อลเวงรักสองภพ
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ความเดิม
“คืนนี้ผมขอนอนค้างที่นี่นะครับ เพราะพรุ่งนี้ผมต้องรับคุณกลับไปด้วย คุณพ่ออยากพบคุณ”
“เอ๊ะ! แต่พรุ่งนี้มันวันหยุดฉันนะคะ” หญิงสาวร้องอุทธรณ์
“เสียใจครับ คุณรับเงินค่าจ้างทำงานพิเศษล่วงหน้าผมไปแล้วตั้งเยอะ เพราะฉะนั้นคุณต้องเริ่มทำงานนั้นให้ผมตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป”
ศรศิลป์ชี้ไปที่ชุดเจ้าสาวที่ช่อชบาสวมอยู่ หญิงสาวถึงกับอึ้ง นึกหาคำพูดมาแย้งเขาไม่ทัน ยายบัวถามองหน้าหลานสาวสลับกับเจ้านายหลานไปมา ก่อนบอกว่า
“เอาล่ะๆ ขึ้นไปพูดจากันข้างบนบ้านเถอะ เรื่องค่าจ้างค่าออนอะไรนั่นน่ะ จะค้างที่นี่จริงก็ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เดี๋ยวให้ช่อมันย้ายมานอนกับยาย แล้วให้คุณเขานอนห้องช่อก็แล้วกัน...เอ้า ชวนเจ้านายเอ็งขึ้นมาเถอะช่อเอ้ย แล้วไปเก็บผักตำลึงหลังบ้านมาให้ยายทำต้มจืดที จะทำอาหารเย็นให้กินกัน”
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
เมื่อจำนนต่อศรศิลป์เพราะตัวเองดันไปเรียกร้องค่าแรงจากเขามาก่อนตั้งแสนหนึ่งจริง ช่อชบาจึงต้องยอมตามความต้องการของชายหนุ่ม เธอให้เขาขึ้นมานั่งรอที่เก้าอี้รับแขกกลางโถงบ้านระหว่างที่ตัวเองเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดห้องให้เขา ส่วนยายบัวถานั่งสนทนากับชายหนุ่มก่อนสักพัก แล้วจึงขอตัวลุกไปเตรียมอาหารมื้อเย็น
นั่งมองโน่นนี่อยู่สักครู่ ศรศิลป์ก็ควักเอาโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร.หาเนตรนภิส ถามถึงสถานการณ์ที่ชั้นห้าของอาคารศุภฤกษ์
“นลินีขนของเข้ามาพักข้างห้องแกแล้วล่ะ จัดแจงแม่บ้านให้วุ่นไปหมด ถามฉันด้วยว่าช่อพักอยู่ที่ไหน ฉันเลยบอกว่าพักอยู่ห้องเดียวกับแกนั่นแหละ” เนตรนภิสรายงานฉอด ๆ
“เฮ้ย! ไปบอกเขาแบบนั้นได้ยังไง” ศรศิลป์ตกใจต่อการกระทำของเนตรนภิส ซึ่งมันจะทำให้เรื่องยุ่งยากไปกันใหญ่
“ก็นลินีเขาเคี่ยวเข็ญให้แม่บ้านเปิดห้องแกให้เขาดูน่ะซิ ปรานีมันมาฟ้องว่านลินีบอกอยากดูห้องแก จะให้เปิดดูให้จนได้ ฉันเลยต้องไปบอกหล่อนว่าแกไม่ได้พักอยู่คนเดียว แต่อยู่กับช่อชบาถึงค่อยยอมถอยไป”
“เฮ้อ! ยุ่งตายห่ะ...แล้วนี่พอฉันกลับไปจะทำยังไงดีล่ะ ไปบอกเขาเสียอย่างนั้น เดี๋ยวนลินีก็ต้องมาซักไซร้ไล่เรียงเอาความจริงจนได้”
“แกก็ทำทีว่าพักอยู่กับช่อมันสิ ฉันว่านลินีคงอยู่ไม่นานหรอก ญาติพี่น้องก็ไม่ใช่ เพื่อนฝูงหล่อนก็ไม่ได้อยู่แถวนี้ หล่อนแค่อยากตามมาราวีแกเล่นมากกว่า”
