ตั้งแต่จำความได้ ประโยค “สีชมพูเป็นของผู้หญิง” ก็คล้ายอยู่ในการรับรู้ของคนทั่วไป ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นเหมือนกันทั้งโลก...
หลายคนจึงแคลงใจ ผู้หญิงชอบสีอื่นแล้วจะทำไม ผู้ชายชอบสีชมพูมันผิดตรงไหน ใครเป็นคนกำหนดนิยามเหล่านี้ขึ้นมา?
วันนี้เราจะไปค้นหาคำตอบด้วยกันว่า ความคิดกล่าวมันมีที่มาจากไหน และตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ ทั้งในมุมมองของฝั่งตะวันตกและตะวันออกนะครับ
นักประวัติศาสตร์ โจ บี. เปาเลตตี แห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ สหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนหน้านี้หลายร้อยปีมาแล้ว ผู้ใหญ่นิยมให้เด็กใส่ชุดยาวสีขาวถึง 6 ขวบเหมือนๆ กันหมด เพราะเชื่อกันว่า ถ้าแต่งตัวผิดแปลก ลูกจะโตขึ้นมาผิดผี และสีขาวก็ทำความสะอาดง่ายดี
ส่วนความเชื่อเรื่องสีชมพูสำหรับเด็กผู้หญิง และสีฟ้าสำหรับเด็กผู้ชาย เพิ่งจะมีในยุคศตวรรษที่ 20 นี่เอง
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือกระแสการใช้สีพาสเทลสำหรับเด็ก เริ่มตั้งไข่ต้นในยุคศตวรรษที่ 19 ซึ่งคนสมัยนั้นมองสีชมพูแตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง…
ภาพแนบ: การ์ดวันเกิดสมัยก่อน เด็กผู้หญิงใส่ชุดสีฟ้า เด็กผู้ชายใส่ชุดสีชมพู
อิงจากบทความ “Pink or Blue” ในวารสาร Earnshaw’s Infants’ Department ฉบับมิถุนายน 1918 มีข้อความกล่าวว่า
“โดยทั่วไปคนยอมรับกันว่าสีชมพูเป็นของเด็กผู้ชาย ส่วนสีฟ้าเป็นของเด็กผู้หญิง เหตุผลก็คือสีชมพูดูเด็ดขาดและเข้มแข็งกว่า จึงเหมาะสำหรับเด็กชาย ขณะที่สีฟ้านุ่มนวลและเอียดอ่อนกว่า มันสวยกว่าเลยเหมาะกับผู้หญิง”
ต่อมาในปี 1927 นิตยสาร Times ได้สำรวจและตีพิมพ์สถิติออกมาว่า ห้างร้านชั้นนำในอเมริกาเห็นว่าสีไหนเหมาะกับเพศของเด็ก ผลปรากฏคือผลว่า “สีชมพูเหมาะกับผู้ชาย” เฉือนชนะไปเล็กน้อย

สอดคล้องกับความเห็นของ วาเลอรี สตีล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แห่งสถาบันแฟชั่นเทคโนโลยี นิวยอร์ก เธอมองว่าก่อนหน้านี้คนส่วนมากก็ไม่ได้มาคิดเรื่องสีหรอก แต่เพราะผู้ผลิตเสื้อผ้าหันมาลงโฆษณา โปรโมทว่าสีนั้นดี สีนี้เหมาะสม คนเลยคล้อยตามและเริ่มคิดจริงจัง
แล้วเหตุใดกระแสจึงพลิก โลกกลับนิยามสีชมพูเข้ากับผู้หญิงไปได้?
