นิยาย เส้นบางแห่งศักดิ์ศรี :)

ม่านหมอกแห่งชายแดน ในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ บ้านน้ำใส ติดชายแดนประเทศไทยและกัมพูชา ชีวิตของชาวบ้านดำเนินไปอย่างเงียบสงบ ท่ามกลางทุ่งนาเขียวขจีและเสียงนกในยามเช้า "ศรัญ" อดีตทหารเกษียณที่สูญเสียขาข้างหนึ่งจากทุ่นระเบิดเมื่อหลายปีก่อน ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในกระท่อมไม้ ทุกวันเขาจะนั่งมองแนวชายแดนที่พร่าเลือนด้วยหมอกยามเช้า ราวกับมันซ่อนความลับบางอย่างไว้

ศรัญรู้ดีว่า ชายแดนแห่งนี้ไม่เคยสงบอย่างที่เห็น ชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงอย่าง บ้านหนองแก้ว มักเล่าถึงการรุกล้ำของชาวกัมพูชาที่เข้ามาทำกินในเขตแดนไทย โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกว่า ที่ราบขอบฟ้า ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทที่ไม่มีใครยอมถอยให้กัน ศรัญเคยเตือน พลเอกวีระ ผู้บัญชาการทหารในพื้นที่ให้เข้มงวดมากขึ้น แต่คำเตือนของเขามักถูกมองข้าม เพราะทุกคนเชื่อว่า "การเจรจาคือทางออก"

วันหนึ่ง ข่าวใหญ่สะเทือนไปทั่วบ้านน้ำใส เมื่อ นอร์เวย์ ประเทศที่มีชื่อเสียงด้านสันติภาพ ประกาศมอบเงินช่วยเหลือ 40 ล้านบาทให้กัมพูชาเพื่อเก็บกู้ทุ่นระเบิด ศรัญได้ยินข่าวนี้จากวิทยุเก่าในครัว และหัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความโกรธ เขารู้ดีว่าทุ่นระเบิดที่คร่าขาของเขาและเพื่อนทหารหลายนายไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืน สนธิสัญญาสันติภาพโลก ซึ่งห้ามการใช้ทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคลอย่างเด็ดขาด

“ทำไมโลกถึงหลงเชื่อคำโกหกของกัมพูชา?” ศรัญพึมพำกับตัวเอง เขานึกถึง "ลีลาวดี" นักข่าวสาวไฟแรงที่เพิ่งย้ายมาประจำที่จังหวัดสระแก้ว เธอเป็นคนเดียวที่ดูเหมือนจะสนใจความจริงในเรื่องนี้

ลีลาวดีทำงานให้กับสำนักข่าวท้องถิ่น เธอเริ่มขุดคุ้ยเรื่องเงินช่วยเหลือจากนอร์เวย์ และพบว่ากัมพูชาใช้กลยุทธ์ที่แยบยลในการนำเสนอตัวเองเป็น “เหยื่อของสงคราม” ต่อประชาคมโลก ผ่านสื่อและการทูต พวกเขาวาดภาพตัวเองเป็นชาติที่บอบช้ำจากสงครามกลางเมือง โดยไม่เคยกล่าวถึงการวางทุ่นระเบิดใหม่ในพื้นที่พิพาท ซึ่งละเมิดสนธิสัญญาอย่างชัดเจน

ลีลาวดีตัดสินใจติดต่อ "อาจารย์สมชาย" นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เขาอธิบายว่า ประเทศไทยขาดกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการตอบโต้ “สงครามข้อมูล” นี้ รัฐบาลไทยเพียงแค่เรียกร้องให้โลก “เข้าใจ” แต่ไม่เคยกดดันหรือเปิดโปงพฤติกรรมของกัมพูชาในเวทีสากล

“กัมพูชาเล่นบทเหยื่อได้แนบเนียน” อาจารย์สมชายกล่าว “พวกเขาเป็นเหมือนนักแสดงที่สวมหน้ากากแห่งความน่าสงสาร แต่เบื้องหลังคือการรุกล้ำและท้าทายอธิปไตยของเพื่อนบ้าน”

ลีลาวดีเริ่มเขียนบทความชุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยิ่งขุดลึก เธอยิ่งพบว่าเรื่องราวซับซ้อนกว่าที่คิด เธอได้รับเอกสารลับจากแหล่งข่าวนิรนามที่ระบุว่า ชาวกัมพูชาในที่ราบขอบฟ้าไม่เพียงแค่รุกล้ำเข้ามาทำกิน แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังบางกลุ่มในกัมพูชาเพื่อยึดครองพื้นที่อย่างถาวร

