ไปเที่ยวอยูธยากันมา ทึ่งกับการมีชุมชนต่างชาติ ในบริเวณรอบๆอยุธยา ซึ่งชาวต่างชาติเหล่านี้ก็มีส่วนในการรบป้องกันอยุธยาจากการโจมตีกับพม่า โดยเฉพาะชุมชนชาวโปรตุเกสมีบทบาทช่วยสมเด็จพระเจ้าตากสินในการกอบกู้เอกราชเมื่อพม่าเสียกรุงศรีอยุธยา โดยชาวโปรตุเกสบางส่วนได้ เข้าช่วยเหลือในการรบที่เมืองจันทบุรี และติดตามพระองค์มายังกรุงธนบุรี เพื่อเป็นการตอบแทน พระองค์จึง พระราชทานที่ดินให้ตั้งถิ่นฐาน และสร้างโบสถ์คาทอลิกขึ้นในกรุงธนบุรี ซึ่งคือ ชุมชน กุฎีจีนในปัจจุบัน ....ปฏิบัติการตามหารากของอยุธยาในกรุงธนบุรีจึงเริ่มขึ้น
เราเลือกใช้บริการเรือธงฟ้า
Hop on Hop off. ด้วยบัตร
All Day River Pass เราซื้อจาก
https://www.vanseven.co.th/ ในราคา 113 บาท(ซึ่งถ้าซื้อเองที่ท่าเรือจะราคา 150 บาท/คน)ใช้เวลา 1 วันเที่ยวชุมชนกุฎีจีนและท่าน้ำทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ซึ่งสามารถขึ้น-ลงเรือได้ไม่จำกัดภายใน 1 วัน เพื่อเดินทางไปตามท่าเรือต่างๆ ที่กำหนด คือ
ท่าสาทร (ใกล้ BTS)
ท่าไอคอนสยาม
วัดอรุณ
ท่ามหาราช
ท่าราชินี
ท่าราชวงศ์
ท่าเอเชียทีค
ท่าพระอาทิตย์
ท่าพรานนก
ท่าช้าง
โดยสามารถขึ้นเรือได้ที่ 2 ท่าเท่านั้นคือท่าพระอาทิตย์และท่าสาทร เพื่อซื้อตั๋ว หรือออกตัวสำหรับผู้ที่ซื้อออนไลน์มา เราก็จะได้ตั๋วพร้อมกับเอกสารแนะนำท่าเรือที่จอด ตารางเวลาที่เรือจะเข้าท่าต่างๆ เพื่อให้เราเกิดความสะดวกในการที่จะแวะเที่ยวตามท่าเรือต่างๆและสามารถรู้เวลาที่จะกลับมาขึ้นเรือได้ในเที่ยวที่เรา
สะดวกซึ่งต้องบอกเลยครับสะดวกมากเพราะมีเรือบ่อยมากเกือบทุกครึ่งชั่วโมง ไม่เคยต้องรอเรีอนานเลย...ที่สำคัญคือต้องเตรียมตัวเดินกะคร่าวๆว่าวันนี้จะต้องได้อย่างน้อย 20000 ก้าวครับ
หลังจากกินโจ้ก ปริ้นซ์ ที่บางรักเป็นอาหารเช้า เราก็เริ่มกันที่ท่าเรือสาทร เรือดูใหม่สีสันสดใสผู้โดยสารเต็มลำเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นส่วน ดูเหมือนจะมีพวกผมเป็นคนไทยกรุ๊ปเดียวเลยครับ
หมุดหมายแรกของเราคือเที่ยวตลาดปากคลองตลาดดูตลาดขายดอกไม้ใหญ่ที่สุด...เราต้องลงที่ท่าราชินีครับ บรรยากาศในตลาดตามรูปเลยครับ คนชอบดอกไม้ไม่ควรพลาด!!