“มันก็ใช่...แต่กว่าเขาจะยอมไปคงอีกหลายวัน ระหว่างนี้น้องแกจะยอมร่วมมือฉันตบตานลินีเเหรอ แค่จะพาไปพบคุณพ่อพรุ่งนี้ วันนี้ฉันยังต้องซื้อของให้หมดไปเป็นแสนแล้ว”
“ห๊า! แกซื้ออะไรให้ยัยช่อตั้งแสนหนึ่ง” เนตรนภิสอุทานน้ำเสียงตกอกตกใจ
“ชุดแต่งงาน” ศรศิลป์อ้อมแอ้มบอก
“ชุดแต่งงาน...คุณพระ ฮ่า ๆ ๆ”
พอรู้ว่าศรศิลป์ซื้ออะไรให้น้องสาวจอมงอแง เนตรนภิสก็หัวเราะร่วนมาตามสาย พอนึกออกอยู่หรอกว่าทำไมช่อชบาถึงจะซื้อชุดเจ้าสาว น้องเธอคนนี้เพ้อฝันถึงความรักที่เป็นดั่งเทพนิยาย รอว่าตัวเองจะมีเจ้าชายมาขอแต่งงานด้วยสักวัน ทั้งที่ในชีวิตจริงไม่เห็นมีแฟนกับใครเขาสักคน ที่ซื้อชุดเจ้าสาวก็คงเพราะอยากใส่กับเขานั่นแหละ คงถือโอกาสแกล้งศรศิลป์ด้วย
“ถ้างั้นไหน ๆ ก็กุเรื่องขึ้นมาว่าเป็นผัวเมียกันแล้ว ชุดเจ้าสาวก็มีแล้ว จัดงานแต่งงานเสียเลยดีไหม นลินีจะได้ถอยไปไว ๆ” เนตรนภิสเย้ามาตามสาย
“อืม...เข้าท่าแฮะ ถ้ายายจอมงกนั่นยอมก็ดีน่ะสิ แต่สงสัยว่าฉันคงต้องจ่ายหล่อนเพิ่มอีกบาน เดี๋ยวจะลองถามดู... แกอยู่ทางโน้นก็ช่วยดูนลินีให้ที อย่าให้มายุ่มย่ามในห้องของฉันได้ แค่นี้ก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
ศรศิลป์ปิดโทรศัพท์ลง พอดีกับช่อชบาออกมาจากห้องนอนฟากขวาของตัวบ้าน พร้อมกับของใช้ส่วนตัว หญิงสาวเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสามส่วนกับเสื้อยืดตัวโคร่ง หน้าตายังไม่ได้ล้างเอาเครื่องสำอางออก รวบผมมัดจุกไว้กลางศีรษะ มองดูแล้วเหมือนเด็กสาววัยใส ไร้เดียงสา น่ารักดี
“คุณจะเข้าไปพักในห้องฉันก่อนก็ได้ ฉันจะไปช่วยยายทำกับข้าวในครัว”
เธอบอกพลางพยักพเยิดไปทางห้องนอนตัวเอง ก่อนเดินไปเปิดประตูห้องตรงกันข้ามซึ่งคงเป็นห้องนอนของยายบัวถา ตรงกลางคือห้องโถงวางชุดรับแขกที่เขากำลังนั่งอยู่ ถัดเข้าไปทางหลังบ้านเป็นห้องครัว ได้กลิ่นควันไฟโชยคลุ้งออกมา
ยายบัวถาคงยังใช้เตาถ่านหรือเตาอั้งโล่ปรุงอาหารอยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับศรศิลป์ เพราะอันที่จริงเขาเองได้ออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ในชนบทมาตลอดอยู่แล้ว เสน่ห์ชนบทมัดใจเขาให้หลงใหลมาตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่เมืองนอก หลังเรียนจบเขาจึงขอเวลากับคุณศุภฤกษ์ ขอทำอะไรตามใจตัวเองสักสี่ห้าปีก่อนจะเข้ารับช่วงทำธุรกิจต่อจากบิดาอย่างเต็มตัว อย่างหนึ่งที่อยากทำก็คือถ่ายรูปชีวิตคนในชนบทสะสมเป็นแกลลอรี่ภาพถ่ายของตัวเอง