ภาพแนบ: The Blue Boy และ Pinkie
สตีลตั้งทฤษฎีว่า จุดเปลี่ยนคือยุค 20s นี่เอง เมื่อมหาเศรษฐี เฮนรี ฮันทิงตัน ซื้อผลงานภาพวาดสีน้ำมันยุคศตวรรษที่ 18 นาม The Blue Boy (เด็กหนุ่มในชุดสีน้ำเงิน) และ Pinkie (เด็กสาวในชุดสีชมพู) มาจากอังกฤษ
...ปกติเวลาฮัททิงตันซื้ออะไร สื่ออเมริกาให้ความสนใจมากเป็นทุนเดิม จนเกิดเทรนด์ใหม่ขึ้นมา
ภาพแนบ: ผลงานของฟาร์โกนาร์ด ศิลปินชื่อดังแห่งฝรั่งเศสยุคศตวรรษที่ 18
ทว่าทางเปาเลตตีมองว่า กระแสสีชมพูสำหรับเด็กผู้หญิง น่าจะเริ่มต้นจากยุโรป เจาะจงคือฝรั่งเศส
แม้สมัยนั้นสีชมพูจะฮิตสำหรับคนฝรั่งเศสทุกเพศทุกวัย แต่ตามธรรมเนียมดั้งเดิมมักนิยมให้เด็กหญิงสวมชุดสีชมพู เด็กชายสวมชุดสีฟ้ามากกว่า ...ซึ่งช่วงศตวรรษที่ 20 แฟชั่นฝรั่งเศสได้รับความนิยมไปทั่ว พ่อแม่ผู้ปกครองจึงจับบุตรหลานมาแต่งกายตามความฮิตยุคนั้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงในวงวิชาการว่าจุดเริ่มต้นเป็นอย่างไรแน่ เพราะมักมีผู้เสนอทฤษฎีใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ
ภาพแนบ: เด็กน้อยยุค 40s
อย่างไรก็ตามในยุค 40s หลังการวิเคราะห์ความชอบ (preference) ของประชากรมาได้ระยะหนึ่ง ผู้ประกอบการก็เริ่มผลิตสินค้าเด็กแบบเฉพาะเจาะจง
มันกลายเป็นตัวกำหนดขึ้นมาว่าของสำหรับเด็กผู้หญิงต้องใช้สีชมพูและสวมกระโปรง ส่วนเด็กผู้ชายต้องใช้สีฟ้าและสวมกางเกง ซึ่งบรรทัดฐานแบบนี้ก็ติดตัวเด็กๆ ไปจนโต เกิดเป็นความเข้าใจว่า สีชมพูเหมาะกับผู้หญิง และสีฟ้าเหมาะกับผู้ชาย ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่
ภาพแนบ: มามีแต่งชุดสีชมพูในวันที่สามีเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี
ยิ่งไปกว่านั้น สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง แมรี “มามี” ไอเซนฮาวร์ ภริยาของประธานาธิบดี ดไวท์ ไอเซนฮาวร์ ยังชอบสีชมพูมาก
คราวสามีย้ายครอบครัวเข้าอาศัยในทำเนียบขาว ขณะดำรงตำแหน่งช่วงปี 1953 - 1961 มามีก็ตกแต่งบ้านใหม่ด้วยสีชมพู จนมีชื่อเรียกกันเล่นๆ ว่า “วังชมพู”
แน่นอนว่าเวลาออกงาน เธอก็สวมชุดสีชมพูด้วย พอสื่อลงข่าวมาก คนก็ยิ่งมีภาพจำสีชมพูเข้ากับผู้หญิงฝังลึกกว่าเดิม
นอกจากนั้นยังเกิดเทรนด์ตกแต่งบ้านด้วยสีชมพูที่เรียกว่า “สีชมพูมามี” (Mamie Pink) อีกต่างหาก ซึ่งไม่ใช่แค่ในห้องรับแขกหรือห้องนอน แต่รวมถึงห้องครัวและห้องน้ำด้วย (เอ่อ…)
ภาพแนบ: การเดินประท้วงสิทธิเท่าเทียมในยุค 70s
กระนั้นแล้ว กระแสนี้กลับถูกต่อต้านอย่างแรงตั้งแต่ช่วงกลางยุค 60s เป็นต้นมา เมื่อผู้หญิงลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเท่าเทียม