เราเดินทางออกจากท่าเรือราชินีเพื่อไปลงท่าเรือวัดอรุณเป็นจุดต่อไป ความงามของวัดอรุณจากมุมที่เรานั่งอยู่บนเรือสวยงามมากครับได้เดินเข้ามาชมความงามอย่างใกล้ชิดก็รู้สึกภูมิใจ นักท่องเที่ยวคราคร่ำไปหมด ทั้งฝรั่งจีนแขก บ้างก็สวมชุดไทย ถ่ายรูปกันตามมุมต่างๆของวัดอรุณ เราเดินชมกันจนรอบแล้วเดินทะลุออกไปด้านหลังเพื่อเดินทางต่อไปชุมชนกุฎีจีน ก็ไกลอยู่นะครับ ประมาณเกือบ4 กิโลเมตร อากาศเริ่มร้อนครับก็เลยต้องแวะอเมซอนสาขาแยกวังเดิม หายเหนื่อยก็เดินอ้อมพระราชวังเดิมซึ่งเป็นพื้นที่เขตทหารไปทางสะพานอรุณอมริทร์ราชวรวิหาร เดินไปตามซอยวังเดิม 6 แล้วเดินขึ้นสะพานข้ามคลองบางกอกใหญ่ตรงถนนอรุณอัมรินทร์ตรงนี้เส้นทางเดินแคบๆเล็กๆรู้สึกได้ถึงความเป็นชุมชนเล็กๆ มีร่มเงาให้เราตลอดทางไม่ร้อนแล้วครับ เดินตรงไปทางวัดกัลยาณมิตร แล้วเข้าซอยข้างวัดออกไปจนทะลุริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีทางเดินสวยงามไว้สำหรับเดินริมน้ำ
มองไปทางวัดอรุณก็จะเห็นป้อมเห็นป้อมวิไชยประสิทธิ์ อยู่ฝั่งตรงข้ามคลองบางกอกใหญ่ตรงที่จะมาเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเราต้องเดินอ้อมมาไม่สามารถเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาจากวัดอรุณฯได้ เดินเลียบเจ้าพระยาตรงนี้ไม่ถึง 10 นาทีก็เจอกับ จุดหมายแรก บ้านคุณพระประกอบ หรือที่เรียกกันว่าบ้านวินเซอร์ครับ เป็นบ้านเก่าโบราณซึ่งคุณพระประกอบญาติของลูกหลานของ การ์เนีย วินเซอร์ (นักเดินเรือ ที่ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น ขุนสมุทรโคจร จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังทำหน้าที่เป็นราชทูตในการทำหนังสือสัญญาเจริญทางพระราชไมตรีกับฝรั่งเศส) ซื้อและย้ายมาตั้งที่ในที่ดินแทนบ้านเก่าของตระกูลวินเซอร์ที่ผุพังไป ดังนั้นที่ถูกก็น่าจะเรียกว่าบ้านคุณพระประกอบ ไม่ใช่บ้านวินเซอร์ ที่โดดเด่นคือ ‘ลวดลายขนมปังขิง’ ที่บริเวณตัวบ้าน ซึ่งเป็นการฉลุตามตำแหน่งหน้าจั่ว ช่องระบายอากาศ ลูกกรงระเบียง และชายคาโดยรอบ เป็นลวดลายให้หงิกงอคล้ายแง่งขิง เป็นการตกแต่งที่ได้รับความนิยมในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยได้อิทธิพลจากมาจากชาติยุโรปอีกที ตำแหน่งนี้ลมพัดเย็นดีก็เราก็เลยเช็คอินกันหลายรูป