เมื่อถึงกำหนดเส้นตายวันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งรัฐบาลไทยกำหนดให้ชาวกัมพูชาย้ายออกจากที่ราบขอบฟ้า ทุกอย่างเงียบงัน ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากฝั่งกัมพูชา ศรัญที่เฝ้ามองสถานการณ์จากกระท่อมของเขาเริ่มรู้สึกถึงความสิ้นหวัง เขาเห็นทหารไทยเพียงไม่กี่นายเดินตรวจตราตามชายแดน โดยไม่มีคำสั่งชัดเจนจากเบื้องบน

ลีลาวดีตัดสินใจลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เธอพบว่า ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาไม่เพียงปฏิเสธที่จะย้ายออก แต่ยังเริ่มสร้างรั้วและบ้านถาวรในที่ราบขอบฟ้า เธอถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอเพื่อใช้เป็นหลักฐาน แต่เมื่อนำไปเสนอต่อ นายกรัฐมนตรีธนากร ผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด เธอกลับได้รับคำตอบที่คลุมเครือ

“เราจะเจรจาในระดับภูมิภาค” ธนากรกล่าวในที่ประชุม “การใช้กำลังไม่ใช่ทางออก”

อาจารย์สมชายที่ได้ยินคำพูดนี้ผ่านสื่อถึงกับส่ายหัว เขาเตือนลีลาวดีว่า การเจรจาในกรณีที่อธิปไตยถูกละเมิดอย่างชัดเจนคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ “หากเป็นพื้นที่ของไทย ต้องบังคับใช้กฎหมาย ไม่ใช่ไปขอร้องให้เขาออกไป”

ในคืนหนึ่ง ลีลาวดีได้รับข้อความจากแหล่งข่าวนิรนามให้ไปพบที่โกดังร้างใกล้ชายแดน เธอตัดสินใจไปพร้อมกับศรัญที่ยืนยันจะปกป้องเธอ ที่นั่น เธอพบชายลึกลับที่สวมหมวกปิดบังใบหน้า เขายื่นเอกสารชุดหนึ่งให้เธอ พร้อมกระซิบว่า “ความจริงไม่ได้อยู่ที่ชายแดน แต่อยู่ในเมืองหลวง”

เมื่อลีลาวดีเปิดเอกสาร เธอถึงกับตะลึง เอกสารนั้นเผยว่าเงินช่วยเหลือ 40 ล้านบาทจากนอร์เวย์ไม่ได้ถูกใช้เพื่อเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามที่กัมพูชาอ้าง แต่ถูกโอนไปยังบัญชีส่วนตัวของนักการเมืองระดับสูงในกัมพูชา และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ มีหลักฐานว่าบางส่วนของเงินนี้ถูกส่งต่อไปยังนักการเมืองไทยบางคน เพื่อให้พวกเขานิ่งเฉยต่อการรุกล้ำที่ราบขอบฟ้า

“นี่ไม่ใช่แค่สงครามข้อมูล” ชายลึกลับกล่าว “มันคือการสมรู้ร่วมคิด”

ลีลาวดีและศรัญตัดสินใจนำเอกสารนี้ไปเผยแพร่ผ่านสื่อ แต่เมื่อบทความของเธอถูกตีพิมพ์ มันกลับจุดชนวนให้เกิดความโกลาหล นักการเมืองที่ถูกพาดพิงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และกัมพูชายังคงยืนยันบทบาทเหยื่อของตนต่อประชาคมโลก ส่วนที่ราบขอบฟ้ายังคงถูกยึดครอง โดยไม่มีท่าทีว่าจะคืนให้ไทย

ศรัญยืนมองชายแดนจากกระท่อมของเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้า เขารู้ว่า สงครามที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากทุ่นระเบิดหรือการรุกล้ำ แต่เกิดจากความโลภและการทรยศภายในชาติของเขาเอง ลีลาวดีเลือกที่จะเดินหน้าต่อสู้ด้วยปากกาของเธอ แม้จะรู้ว่า ความจริงอาจไม่มีวันชนะในโลกที่หน้ากากแห่งการทูตครอบงำทุกสิ่ง

และที่ราบขอบฟ้า ยังคงจมอยู่ในหมอกหนา ไร้ซึ่งผู้ครอบครองที่แท้จริง

จบ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่