบบ happy มีงานทำเพิ่ม
คนเขียนบทได้ค่าตอนเพิ่ม นักแสดงได้ทำงานเพิ่ม คนเบื้องหลังก็มีงานทำ
แม้ว่าผลออกมาก็ตามมีตามเกิดในสภาพถ่ายไปออนไป
แต่ในอนาคตคุณจะเจอละครตอนน้อยลงกว่าเดิม
และเวลาออกอากาศที่น้อยลงกว่าเดิม ซึ่งเริ่มมาจากหลายสถานีแล้ว
ไม่ใช่เพราะว่าคนดูต้องการ content ที่สั้นลง หรือต้องการนอนเร็วเพราะความยาวของมัน
แต่เป็นโฆษณาที่มันลงได้แค่นี้ และส่งผลให้ละครต่อไปทุนผลิตจะลดลงไปด้วย
เราอาจจะได้เห็นละครทั้งเรื่องเหลือ 8 ตอน ความยาว 4 เบรค ในอนาคตก็ได้
ซึ่งก็เริ่มนำร่องในซีรีส์ต่าง ๆ ที่ให้เห็นบ้างแล้ว
แต่ก็ไม่ปิดโอกาสความยาวของละครอาจจะมีมากกว่านี้ได้ แต่คุณอาจจะดูหลายรอบกว่าจะจบ
เหมือนตอนนี้ซีรีส์ NF ของกงยูกับซองเฮเคียว ที่มีผลงานด้วยกัน
ที่วางจำนวนตอน 24 ตอน แต่ต้องออกอากาศครั้งละ 8 ตอนต่อรอบอะไรประมาณนี้
และถ้าเหลือตอนละครแค่นี้ มันจะกระทบคนในอุตสาหกรรมมากขึ้นแน่นอน
ผู้ผลิตพร้อมจะลงทุนร่วมกับสถานีด้วยเงื่อนไขนี้ไหม จะพักยกหรือจะยกธงก็สุดแท้
ไม่ต้องพูดว่าถ้า content ดีเดี๋ยวคนดูก็กลับมาดูเอง
มันเป็นคำพูดหลอกผู้ผลิต สถานี และตัวเองมานานหลายปีแล้ว
ยังมีคนสนใจทีวีแน่นอน ตาม content ที่น่าสนใจ
แต่มันจะไม่มีวันที่เหมือนเดิมอีกแล้ว นั่นคือความจริง
ประเภทที่บอกว่าเรตติ้งสูง ๆ ของเรื่องนี้ต้องหาเรื่องเอามาต่อเพื่อรักษาเรตติ้ง
สมัยก่อนทำได้เพราะละครที่เรตติ้งสูงจะส่งผลต่อโฆษณา
ในละครเรื่องต่อไปเกือบครึ่งค่อนเรื่องโดยที่ยังไม่ต้องเห็นตัวเลขของเรื่องนั้น
แต่สมัยนี้ลงเรื่องนี้จบแล้วก็จบกัน เรื่องหน้าก็เริ่มใหม่
จึงเห็นว่าทำไมบางช่องจึงใส่ละครรีรันแบบไม่แคร์ตัวเลขเรื่องก่อนเลย
หลายคนเคยกล่าวว่าสื่อโทรทัศน์จะอยู่ในอุตสาหกรรมสื่อนานกว่าสื่ออื่น
แต่เมื่อถึงวันสุดท้าย ก็อาจจะจบแบบแตกสลายมากกว่าสื่ออื่น ๆ
ที่ต้องแตกหักทั้งคนในองค์กรและคนดู
และสถานการณ์ตอนนี้กำลังเริ่มเข้าสู่การนับถอยหลังแล้ว
ในวันที่ลูกค้าตัวจริงที่ไม่ใช่คนดู กับบทบาทต่อวงการละครทีวีไทย
และเมื่อมีประเด็นนี้ ทุกวงสนทนาจะพูดว่าก็ content มันไม่ดี
เนื้อเรื่องเดิม ๆ จับคู่เดิม ๆ ไปดู OTT เจ้าอื่นดีกว่าก็ว่าไป
และตัวผู้ผลิตก็พูดว่าคนดูมีรสนิยมที่เปลี่ยนไป ฉันตามไม่ทันแล้วพี่บัวลอย
แต่ไม่มีใครสนใจประเด็นที่แท้จริง
นอกจากการสื่อสารสองทาง ที่โต้กันไปมาเป็นปิงปอง
แต่จริง ๆ มันเป็นสามเหลี่ยมมาแต่ต้น
เพราะสิ่งที่คนดูผูกพันกันมาในช่วง 30 ปี คือ Free tv
ทีวีที่ไม่มีการเรียกเก็บค่าสมาชิกกับคนดู ไม่เหมือน Pay tv
มีหน้าที่แค่ผลิต content ที่ดึงคนมาดูให้ได้
ไม่จำเป็นต้องรักษาคนดูให้อยู่กับสถานีตลอด
แต่ด้วยระบบผูกขาดทำให้ก่อเกิดกลุ่มก้อนที่ดันพึงใจที่สถานีนั้นเป็น
จนแต่ละสถานีมีกลุ่มก้อนที่เป็นตายอย่างไรก็จะดูแต่ที่นี่
โดยมีสื่อกลางที่มีบทบาทมากที่สุดต่อคนในวงการ ดารา โปรดักชั่นเฮาส์ต้องเกรงใจ
แต่เป็นสิ่งที่เป็นพูดน้อยสุดในวงสนทนาเรื่องนี้คือ บริษัทโฆษณาสินค้า
ลูกค้าตัวจริงที่ลงเงินเพื่อหมุนธุรกิจให้กับสถานีโทรทัศน์ให้มันเปิดได้อยู่จนถึงวันนี้
เพราะคนดูประเทศนี้ไม่เคยเห็นความสำคัญของโฆษณาระหว่างการรับชม
พอจบเบรคละครก็เปลี่ยนช่องที่ไม่มีโฆษณา
thaipbs จึงเป็นที่นิยมในคนดูกลุ่มนึงที่ติดตามนอกจาก content คือมันเป็นช่องที่ไม่มีโฆษณา !!!