พวกเธอต่อต้านแฟชั่น ต่อต้านความเป็นหญิง จึงให้ความนิยมลุคที่เข้ากับเพศไหนก็ได้ ซึ่งลามไปถึงของใช้เด็กด้วย เปาเลตตีพบข้อมูลจากแคตาล็อกช่วงปี 70s ของห้างใหญ่แห่งหนึ่ง ปรากฏว่าไม่มีชุดเด็กสีชมพูขายเลยสองปีเต็มๆ
ภาพแนบ: แคตาล็อกชุดของห้าง Sears ห้างค้าปลีกเชนใหญ่ที่สุดในอเมริกายุคนั้น
เปาเลตตีเสริมด้วยว่า ช่วงนั้นเฟมินิสต์จำนวนหนึ่งมองว่าเหตุที่เด็กๆ โตขึ้นเป็นหญิงสาวที่ทำอาชีพด้อยกว่าชายเพราะ "พวกเธอสวมเสื้อผ้าหวานเกินไป"
ถ้าแต่งตัวเด็กหญิงให้เหมือนเด็กชายไซร้ พวกเขาก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระ เลือกทำอะไรได้มากขึ้น
กระแสเสื้อผ้าไม่ระบุเพศฮิตมาจนกระทั่งช่วงปี 1985 ขณะนั้นเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก ทำให้สามารถตรวจทราบเพศเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้
พอพ่อแม่รู้แล้วว่าลูกเป็นหญิงหรือชายก็อยากซื้อของมาเตรียมไว้ให้เข้ากับลูก ...เมื่อเป็นเช่นนี้กระแสการผลิตของสีชมพูสำหรับเด็กหญิงเลยกลับมา ตั้งแต่ชุด ผ้าอ้อม รถเข็น คาร์ซีต ของเล่น ฯลฯ
ส่วนเฟมินิสต์ยุค 80s ก็ไม่ได้เหยียดเสื้อผ้าฟรุ้งฟริ้งแบบนักเคลื่อนไหวยุคก่อน และนิยมซื้อของสีชมพูให้ลูกด้วย พวกเธอคิดประมาณว่า ถ้าอยากให้ลูกเป็นหมอ จะเป็นหมอแบบหวานๆ ก็ไม่เห็นจะผิดอะไร
ภาพแนบ: พระอังคาร เป็นภาพให้ใช้ฟรีในลิขสิทธิ์ของสำนักพยากรณ์ศาสตร์ (หมอลักษณ์ เรขานิเทศ)
สำหรับฝั่งเอเชีย เริ่มแรกเราก็ไม่ได้กำหนดนิยามสีอะไรเข้ากับเพศไหน วัฒนธรรมจีนมองว่าสีชมพูเป็นแค่เฉดหนึ่งของสีแดง กระทั่งฝรั่งเข้ามาค้าขาย แล้วขอให้ช่างทำเครื่องดินเผาลายสีชมพู คนจีนถึงแยกออกมาเป็นสี “หยางไฉ่” (洋彩) ซึ่งแปลว่า “สีต่างชาติ” ส่วนทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูของอินเดีย คนไม่ว่าเพศใดก็สวมผ้าชมพูได้ อีกเทพเจ้าที่มีวรกายสีชมพู ก็มีปรากฏทั้งชายหญิง เช่นพระพิฆเนศ พระลักษมี เป็นต้น
แต่มีเทพเจ้ากายชมพูองค์หนึ่งอาจทำให้คนไทยผูกความเชื่อเรื่องสีชมพูเข้ากับผู้ชาย... นั่นคือพระอังคาร
ตามความเชื่อเรื่อง “เทวดานพเคราะห์” ของฮินดู มีเทวดา 9 องค์คอยคุ้มครองมนุษย์ ได้แก่สุริยเทพ (พระอาทิตย์) และเทพบริวาร 8 องค์ ได้แก่พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ
...เทพแต่ละองค์ก็มีสีกายต่างกันไป ตามสีประจำวันที่เราคุ้นเคยกันนี่เอง เพราะเมื่อคนไทยโบราณรับเอาความเชื่อฮินดูเข้ามาผสมในวัฒนธรรม ก็ตั้งชื่อวันและกำหนดสีตามเทพที่ปกป้องคุ้มครองวันนั้นๆ
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
*** อะไรกำหนดให้สีชมพูเป็นของผู้หญิง ***
หลายคนจึงแคลงใจ ผู้หญิงชอบสีอื่นแล้วจะทำไม ผู้ชายชอบสีชมพูมันผิดตรงไหน ใครเป็นคนกำหนดนิยามเหล่านี้ขึ้นมา?