เดินมาอีกนิดก็เจอทางแยกเดินเข้าไป โบสถ์ซางตาครู้ส วัดคาทอลิก ซึ่งบางคนอาจจะเรียกว่าวัดกุฎีจีน ขึ้นโบสถ์ปัจจุบันนี้ก็เป็นการปรับปรุงทดแทนเป็นรุ่นที่ 3 โบสถ์หันหน้าถึงแม่น้ำเจ้าพระยา สวยงามโดดเด่น ด้านหลังของโบสถ์ก็จะมีทางเดินไปชุมชนกุฎีจีน(KUDI CHIN)เป็นชุมชนของชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสที่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยา ทางเดินในชุมชนก็เป็นถนนแคบๆมีบ้านเรือนติดกันแต่ละบ้านปลูกต้นไม้ดอกในกระถางประดับประดา บางช่วงมีร้านขายขนมตามตำรับของท้าวทองกีบม้า ให้แวะชิมกันได้ ที่สะดุดตาและเราใช้เวลานานที่สุดก็คือพิพิธภัณฑ์กุฎีจีน ที่จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาและมรดกวัฒนธรรมของชุมชนชาวสยาม-โปรตุเกสที่ตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน ผ่านโบราณวัตถุ ภาพถ่าย และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นบ้านไม้เก่า 3 ชั้น มีชั้นล่างเป็นคาเฟ่และร้านขายของที่ระลึก ส่วนชั้นบนเป็นพื้นที่จัดแสดง ให้ทุกคนเข้าไปชมฟรี โดยป้าตองผู้ก่อตั้งเป็นชาวชุมชนใช้เงินส่วนตัวก่อตั้ง
พื้นที่ร่มรื่นน่านั่งแต่เราเพิ่งจะทานกาแฟมาจากอเมซอนก็เลยไม่ได้อุดหนุนป้าเพียงแต่บริจาคเงินเล็กๆน้อยๆสนับสนุนสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นเป็นกำลังใจให้ป้านะครับ ป้าแนะนำให้เราทานก๋วยเตี๋ยวของชุมชนเป็นอาหารเที่ยงแต่เราโชคไม่ดีร้านปิดนะครับ
ก็ต้องแขวนท้องเดินกลับไปอีกเกือบ 4 กิโลเพื่อไปขึ้นเรือที่ท่าวัดอรุณฯแล้วไปลงอีกครั้งที่ท่าเรือพรานนก ทานเที่ยงกันประมาณบ่ายสองโมง เราก็พร้อมที่จะไปภูมิใจกับความเป็นไทยที่พิพิธภัณฑ์เรือพระพระราชพิธี และ พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม รวมทริปนี้เดินทางไป25000 ก้าวครับ 555
ถ้าเพื่อนๆจะดูบรรยากาศของตลาดปากคลอง และพิพิธภัณฑ์ ให้รายละเอียดมากขึ้นดูได้ในคลิปอยุธยาที่แนบมานะครับจะอยู่ตอนท้ายๆ
นั่งเรือธงฟ้าหารากอยุธยาในกรุงเทพฯ...ชุมชนกุฎีจีน
เราเลือกใช้บริการเรือธงฟ้า
Hop on Hop off. ด้วยบัตร
All Day River Pass เราซื้อจาก https://www.vanseven.co.th/ ในราคา 113 บาท(ซึ่งถ้าซื้อเองที่ท่าเรือจะราคา 150 บาท/คน)ใช้เวลา 1 วันเที่ยวชุมชนกุฎีจีนและท่าน้ำทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ซึ่งสามารถขึ้น-ลงเรือได้ไม่จำกัดภายใน 1 วัน เพื่อเดินทางไปตามท่าเรือต่างๆ ที่กำหนด คือ
ท่าสาทร (ใกล้ BTS)
ท่าไอคอนสยาม
วัดอรุณ
ท่ามหาราช
ท่าราชินี
ท่าราชวงศ์
ท่าเอเชียทีค
ท่าพระอาทิตย์
ท่าพรานนก
ท่าช้าง
โดยสามารถขึ้นเรือได้ที่ 2 ท่าเท่านั้นคือท่าพระอาทิตย์และท่าสาทร เพื่อซื้อตั๋ว หรือออกตัวสำหรับผู้ที่ซื้อออนไลน์มา เราก็จะได้ตั๋วพร้อมกับเอกสารแนะนำท่าเรือที่จอด ตารางเวลาที่เรือจะเข้าท่าต่างๆ เพื่อให้เราเกิดความสะดวกในการที่จะแวะเที่ยวตามท่าเรือต่างๆและสามารถรู้เวลาที่จะกลับมาขึ้นเรือได้ในเที่ยวที่เรา
