ตำนานพื้นบ้าน พระลอตามไก่ มาเป็นนวนิยาย 'อลเวงรักสองภพ' ตอนที่ 22


ตอนเดิม


ตอนที่ 22

ในห้องทำงานของผู้บริหารบริษัทศรศิลป์โปรดักชั่น เจ้าของบริษัทนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง เขากำลังครุ่นคิดถึงแม่เลขาฯหน้าเด๋อที่เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ภายในอ้อมแขนของตนเอง

ยอมรับว่าตกใจอยู่ไม่น้อยเพราะไม่รู้หล่อนเป็นอะไร แต่ระหว่างพาตัวหล่อนไปส่งโรงพยาบาลข้างบริษัท เห็นเนตรนภิสบอกว่าช่อชบามักมีอาการหมดสติแบบนี้บ่อย ๆ ก่อนจะมาทำงานในบริษัท เจ้าหล่อนก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาด้วยอาการหมดสติเช่นกัน

นึกถึงใบหน้าเผือดขาวของหญิงสาวในอ้อมอกของตัวเองแล้ว ก็เกิดนึกเวทนาหล่อนขึ้นมาอย่างประหลาด รู้สึกไม่ดีที่ตัวเองอาจเป็นต้นเหตุให้หล่อนเกิดความเครียด จนถึงกับเป็นลมล้มพับไป จากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างเขากับนลินี ขณะที่เจ้าหล่อนยังมีร่างกายที่อ่อนแออยู่

คิดใคร่ครวญตั้งแต่แรกพบหน้ากัน จนถึงตอนที่หล่อนเป็นลม ศรศิลป์มานั่งทบทวนการกระทำของตนเองดู รู้สึกว่าได้ทำอะไรแย่ ๆ ใส่ช่อชบาตั้งหลายอย่าง ทั้งพูดจาต่อว่า เหน็บแนมประชดประชัน ระบายอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองก่อนออกจากบ้านมา จากการโต้เถียงกับบิดาทางโทรศัพท์  แล้วยังมามีปัญหากับนลินีในห้องประชุมอีก ที่ยั่วโมโหเขาจนเกิดอารมณ์เสีย 

ผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนั้นไม่ได้รักใคร่ชอบพอกับเขาจริง นลินีเพียงต้องการเอาชนะ และอยากจะมาใช้นามสกุลของบิดาศรศิลป์ เพื่อกรุยทางทำธุรกิจ หาผลประโยชน์ใส่ตัวหล่อนเอง เขารังเกียจการกระทำของนลินี และพลอยนึกชิงชังรังเกียจผู้หญิงทุกคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจะจับเขามาเป็นแฟน 

เมื่อเจอหน้าช่อชบา เขาจึงอดคิดไม่ได้ว่าเธอก็ไม่น่าจะต่างจากผู้หญิงคนอื่น ทั้งท่าทางตะลึงจ้องมอง ทำทีเป็นดีใจจนออกนอกหน้า เหมือนจะให้ท่าเขาอยู่ในที ซึ่งศรศิลป์คุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ดี เขาจึงคิดจะใช้หล่อนต่อกรกับนลินีเสียเลย ซึ่งมาคิดดูดี ๆ แล้ว เขาก็ทำเกินไป เพราะได้เอาความขุ่นเคืองทั้งหมดของตนเองมาลงที่ช่อชบาเพียงคนเดียว ซึ่งหล่อนก็ไม่ได้มารู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย 

แต่หลังจากที่ได้พูดจากัน ตลอดจนเห็นกิริยาท่าทางต่าง ๆ ของช่อชบา ความรู้สึกต่อเธอของศรศิลป์ก็เริ่มเปลี่ยนไป ช่อชบาดูไม่มีทีท่าอะไรอย่างที่เขาคิดกับเธอในตอนแรก ตรงกันข้าม หลังพบพูดคุยกันแล้ว เธอดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้เขาเสียด้วยซ้ำ ตาโตคอยจ้องเป๋งอย่างระแวดระวัง กับหน้าง้ำ ๆ เวลาเขาทำให้ไม่พอใจ ที่ไม่ใช่การเสแสร้ง ทำเอาเขาหลุดขำอยู่หลายครั้ง จนนึกอยากแกล้งหล่อนเล่น เลยทำเป็นกอดเสียแน่นต่อหน้านลินี ไม่นึกว่าช่อชบาจะเกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจริง ๆ

หลังส่งตัวช่อชบาไปที่โรงพยาบาลแล้ว พอหมอบอกว่าหล่อนไม่เป็นอะไรมาก แค่เป็นลมไป ถึงค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย จากนั้นก็ไม่มีสมาธิทำงาน ได้แต่นั่งรอฟังอาการของหล่อนอยู่ในห้อง รอเนตรนภิสขึ้นมาบอก เพราะตอนอยู่ในโรงพยาบาลด้วยกัน พอหมอตรวจอาการคนไข้เสร็จ ก็ได้ยินเนตรนภิสถามหมอว่า