ศรศิลป์ยังไม่ได้เข้าไปในห้องที่ช่อชบาสละให้พักค้างคืน เขามองสำรวจดูภายในบ้านที่แม้จะดูคับแคบ ทว่าข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ บ่งบอกถึงนิสัยละเอียดละออของคนเป็นเจ้าของ ชายหนุ่มก้มลงดูใต้โต๊ะกลางชุดรับแขก ก็เห็นว่ามีอัลบั้มใส่รูปถ่ายอยู่สองสามเล่ม เขาจึงหยิบขึ้นมาเปิดดูฆ่าเวลา
รูปส่วนใหญ่เป็นรูปของช่อชบาในอิริยาบถต่างๆ ตั้งแต่สมัยยังเล็กจนโตเป็นสาว เขาเผลออมยิ้มเมื่อเห็นว่าแม่สาวจอมเปิ่นมักเตะท่าถ่ายรูปตลกๆ มีบางรูปที่หล่อนแต่งตัวเป็นพริตตี้ ซึ่งออกไปทางน่ารัก
พลันสายตาเขาก็สะดุดอยู่ที่รูปถ่ายเก่าคร่ำใบหนึ่งในอัลบั้มเหล่านั้น ศรศิลป์เขม้นมองมันก่อนถือวิสาสะดึงรูปถ่ายใบนั้นออกมาวางบนโต๊ะกลาง แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพไว้
ขณะนั้นเอง ช่อชบาก็เดินออกมาจากข้างในห้องพอดี เธอทำท่าจะเดินเลยเข้าไปในครัว ศรศิลป์จึงร้องเรียกไว้
“มีปัญหาอะไรเหรอคะบอส บ้านคนจนมันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่หรอก ทนเอาหน่อยนะคะ”
ถามหน้าตาย ศรศิลป์ฉุนกึกกับคำถามชวนหาเรื่องของหล่อน อยากเขกกระบาลคนปากดีสักโป๊ก
“ผมไม่ได้มีปัญหา...แค่อยากจะถามดูว่าคนในรูปนี้เป็นใคร”
ถึงฉุนก็ทำอะไรหล่อนไม่ได้ และดูเหมือนหล่อนก็รู้ด้วยว่าเขาไม่กล้าต่อว่าอะไรตัวเอง เพราะจำเป็นต้องใช้งานกันอยู่
ชายหนุ่มชี้ไปที่รูปถ่ายบนโต๊ะ ช่อชบาชะโงกหน้ามอง
“อ้อ ผู้หญิงคนกลางนั่นแม่ฉันเองชื่อช่อลัดดา ผู้ชายคนขวาคือพ่อของฉันชื่อพิชิต ส่วนผู้ชายคนซ้ายมือ เห็นยายบอกว่าเป็นเพื่อนพ่อ แต่ชื่ออะไรยายจำไม่ได้”
ช่อชบาบอก ศรศิลป์ครางอืม...รับรู้ในคอ
“ผมคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นรูปนี้ที่ไหนมาก่อน ผมขอถ่ายรูปเก็บเอาไปเปรียบเทียบกันนะครับ”
“คุณเคยเห็นรูปนี้งั้นเหรอ จำผิดล่ะมั้ง พ่อแม่ฉันไม่ใช่คนเด่นคนดังที่ไหน คุณจะเคยเห็นได้ยังไง แต่ก็ตามใจคุณเถอะ...ฉันขอตัวลงไปเก็บผักตำลึงมาให้ยายก่อนนะคะ คุณจะอาบน้ำก่อนก็ได้ ห้องน้ำอยู่นอกตัวบ้านติดกับห้องครัว”
“ผมจะไปช่วย” ศรศิลป์ซึ่งเริ่มเบื่อนั่งอยู่กับที่เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ลุกขึ้นบอก
“อะไรนะคะ คุณจะไปช่วยฉันเก็บผักเก็บหญ้าเหรอ โถ... นักธุรกิจหมื่นล้านอย่างคุณเคยเก็บผักตำลึงกับเขาด้วยเหรอคะ”