สมัยก่อนก็ยังทำได้ มันยังไม่มีผลกระทบอะไรตามช่องทางสื่อที่ไม่มาก
แต่มาถึงยุคนี้พฤติกรรมคนดูละครยิ่งไม่ให้ความสำคัญโฆษณาระหว่างเบรค
งบโฆษณาสินค้าก็น้อยลง และเริ่มคิดว่าจะลงไปในทีวีทำไม คนก็ไม่สนใจ
ลงในพื้นที่ที่คนสนใจมากกว่าดูจะเป็นประโยชน์กว่า
โฆษณาที่ลงละครทุกวันนี้แทบไม่มีผลต่อคนดู
มีผลแค่นักแสดงที่ได้เป็นพรีเซนเตอร์ ที่บอกถึงความนิยมในตัวของดารา
และมีไว้ให้บางคนนับว่ามีกี่ตัวในระหว่างเบรค ที่ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม
ในวันที่ข้อมูลแห่งสรวงสวรรค์นำเสนอข้อมูลสู่คนดูมากขึ้น
Rating ของ AGB Neilsen ซึ่งสมัยก่อนข้อมูลนี้หายากมาก
หลายคนทะเลาะเรื่องกล่องวัดความนิยม จนอยากให้เปลี่ยน
แต่ลูกค้าตัวจริงคือบริษัทโฆษณาที่ให้เงินเขาถืออันนี้สำคัญ
ในวันนี้กลับสามารถหาได้ง่ายขึ้น ลงสื่อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
จนคนดูเมื่อเห็นตัวเลขก็สามารถวิจารณ์ได้มากขึ้นตามอารมณ์เก่งหลังเกม
แต่ความจริง บริษัทโฆษณาตั้งใจปล่อยลงสู่สาธารณะ
เพื่อให้เขาสามารถลงโฆษณาให้ตรงเป้ากับเรื่องที่คนนิยม
เพราะบริษัทเหล่านี้จะถูก AE ของช่องต่าง ๆ บรรยายสรรพคุณดีงาม
เพื่อให้มาลงโฆษณาในละครหรือรายการของช่องนั้น ๆ
ซึ่งบางเรื่องบริษัทโฆษณาไม่เชื่อ และเมื่อตัวเลขส่งมาถึงคนดู
โดยเฉพาะคนไทย เมื่อเห็นตัวเลขที่มีคนดูสิ่งเดียวกันเหมือนกัน
และถ้าเพิ่มขึ้นในทุกวัน มันจะมี content หนึ่งที่เด่นขึ้นมา
บริษัทโฆษณาก็จะเห็นลู่ทางลงโฆษณาในสิ่ง ๆ นั้นมากขึ้น
คุณจึงเห็นบางเรื่องช่วงท้ายมีลง 20 - 30 ตัว เวลาของโฆษณาก็ยิ่งนาน
จนคนดูเดินหนีจากจอทีวีไปชั่วเวลาหนึ่ง กลับมายังไม่จบโฆษณา
แน่นอนเรื่องอื่นแทบจะไม่เหลือโฆษณาเลยทีเดียว
ที่กล่าวมาในตอนแรกให้เห็นบทบาทของบริษัทโฆษณาที่มีบทบาทมากขึ้น
และมาสู่ประเด็นสำคัญ เมื่อบริษัทโฆษณาเริ่มลงทุนในสื่อโฆษณาทีวีลดลงทุกที
แล้วสถานีกับคนดู จะโดนกระทบอะไรบ้าง
เม็ดเงินของสถานีก็ลดลง ทำให้เงินลงทุนที่จะผลิต content ก็น้อยลงตาม
แม้บางสถานีโทรทัศน์จะมีรายได้อื่นมาช่วย แต่ด้วยบุคลากรตรงนี้ที่มากกว่า
ก็เริ่มจะรับไม่ไหวในรูปแบบเดิม จึงเริ่มเห็นการปรับเปลี่ยนตามสถานีอื่น ๆ กันไป