วันนี้เราจะไปค้นหาคำตอบด้วยกันว่า ความคิดกล่าวมันมีที่มาจากไหน และตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ ทั้งในมุมมองของฝั่งตะวันตกและตะวันออกนะครับ
นักประวัติศาสตร์ โจ บี. เปาเลตตี แห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ สหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนหน้านี้หลายร้อยปีมาแล้ว ผู้ใหญ่นิยมให้เด็กใส่ชุดยาวสีขาวถึง 6 ขวบเหมือนๆ กันหมด เพราะเชื่อกันว่า ถ้าแต่งตัวผิดแปลก ลูกจะโตขึ้นมาผิดผี และสีขาวก็ทำความสะอาดง่ายดี
ส่วนความเชื่อเรื่องสีชมพูสำหรับเด็กผู้หญิง และสีฟ้าสำหรับเด็กผู้ชาย เพิ่งจะมีในยุคศตวรรษที่ 20 นี่เอง
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือกระแสการใช้สีพาสเทลสำหรับเด็ก เริ่มตั้งไข่ต้นในยุคศตวรรษที่ 19 ซึ่งคนสมัยนั้นมองสีชมพูแตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง…
ภาพแนบ: การ์ดวันเกิดสมัยก่อน เด็กผู้หญิงใส่ชุดสีฟ้า เด็กผู้ชายใส่ชุดสีชมพู
อิงจากบทความ “Pink or Blue” ในวารสาร Earnshaw’s Infants’ Department ฉบับมิถุนายน 1918 มีข้อความกล่าวว่า
“โดยทั่วไปคนยอมรับกันว่าสีชมพูเป็นของเด็กผู้ชาย ส่วนสีฟ้าเป็นของเด็กผู้หญิง เหตุผลก็คือสีชมพูดูเด็ดขาดและเข้มแข็งกว่า จึงเหมาะสำหรับเด็กชาย ขณะที่สีฟ้านุ่มนวลและเอียดอ่อนกว่า มันสวยกว่าเลยเหมาะกับผู้หญิง”
ต่อมาในปี 1927 นิตยสาร Times ได้สำรวจและตีพิมพ์สถิติออกมาว่า ห้างร้านชั้นนำในอเมริกาเห็นว่าสีไหนเหมาะกับเพศของเด็ก ผลปรากฏคือผลว่า “สีชมพูเหมาะกับผู้ชาย” เฉือนชนะไปเล็กน้อย
สอดคล้องกับความเห็นของ วาเลอรี สตีล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แห่งสถาบันแฟชั่นเทคโนโลยี นิวยอร์ก เธอมองว่าก่อนหน้านี้คนส่วนมากก็ไม่ได้มาคิดเรื่องสีหรอก แต่เพราะผู้ผลิตเสื้อผ้าหันมาลงโฆษณา โปรโมทว่าสีนั้นดี สีนี้เหมาะสม คนเลยคล้อยตามและเริ่มคิดจริงจัง
แล้วเหตุใดกระแสจึงพลิก โลกกลับนิยามสีชมพูเข้ากับผู้หญิงไปได้?