“ยายช่อเป็นไงมั่งไอ้หมอ แกชอบเป็นลมแบบนี้บ่อย ๆ”

“ที่พบตอนนี้คือเลือดจาง ความดันเลือดต่ำ แต่ถ้าจะให้ดีควรตรวจแบบละเอียดอีกที สแกนดูทุกระบบ ฉันว่าน้องแกมีอาการแปลก ๆ อยู่นะ แต่ไม่ขอพูดตอนนี้ดีกว่า ให้รู้ผลตรวจแล้วค่อยมาว่ากันอีกที”

นายแพทย์ที่คุ้นเคยกันดีกับเนตรนภิสพูดแนะนำ ทำเอาผู้จัดการสาวหน้าเจื่อนลงเมื่อได้ยิน

“ช่อมันคงไม่ยอมตรวจ แกกลัวจะเป็นเหมือนแม่แก”

“แม่ของช่อชบาเป็นอะไรเหรอ”

ศรศิลป์ซึ่งยืนฟังอยู่ด้านข้าง อดสอบถามไม่ได้ ยิ่งรู้ว่าช่อชบามีอาการป่วยอยู่ก่อนหน้าแล้ว ยิ่งรู้สึกผิดต่อหล่อนมากขึ้น

“แม่ช่อเป็นลิวคีเมียตาย ตอนลูกเพิ่งเกิดได้ไม่ถึงเดือน ส่วนพ่อก็เลิกกับแม่ไปตั้งแต่ช่อมันยังอยู่ในท้อง แล้วก็หายไปเลย ไม่เคยติดต่อมาอีก ช่อต้องอยู่กับยายแก่ ๆ สองคนในสวนลำไยแถวแม่แจ่มนู่น”

เนตรนภิสเล่า พลางจับมือคนที่เธอรักเหมือนน้องสาวมากุมไว้อย่างห่วงใย

“ช่อชอบเป็นลมหน้ามืดบ่อย ๆ ฉันก็เลยเอามาทำงานด้วย ทีแรกแกจะไม่ยอมมา เพราะติดที่ไปรับปากกับยายว่าจะไม่เข้ามาทำงานในเมืองอีก แต่ทีนี้บ้านช่อไม่ค่อยมีเงิน ยายก็แก่มากแล้ว สองคนยายหลานท่าทางจะดูแลสวนลำไยไม่ไหว มีทางเดียวคือต้องขายสวนทิ้ง เอาเงินมาใช้จ่าย เพราะช่อเองก็ทำสวนลำไยไม่เป็น แกเลยอยากมีงานที่มั่นคงหน่อยทำ หาเงินมาเลี้ยงยาย จะได้ไม่ต้องขายสวนลำไยไป ถึงตกลงมาทำงานกับเรา”

“อ้อ...อย่างนี้นี่อง ฉันก็นึกอยู่ว่าทำไมแกจ้างเลขาเชย ๆ แบบช่อชบามาทำงาน”

ชายหนุ่มถึงบางอ้อ นึกถึงใบหน้าแป้นแล้นที่เงยขึ้นมองเขา แล้วทำหน้าเหวอเหมือนเจอผี ก่อนจะมีท่าทีดีใจ คิดไปก็อดขำไม่ได้กับหน้าตาท่าทางแบบนั้นของช่อชบา ไม่นึกว่าพอถูกนลินียั่วโมโห หล่อนจะโต้กลับจนฝ่ายนั้นถึงกับต้องยอมถอยไป

“ใช่...น้องฉันคนนี้มันเฉิ่ม”

ชายหนุ่มนึกไปถึงคลิปหนีบกระดาษสีชมพู ที่เจ้าหล่อนอุตส่าห์เอามาทำเป็นกิ๊บหนีบผม เนตรนภิสเอ่ยสรรพคุณรุ่นน้องสาวออกมาอีก

“ช่อเป็นคนฉลาดนะ แต่ฉลาดแบบแปลก ๆ”

ศรศิลป์นึกถึงส้มตำรสจัด เผ็ดจนลมออกหูจานนั้น ที่หล่อนคิดจะเอามาแกล้งเขา แต่ลืมนึกไปว่าตัวเองก็ต้องกินด้วย

“แต่เวลาใครทำมันโกรธนี่ เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟันเลยล่ะ เอาไงเอากันเชียวนะแก” 

มิน่า ถึงเล่นละครตีบทแตกกระจุยเสียจนนลินีฉุนขาด ที่แท้หล่อนก็เป็นคนไม่ยอมคนนี่เอง

“สรุปว่าช่อมันเป็นคนดีก็แล้วกัน” เนตรนภิสชูนิ้วโป้ง การันตีคำพูดตัวเอง

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่