คนดูก็คงได้รับผลกระทบไปด้วย และไม่มีสิทธิ์จะเรียกร้องอะไรได้
นอกจากวิพากษ์วิจารณ์ตามพื้นที่สื่อที่ตัวเองมี
สมัยก่อนคนดูไม่เข้าใจว่าทำไมละครเรื่องนี้ยืดจังเลย
แต่ความจริงโฆษณามันล้นในตอนปกติแล้ว จนต้องเพิ่มตอนขึ้นมา
คนดูก็คงงงว่าเมื่อไหร่มันจะจบ แต่คนในระบบ happy มีงานทำเพิ่ม
คนเขียนบทได้ค่าตอนเพิ่ม นักแสดงได้ทำงานเพิ่ม คนเบื้องหลังก็มีงานทำ
แม้ว่าผลออกมาก็ตามมีตามเกิดในสภาพถ่ายไปออนไป
แต่ในอนาคตคุณจะเจอละครตอนน้อยลงกว่าเดิม
และเวลาออกอากาศที่น้อยลงกว่าเดิม ซึ่งเริ่มมาจากหลายสถานีแล้ว
ไม่ใช่เพราะว่าคนดูต้องการ content ที่สั้นลง หรือต้องการนอนเร็วเพราะความยาวของมัน
แต่เป็นโฆษณาที่มันลงได้แค่นี้ และส่งผลให้ละครต่อไปทุนผลิตจะลดลงไปด้วย
เราอาจจะได้เห็นละครทั้งเรื่องเหลือ 8 ตอน ความยาว 4 เบรค ในอนาคตก็ได้
ซึ่งก็เริ่มนำร่องในซีรีส์ต่าง ๆ ที่ให้เห็นบ้างแล้ว
แต่ก็ไม่ปิดโอกาสความยาวของละครอาจจะมีมากกว่านี้ได้ แต่คุณอาจจะดูหลายรอบกว่าจะจบ
เหมือนตอนนี้ซีรีส์ NF ของกงยูกับซองเฮเคียว ที่มีผลงานด้วยกัน
ที่วางจำนวนตอน 24 ตอน แต่ต้องออกอากาศครั้งละ 8 ตอนต่อรอบอะไรประมาณนี้
และถ้าเหลือตอนละครแค่นี้ มันจะกระทบคนในอุตสาหกรรมมากขึ้นแน่นอน
ผู้ผลิตพร้อมจะลงทุนร่วมกับสถานีด้วยเงื่อนไขนี้ไหม จะพักยกหรือจะยกธงก็สุดแท้
ไม่ต้องพูดว่าถ้า content ดีเดี๋ยวคนดูก็กลับมาดูเอง
มันเป็นคำพูดหลอกผู้ผลิต สถานี และตัวเองมานานหลายปีแล้ว
ยังมีคนสนใจทีวีแน่นอน ตาม content ที่น่าสนใจ
แต่มันจะไม่มีวันที่เหมือนเดิมอีกแล้ว นั่นคือความจริง
ประเภทที่บอกว่าเรตติ้งสูง ๆ ของเรื่องนี้ต้องหาเรื่องเอามาต่อเพื่อรักษาเรตติ้ง
สมัยก่อนทำได้เพราะละครที่เรตติ้งสูงจะส่งผลต่อโฆษณา
ในละครเรื่องต่อไปเกือบครึ่งค่อนเรื่องโดยที่ยังไม่ต้องเห็นตัวเลขของเรื่องนั้น
แต่สมัยนี้ลงเรื่องนี้จบแล้วก็จบกัน เรื่องหน้าก็เริ่มใหม่
จึงเห็นว่าทำไมบางช่องจึงใส่ละครรีรันแบบไม่แคร์ตัวเลขเรื่องก่อนเลย
หลายคนเคยกล่าวว่าสื่อโทรทัศน์จะอยู่ในอุตสาหกรรมสื่อนานกว่าสื่ออื่น
แต่เมื่อถึงวันสุดท้าย ก็อาจจะจบแบบแตกสลายมากกว่าสื่ออื่น ๆ
ที่ต้องแตกหักทั้งคนในองค์กรและคนดู
และสถานการณ์ตอนนี้กำลังเริ่มเข้าสู่การนับถอยหลังแล้ว