พูดแล้วมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแบบหมิ่น ๆ ลูกคนรวยมักใช้เงินหาความสุขสบายให้กับตัวเอง แบบที่เรียกว่าใช้เงินเป็นเบี้ย ไม่ค่อยรู้จักคุณค่าของเงินเท่าไหร่ ดูอย่างซื้อชุดเจ้าสาวให้เธอนั่นประไร...เขาจ่ายค่าชุดราวกับราคาแค่ห้าบาทสิบบาท ไม่มีต่อเลยสักคำ คนอย่างเขาจะหยิบจับอะไรแต่ละที คงมีคนรับใช้คอยทำให้เพียบ ไม่ต้องลงมือทำเองแน่
“ว่าแต่วันนี้คงได้กินแต่ต้มจืดใส่ผักตำลึงนะคะ ไม่มีหูฉลามน้ำแดงให้กินหรอก”
“คุณนี่ชอบตัดสินคนด้วยภาพลักษณ์ภายนอกจังเลยนะ” หน้าขาวของเขาดูจะเป็นสีจัดขึ้นขณะประณามเธอ
“ผมหาเงินมาจากน้ำพักน้ำแรง ผมมีสิทธิ์ใช้จ่ายได้ตามใจชอบ จะทำตัวตามสบายหรือจะใช้ของดีมีราคามันก็เรื่องของผม ทำไมต้องมาค่อนแคะผมด้วย แต่ไม่ใช่ว่าผมจะงอมืองอเท้าทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง หรือต้องให้คนมาคอยรับใช้แบบเจ้าขุนมูลนายสมัยก่อน ผมช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เล็ก ไม่เชื่อก็ไปถามพี่เนตรของคุณดูได้”
โดนเขาว่าเอาตรง ๆ หญิงสาวก็ทำหน้าเจื่อนลง เขาพูดถูก เถียงไม่ออกเลยสักคำ เพียงเพราะความหมั่นไส้ที่เขารวยกว่าตัวเองหรือยังไง ถึงไปพูดกับเขาแบบนั้น ชักรู้ตัวว่าพูดพาลเกินไปจริง ๆ
“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แหม...ใส่ฉันเป็นชุดเลยนะ...จะช่วยก็ตามมาสิ” บ่นเขาอุบอิบพลางชำเลืองมองแล้วก็เดินนำเขาลงบ้านไป
(มีต่อ)
อลเวงรักสองภพ ตอนที่ 22
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ความเดิม
“คืนนี้ผมขอนอนค้างที่นี่นะครับ เพราะพรุ่งนี้ผมต้องรับคุณกลับไปด้วย คุณพ่ออยากพบคุณ”
“เอ๊ะ! แต่พรุ่งนี้มันวันหยุดฉันนะคะ” หญิงสาวร้องอุทธรณ์
“เสียใจครับ คุณรับเงินค่าจ้างทำงานพิเศษล่วงหน้าผมไปแล้วตั้งเยอะ เพราะฉะนั้นคุณต้องเริ่มทำงานนั้นให้ผมตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป”
ศรศิลป์ชี้ไปที่ชุดเจ้าสาวที่ช่อชบาสวมอยู่ หญิงสาวถึงกับอึ้ง นึกหาคำพูดมาแย้งเขาไม่ทัน ยายบัวถามองหน้าหลานสาวสลับกับเจ้านายหลานไปมา ก่อนบอกว่า
“เอาล่ะๆ ขึ้นไปพูดจากันข้างบนบ้านเถอะ เรื่องค่าจ้างค่าออนอะไรนั่นน่ะ จะค้างที่นี่จริงก็ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เดี๋ยวให้ช่อมันย้ายมานอนกับยาย แล้วให้คุณเขานอนห้องช่อก็แล้วกัน...เอ้า ชวนเจ้านายเอ็งขึ้นมาเถอะช่อเอ้ย แล้วไปเก็บผักตำลึงหลังบ้านมาให้ยายทำต้มจืดที จะทำอาหารเย็นให้กินกัน”