สะดวกซึ่งต้องบอกเลยครับสะดวกมากเพราะมีเรือบ่อยมากเกือบทุกครึ่งชั่วโมง ไม่เคยต้องรอเรีอนานเลย...ที่สำคัญคือต้องเตรียมตัวเดินกะคร่าวๆว่าวันนี้จะต้องได้อย่างน้อย 20000 ก้าวครับ
หลังจากกินโจ้ก ปริ้นซ์ ที่บางรักเป็นอาหารเช้า เราก็เริ่มกันที่ท่าเรือสาทร เรือดูใหม่สีสันสดใสผู้โดยสารเต็มลำเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นส่วน ดูเหมือนจะมีพวกผมเป็นคนไทยกรุ๊ปเดียวเลยครับ
หมุดหมายแรกของเราคือเที่ยวตลาดปากคลองตลาดดูตลาดขายดอกไม้ใหญ่ที่สุด...เราต้องลงที่ท่าราชินีครับ บรรยากาศในตลาดตามรูปเลยครับ คนชอบดอกไม้ไม่ควรพลาด!!
เราเดินทางออกจากท่าเรือราชินีเพื่อไปลงท่าเรือวัดอรุณเป็นจุดต่อไป ความงามของวัดอรุณจากมุมที่เรานั่งอยู่บนเรือสวยงามมากครับได้เดินเข้ามาชมความงามอย่างใกล้ชิดก็รู้สึกภูมิใจ นักท่องเที่ยวคราคร่ำไปหมด ทั้งฝรั่งจีนแขก บ้างก็สวมชุดไทย ถ่ายรูปกันตามมุมต่างๆของวัดอรุณ เราเดินชมกันจนรอบแล้วเดินทะลุออกไปด้านหลังเพื่อเดินทางต่อไปชุมชนกุฎีจีน ก็ไกลอยู่นะครับ ประมาณเกือบ4 กิโลเมตร อากาศเริ่มร้อนครับก็เลยต้องแวะอเมซอนสาขาแยกวังเดิม หายเหนื่อยก็เดินอ้อมพระราชวังเดิมซึ่งเป็นพื้นที่เขตทหารไปทางสะพานอรุณอมริทร์ราชวรวิหาร เดินไปตามซอยวังเดิม 6 แล้วเดินขึ้นสะพานข้ามคลองบางกอกใหญ่ตรงถนนอรุณอัมรินทร์ตรงนี้เส้นทางเดินแคบๆเล็กๆรู้สึกได้ถึงความเป็นชุมชนเล็กๆ มีร่มเงาให้เราตลอดทางไม่ร้อนแล้วครับ เดินตรงไปทางวัดกัลยาณมิตร แล้วเข้าซอยข้างวัดออกไปจนทะลุริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีทางเดินสวยงามไว้สำหรับเดินริมน้ำ
มองไปทางวัดอรุณก็จะเห็นป้อมเห็นป้อมวิไชยประสิทธิ์ อยู่ฝั่งตรงข้ามคลองบางกอกใหญ่ตรงที่จะมาเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเราต้องเดินอ้อมมาไม่สามารถเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาจากวัดอรุณฯได้ เดินเลียบเจ้าพระยาตรงนี้ไม่ถึง 10 นาทีก็เจอกับ จุดหมายแรก บ้านคุณพระประกอบ หรือที่เรียกกันว่าบ้านวินเซอร์ครับ เป็นบ้านเก่าโบราณซึ่งคุณพระประกอบญาติของลูกหลานของ การ์เนีย วินเซอร์ (นักเดินเรือ ที่ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น ขุนสมุทรโคจร จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังทำหน้าที่เป็นราชทูตในการทำหนังสือสัญญาเจริญทางพระราชไมตรีกับฝรั่งเศส) ซื้อและย้ายมาตั้งที่ในที่ดินแทนบ้านเก่าของตระกูลวินเซอร์ที่ผุพังไป