ภาพแนบ: The Blue Boy และ Pinkie
สตีลตั้งทฤษฎีว่า จุดเปลี่ยนคือยุค 20s นี่เอง เมื่อมหาเศรษฐี เฮนรี ฮันทิงตัน ซื้อผลงานภาพวาดสีน้ำมันยุคศตวรรษที่ 18 นาม The Blue Boy (เด็กหนุ่มในชุดสีน้ำเงิน) และ Pinkie (เด็กสาวในชุดสีชมพู) มาจากอังกฤษ
...ปกติเวลาฮัททิงตันซื้ออะไร สื่ออเมริกาให้ความสนใจมากเป็นทุนเดิม จนเกิดเทรนด์ใหม่ขึ้นมา
ภาพแนบ: ผลงานของฟาร์โกนาร์ด ศิลปินชื่อดังแห่งฝรั่งเศสยุคศตวรรษที่ 18
ทว่าทางเปาเลตตีมองว่า กระแสสีชมพูสำหรับเด็กผู้หญิง น่าจะเริ่มต้นจากยุโรป เจาะจงคือฝรั่งเศส
แม้สมัยนั้นสีชมพูจะฮิตสำหรับคนฝรั่งเศสทุกเพศทุกวัย แต่ตามธรรมเนียมดั้งเดิมมักนิยมให้เด็กหญิงสวมชุดสีชมพู เด็กชายสวมชุดสีฟ้ามากกว่า ...ซึ่งช่วงศตวรรษที่ 20 แฟชั่นฝรั่งเศสได้รับความนิยมไปทั่ว พ่อแม่ผู้ปกครองจึงจับบุตรหลานมาแต่งกายตามความฮิตยุคนั้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงในวงวิชาการว่าจุดเริ่มต้นเป็นอย่างไรแน่ เพราะมักมีผู้เสนอทฤษฎีใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ
ภาพแนบ: เด็กน้อยยุค 40s
อย่างไรก็ตามในยุค 40s หลังการวิเคราะห์ความชอบ (preference) ของประชากรมาได้ระยะหนึ่ง ผู้ประกอบการก็เริ่มผลิตสินค้าเด็กแบบเฉพาะเจาะจง
มันกลายเป็นตัวกำหนดขึ้นมาว่าของสำหรับเด็กผู้หญิงต้องใช้สีชมพูและสวมกระโปรง ส่วนเด็กผู้ชายต้องใช้สีฟ้าและสวมกางเกง ซึ่งบรรทัดฐานแบบนี้ก็ติดตัวเด็กๆ ไปจนโต เกิดเป็นความเข้าใจว่า สีชมพูเหมาะกับผู้หญิง และสีฟ้าเหมาะกับผู้ชาย ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่
ภาพแนบ: มามีแต่งชุดสีชมพูในวันที่สามีเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี
ยิ่งไปกว่านั้น สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง แมรี “มามี” ไอเซนฮาวร์ ภริยาของประธานาธิบดี ดไวท์ ไอเซนฮาวร์ ยังชอบสีชมพูมาก
คราวสามีย้ายครอบครัวเข้าอาศัยในทำเนียบขาว ขณะดำรงตำแหน่งช่วงปี 1953 - 1961 มามีก็ตกแต่งบ้านใหม่ด้วยสีชมพู จนมีชื่อเรียกกันเล่นๆ ว่า “วังชมพู”
แน่นอนว่าเวลาออกงาน เธอก็สวมชุดสีชมพูด้วย พอสื่อลงข่าวมาก คนก็ยิ่งมีภาพจำสีชมพูเข้ากับผู้หญิงฝังลึกกว่าเดิม
นอกจากนั้นยังเกิดเทรนด์ตกแต่งบ้านด้วยสีชมพูที่เรียกว่า “สีชมพูมามี” (Mamie Pink) อีกต่างหาก ซึ่งไม่ใช่แค่ในห้องรับแขกหรือห้องนอน แต่รวมถึงห้องครัวและห้องน้ำด้วย (เอ่อ…)
ภาพแนบ: การเดินประท้วงสิทธิเท่าเทียมในยุค 70s
กระนั้นแล้ว กระแสนี้กลับถูกต่อต้านอย่างแรงตั้งแต่ช่วงกลางยุค 60s เป็นต้นมา เมื่อผู้หญิงลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเท่าเทียม