นั่งมองโน่นนี่อยู่สักครู่ ศรศิลป์ก็ควักเอาโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร.หาเนตรนภิส ถามถึงสถานการณ์ที่ชั้นห้าของอาคารศุภฤกษ์
“นลินีขนของเข้ามาพักข้างห้องแกแล้วล่ะ จัดแจงแม่บ้านให้วุ่นไปหมด ถามฉันด้วยว่าช่อพักอยู่ที่ไหน ฉันเลยบอกว่าพักอยู่ห้องเดียวกับแกนั่นแหละ” เนตรนภิสรายงานฉอด ๆ
“เฮ้ย! ไปบอกเขาแบบนั้นได้ยังไง” ศรศิลป์ตกใจต่อการกระทำของเนตรนภิส ซึ่งมันจะทำให้เรื่องยุ่งยากไปกันใหญ่
“ก็นลินีเขาเคี่ยวเข็ญให้แม่บ้านเปิดห้องแกให้เขาดูน่ะซิ ปรานีมันมาฟ้องว่านลินีบอกอยากดูห้องแก จะให้เปิดดูให้จนได้ ฉันเลยต้องไปบอกหล่อนว่าแกไม่ได้พักอยู่คนเดียว แต่อยู่กับช่อชบาถึงค่อยยอมถอยไป”
“เฮ้อ! ยุ่งตายห่ะ...แล้วนี่พอฉันกลับไปจะทำยังไงดีล่ะ ไปบอกเขาเสียอย่างนั้น เดี๋ยวนลินีก็ต้องมาซักไซร้ไล่เรียงเอาความจริงจนได้”
“แกก็ทำทีว่าพักอยู่กับช่อมันสิ ฉันว่านลินีคงอยู่ไม่นานหรอก ญาติพี่น้องก็ไม่ใช่ เพื่อนฝูงหล่อนก็ไม่ได้อยู่แถวนี้ หล่อนแค่อยากตามมาราวีแกเล่นมากกว่า”
“มันก็ใช่...แต่กว่าเขาจะยอมไปคงอีกหลายวัน ระหว่างนี้น้องแกจะยอมร่วมมือฉันตบตานลินีเเหรอ แค่จะพาไปพบคุณพ่อพรุ่งนี้ วันนี้ฉันยังต้องซื้อของให้หมดไปเป็นแสนแล้ว”
“ห๊า! แกซื้ออะไรให้ยัยช่อตั้งแสนหนึ่ง” เนตรนภิสอุทานน้ำเสียงตกอกตกใจ
“ชุดแต่งงาน” ศรศิลป์อ้อมแอ้มบอก
“ชุดแต่งงาน...คุณพระ ฮ่า ๆ ๆ”
พอรู้ว่าศรศิลป์ซื้ออะไรให้น้องสาวจอมงอแง เนตรนภิสก็หัวเราะร่วนมาตามสาย พอนึกออกอยู่หรอกว่าทำไมช่อชบาถึงจะซื้อชุดเจ้าสาว น้องเธอคนนี้เพ้อฝันถึงความรักที่เป็นดั่งเทพนิยาย รอว่าตัวเองจะมีเจ้าชายมาขอแต่งงานด้วยสักวัน ทั้งที่ในชีวิตจริงไม่เห็นมีแฟนกับใครเขาสักคน ที่ซื้อชุดเจ้าสาวก็คงเพราะอยากใส่กับเขานั่นแหละ คงถือโอกาสแกล้งศรศิลป์ด้วย
“ถ้างั้นไหน ๆ ก็กุเรื่องขึ้นมาว่าเป็นผัวเมียกันแล้ว ชุดเจ้าสาวก็มีแล้ว จัดงานแต่งงานเสียเลยดีไหม นลินีจะได้ถอยไปไว ๆ” เนตรนภิสเย้ามาตามสาย
“อืม...เข้าท่าแฮะ ถ้ายายจอมงกนั่นยอมก็ดีน่ะสิ แต่สงสัยว่าฉันคงต้องจ่ายหล่อนเพิ่มอีกบาน เดี๋ยวจะลองถามดู... แกอยู่ทางโน้นก็ช่วยดูนลินีให้ที อย่าให้มายุ่มย่ามในห้องของฉันได้ แค่นี้ก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