ดังนั้นที่ถูกก็น่าจะเรียกว่าบ้านคุณพระประกอบ ไม่ใช่บ้านวินเซอร์ ที่โดดเด่นคือ ‘ลวดลายขนมปังขิง’ ที่บริเวณตัวบ้าน ซึ่งเป็นการฉลุตามตำแหน่งหน้าจั่ว ช่องระบายอากาศ ลูกกรงระเบียง และชายคาโดยรอบ เป็นลวดลายให้หงิกงอคล้ายแง่งขิง เป็นการตกแต่งที่ได้รับความนิยมในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยได้อิทธิพลจากมาจากชาติยุโรปอีกที ตำแหน่งนี้ลมพัดเย็นดีก็เราก็เลยเช็คอินกันหลายรูป
เดินมาอีกนิดก็เจอทางแยกเดินเข้าไป โบสถ์ซางตาครู้ส วัดคาทอลิก ซึ่งบางคนอาจจะเรียกว่าวัดกุฎีจีน ขึ้นโบสถ์ปัจจุบันนี้ก็เป็นการปรับปรุงทดแทนเป็นรุ่นที่ 3 โบสถ์หันหน้าถึงแม่น้ำเจ้าพระยา สวยงามโดดเด่น ด้านหลังของโบสถ์ก็จะมีทางเดินไปชุมชนกุฎีจีน(KUDI CHIN)เป็นชุมชนของชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสที่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยา ทางเดินในชุมชนก็เป็นถนนแคบๆมีบ้านเรือนติดกันแต่ละบ้านปลูกต้นไม้ดอกในกระถางประดับประดา บางช่วงมีร้านขายขนมตามตำรับของท้าวทองกีบม้า ให้แวะชิมกันได้ ที่สะดุดตาและเราใช้เวลานานที่สุดก็คือพิพิธภัณฑ์กุฎีจีน ที่จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาและมรดกวัฒนธรรมของชุมชนชาวสยาม-โปรตุเกสที่ตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน ผ่านโบราณวัตถุ ภาพถ่าย และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นบ้านไม้เก่า 3 ชั้น มีชั้นล่างเป็นคาเฟ่และร้านขายของที่ระลึก ส่วนชั้นบนเป็นพื้นที่จัดแสดง ให้ทุกคนเข้าไปชมฟรี โดยป้าตองผู้ก่อตั้งเป็นชาวชุมชนใช้เงินส่วนตัวก่อตั้ง
พื้นที่ร่มรื่นน่านั่งแต่เราเพิ่งจะทานกาแฟมาจากอเมซอนก็เลยไม่ได้อุดหนุนป้าเพียงแต่บริจาคเงินเล็กๆน้อยๆสนับสนุนสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นเป็นกำลังใจให้ป้านะครับ ป้าแนะนำให้เราทานก๋วยเตี๋ยวของชุมชนเป็นอาหารเที่ยงแต่เราโชคไม่ดีร้านปิดนะครับ
ก็ต้องแขวนท้องเดินกลับไปอีกเกือบ 4 กิโลเพื่อไปขึ้นเรือที่ท่าวัดอรุณฯแล้วไปลงอีกครั้งที่ท่าเรือพรานนก ทานเที่ยงกันประมาณบ่ายสองโมง เราก็พร้อมที่จะไปภูมิใจกับความเป็นไทยที่พิพิธภัณฑ์เรือพระพระราชพิธี และ พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม รวมทริปนี้เดินทางไป25000 ก้าวครับ 555
ถ้าเพื่อนๆจะดูบรรยากาศของตลาดปากคลอง และพิพิธภัณฑ์ ให้รายละเอียดมากขึ้นดูได้ในคลิปอยุธยาที่แนบมานะครับจะอยู่ตอนท้ายๆ