พวกเธอต่อต้านแฟชั่น ต่อต้านความเป็นหญิง จึงให้ความนิยมลุคที่เข้ากับเพศไหนก็ได้ ซึ่งลามไปถึงของใช้เด็กด้วย เปาเลตตีพบข้อมูลจากแคตาล็อกช่วงปี 70s ของห้างใหญ่แห่งหนึ่ง ปรากฏว่าไม่มีชุดเด็กสีชมพูขายเลยสองปีเต็มๆ
ภาพแนบ: แคตาล็อกชุดของห้าง Sears ห้างค้าปลีกเชนใหญ่ที่สุดในอเมริกายุคนั้น
เปาเลตตีเสริมด้วยว่า ช่วงนั้นเฟมินิสต์จำนวนหนึ่งมองว่าเหตุที่เด็กๆ โตขึ้นเป็นหญิงสาวที่ทำอาชีพด้อยกว่าชายเพราะ "พวกเธอสวมเสื้อผ้าหวานเกินไป"
ถ้าแต่งตัวเด็กหญิงให้เหมือนเด็กชายไซร้ พวกเขาก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระ เลือกทำอะไรได้มากขึ้น
กระแสเสื้อผ้าไม่ระบุเพศฮิตมาจนกระทั่งช่วงปี 1985 ขณะนั้นเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก ทำให้สามารถตรวจทราบเพศเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้
พอพ่อแม่รู้แล้วว่าลูกเป็นหญิงหรือชายก็อยากซื้อของมาเตรียมไว้ให้เข้ากับลูก ...เมื่อเป็นเช่นนี้กระแสการผลิตของสีชมพูสำหรับเด็กหญิงเลยกลับมา ตั้งแต่ชุด ผ้าอ้อม รถเข็น คาร์ซีต ของเล่น ฯลฯ
ส่วนเฟมินิสต์ยุค 80s ก็ไม่ได้เหยียดเสื้อผ้าฟรุ้งฟริ้งแบบนักเคลื่อนไหวยุคก่อน และนิยมซื้อของสีชมพูให้ลูกด้วย พวกเธอคิดประมาณว่า ถ้าอยากให้ลูกเป็นหมอ จะเป็นหมอแบบหวานๆ ก็ไม่เห็นจะผิดอะไร
ภาพแนบ: พระอังคาร เป็นภาพให้ใช้ฟรีในลิขสิทธิ์ของสำนักพยากรณ์ศาสตร์ (หมอลักษณ์ เรขานิเทศ)
สำหรับฝั่งเอเชีย เริ่มแรกเราก็ไม่ได้กำหนดนิยามสีอะไรเข้ากับเพศไหน วัฒนธรรมจีนมองว่าสีชมพูเป็นแค่เฉดหนึ่งของสีแดง กระทั่งฝรั่งเข้ามาค้าขาย แล้วขอให้ช่างทำเครื่องดินเผาลายสีชมพู คนจีนถึงแยกออกมาเป็นสี “หยางไฉ่” (洋彩) ซึ่งแปลว่า “สีต่างชาติ” ส่วนทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูของอินเดีย คนไม่ว่าเพศใดก็สวมผ้าชมพูได้ อีกเทพเจ้าที่มีวรกายสีชมพู ก็มีปรากฏทั้งชายหญิง เช่นพระพิฆเนศ พระลักษมี เป็นต้น
แต่มีเทพเจ้ากายชมพูองค์หนึ่งอาจทำให้คนไทยผูกความเชื่อเรื่องสีชมพูเข้ากับผู้ชาย... นั่นคือพระอังคาร
ตามความเชื่อเรื่อง “เทวดานพเคราะห์” ของฮินดู มีเทวดา 9 องค์คอยคุ้มครองมนุษย์ ได้แก่สุริยเทพ (พระอาทิตย์) และเทพบริวาร 8 องค์ ได้แก่พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ
...เทพแต่ละองค์ก็มีสีกายต่างกันไป ตามสีประจำวันที่เราคุ้นเคยกันนี่เอง เพราะเมื่อคนไทยโบราณรับเอาความเชื่อฮินดูเข้ามาผสมในวัฒนธรรม ก็ตั้งชื่อวันและกำหนดสีตามเทพที่ปกป้องคุ้มครองวันนั้นๆ
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***