ศรศิลป์ปิดโทรศัพท์ลง พอดีกับช่อชบาออกมาจากห้องนอนฟากขวาของตัวบ้าน พร้อมกับของใช้ส่วนตัว หญิงสาวเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสามส่วนกับเสื้อยืดตัวโคร่ง หน้าตายังไม่ได้ล้างเอาเครื่องสำอางออก รวบผมมัดจุกไว้กลางศีรษะ มองดูแล้วเหมือนเด็กสาววัยใส ไร้เดียงสา น่ารักดี
“คุณจะเข้าไปพักในห้องฉันก่อนก็ได้ ฉันจะไปช่วยยายทำกับข้าวในครัว”
เธอบอกพลางพยักพเยิดไปทางห้องนอนตัวเอง ก่อนเดินไปเปิดประตูห้องตรงกันข้ามซึ่งคงเป็นห้องนอนของยายบัวถา ตรงกลางคือห้องโถงวางชุดรับแขกที่เขากำลังนั่งอยู่ ถัดเข้าไปทางหลังบ้านเป็นห้องครัว ได้กลิ่นควันไฟโชยคลุ้งออกมา
ยายบัวถาคงยังใช้เตาถ่านหรือเตาอั้งโล่ปรุงอาหารอยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับศรศิลป์ เพราะอันที่จริงเขาเองได้ออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ในชนบทมาตลอดอยู่แล้ว เสน่ห์ชนบทมัดใจเขาให้หลงใหลมาตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่เมืองนอก หลังเรียนจบเขาจึงขอเวลากับคุณศุภฤกษ์ ขอทำอะไรตามใจตัวเองสักสี่ห้าปีก่อนจะเข้ารับช่วงทำธุรกิจต่อจากบิดาอย่างเต็มตัว อย่างหนึ่งที่อยากทำก็คือถ่ายรูปชีวิตคนในชนบทสะสมเป็นแกลลอรี่ภาพถ่ายของตัวเอง
ศรศิลป์ยังไม่ได้เข้าไปในห้องที่ช่อชบาสละให้พักค้างคืน เขามองสำรวจดูภายในบ้านที่แม้จะดูคับแคบ ทว่าข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ บ่งบอกถึงนิสัยละเอียดละออของคนเป็นเจ้าของ ชายหนุ่มก้มลงดูใต้โต๊ะกลางชุดรับแขก ก็เห็นว่ามีอัลบั้มใส่รูปถ่ายอยู่สองสามเล่ม เขาจึงหยิบขึ้นมาเปิดดูฆ่าเวลา
รูปส่วนใหญ่เป็นรูปของช่อชบาในอิริยาบถต่างๆ ตั้งแต่สมัยยังเล็กจนโตเป็นสาว เขาเผลออมยิ้มเมื่อเห็นว่าแม่สาวจอมเปิ่นมักเตะท่าถ่ายรูปตลกๆ มีบางรูปที่หล่อนแต่งตัวเป็นพริตตี้ ซึ่งออกไปทางน่ารัก
พลันสายตาเขาก็สะดุดอยู่ที่รูปถ่ายเก่าคร่ำใบหนึ่งในอัลบั้มเหล่านั้น ศรศิลป์เขม้นมองมันก่อนถือวิสาสะดึงรูปถ่ายใบนั้นออกมาวางบนโต๊ะกลาง แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพไว้
ขณะนั้นเอง ช่อชบาก็เดินออกมาจากข้างในห้องพอดี เธอทำท่าจะเดินเลยเข้าไปในครัว ศรศิลป์จึงร้องเรียกไว้
“มีปัญหาอะไรเหรอคะบอส บ้านคนจนมันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่หรอก ทนเอาหน่อยนะคะ”
ถามหน้าตาย ศรศิลป์ฉุนกึกกับคำถามชวนหาเรื่องของหล่อน อยากเขกกระบาลคนปากดีสักโป๊ก
“ผมไม่ได้มีปัญหา...แค่อยากจะถามดูว่าคนในรูปนี้เป็นใคร”
ถึงฉุนก็ทำอะไรหล่อนไม่ได้ และดูเหมือนหล่อนก็รู้ด้วยว่าเขาไม่กล้าต่อว่าอะไรตัวเอง เพราะจำเป็นต้องใช้งานกันอยู่
ชายหนุ่มชี้ไปที่รูปถ่ายบนโต๊ะ ช่อชบาชะโงกหน้ามอง
“อ้อ ผู้หญิงคนกลางนั่นแม่ฉันเองชื่อช่อลัดดา ผู้ชายคนขวาคือพ่อของฉันชื่อพิชิต ส่วนผู้ชายคนซ้ายมือ เห็นยายบอกว่าเป็นเพื่อนพ่อ แต่ชื่ออะไรยายจำไม่ได้”
ช่อชบาบอก ศรศิลป์ครางอืม...รับรู้ในคอ
“ผมคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นรูปนี้ที่ไหนมาก่อน ผมขอถ่ายรูปเก็บเอาไปเปรียบเทียบกันนะครับ”
“คุณเคยเห็นรูปนี้งั้นเหรอ จำผิดล่ะมั้ง พ่อแม่ฉันไม่ใช่คนเด่นคนดังที่ไหน คุณจะเคยเห็นได้ยังไง แต่ก็ตามใจคุณเถอะ...ฉันขอตัวลงไปเก็บผักตำลึงมาให้ยายก่อนนะคะ คุณจะอาบน้ำก่อนก็ได้ ห้องน้ำอยู่นอกตัวบ้านติดกับห้องครัว”
“ผมจะไปช่วย” ศรศิลป์ซึ่งเริ่มเบื่อนั่งอยู่กับที่เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ลุกขึ้นบอก
“อะไรนะคะ คุณจะไปช่วยฉันเก็บผักเก็บหญ้าเหรอ โถ... นักธุรกิจหมื่นล้านอย่างคุณเคยเก็บผักตำลึงกับเขาด้วยเหรอคะ”
พูดแล้วมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแบบหมิ่น ๆ ลูกคนรวยมักใช้เงินหาความสุขสบายให้กับตัวเอง แบบที่เรียกว่าใช้เงินเป็นเบี้ย ไม่ค่อยรู้จักคุณค่าของเงินเท่าไหร่ ดูอย่างซื้อชุดเจ้าสาวให้เธอนั่นประไร...เขาจ่ายค่าชุดราวกับราคาแค่ห้าบาทสิบบาท ไม่มีต่อเลยสักคำ คนอย่างเขาจะหยิบจับอะไรแต่ละที คงมีคนรับใช้คอยทำให้เพียบ ไม่ต้องลงมือทำเองแน่
“ว่าแต่วันนี้คงได้กินแต่ต้มจืดใส่ผักตำลึงนะคะ ไม่มีหูฉลามน้ำแดงให้กินหรอก”
“คุณนี่ชอบตัดสินคนด้วยภาพลักษณ์ภายนอกจังเลยนะ” หน้าขาวของเขาดูจะเป็นสีจัดขึ้นขณะประณามเธอ
“ผมหาเงินมาจากน้ำพักน้ำแรง ผมมีสิทธิ์ใช้จ่ายได้ตามใจชอบ จะทำตัวตามสบายหรือจะใช้ของดีมีราคามันก็เรื่องของผม ทำไมต้องมาค่อนแคะผมด้วย แต่ไม่ใช่ว่าผมจะงอมืองอเท้าทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง หรือต้องให้คนมาคอยรับใช้แบบเจ้าขุนมูลนายสมัยก่อน ผมช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เล็ก ไม่เชื่อก็ไปถามพี่เนตรของคุณดูได้”
โดนเขาว่าเอาตรง ๆ หญิงสาวก็ทำหน้าเจื่อนลง เขาพูดถูก เถียงไม่ออกเลยสักคำ เพียงเพราะความหมั่นไส้ที่เขารวยกว่าตัวเองหรือยังไง ถึงไปพูดกับเขาแบบนั้น ชักรู้ตัวว่าพูดพาลเกินไปจริง ๆ
“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แหม...ใส่ฉันเป็นชุดเลยนะ...จะช่วยก็ตามมาสิ” บ่นเขาอุบอิบพลางชำเลืองมองแล้วก็เดินนำเขาลงบ้านไป
(มีต่อ)