สัญญาณบอกโรคจากอาการ “ชา”
อาการชาเป็นอาการที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และทุกส่วนของร่างกาย แต่ที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ บริเวณมือและเท้า โดยอาการชามีอยู่ด้วยกันหลายแบบ เช่น แบบที่สูญเสียความรู้สึก หรือรู้สึกว่าผิวหนังหนาเป็นปื้นๆ หรือมีความรู้สึกอื่นที่แสดงออกมามากกว่าปกติ เช่น ยิบๆ ซ่าๆ เหมือนเข็มทิ่ม ปวดแสบปวดร้อน เสียวคล้ายไฟช็อต ⚡ เป็นต้น
คนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามอาการชา เพราะคิดว่าเป็นแป๊บเดียวก็หายและไม่น่าจะส่งผลเสียอะไรกับสุขภาพของเรา
อย่างเพื่อนพี่หมอคนนึง มีอาการชาที่ปลายนิ้วมือบ่อยๆ ตอนแรกก็นึกว่าแค่ขาดวิตามินบี แต่พอไปตรวจถึงรู้ว่าเป็นไทรอยด์ 😂ดังนั้น อาการชาที่เราเป็นอยู่จึงอาจเป็นได้ทั้งอาการของโรคและสัญญาณแรกของโรค เช่น อาการชาจากการขาดวิตามิน และอาการชาจากโรคเบาหวาน แต่อาการชาบางอย่างถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปก็อาจทำให้เส้นประสาทในบริเวณนั้นเสียหายอย่างถาวรได้
แล้วอาการชาที่เราเป็นอยู่บอกโรคอะไรได้บ้าง มีสาเหตุหรือที่มาที่ไปอย่างไร และชาแบบไหนที่ห้ามปล่อยทิ้งไว้เด็ดขาด พี่หมอไปรวบรวมข้อมูลมาให้แล้วครับ 👇
สาเหตุของอาการชา
1. เกิดจากระบบประสาทส่วนกลางที่อยู่บริเวณสมองหรือไขสันหลัง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โดยผู้ป่วยจะมีอาการชาเกิดขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย และอาจมีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ทรงตัวลำบาก โดยอาการมักเกิดขึ้นแบบฉับพลันทันที หรือโรคปลอกประสาทส่วนกลางอักเสบ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการปวดตามตำแหน่งของเส้นประสาทที่มีอาการอักเสบ อาการเกร็ง หรืออาการรีเฟลกซ์ที่ตอบสนองไวกว่าปกติร่วมกับอาการชาตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
2. เกิดจากระบบเส้นประสาทส่วนปลาย
🟡 ภาวะรากประสาทถูกกดทับ จากกระดูกต้นคอเสื่อมหรือหมอนรองกระดูกเคลื่อน
🟡 ภาวะการกดทับของเส้นประสาท โดยมักพบในตำแหน่งที่เส้นประสาทอยู่ตื้น และมีความสัมพันธ์กับการทำท่าเดิมนานๆ หรือทำท่าทางใดๆ ซ้ำๆ หรือมากเกินไป เช่น การนั่งไขว้ขา การใช้มือทำงานคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน 💻 หรือใช้มือและนิ้วเล่นโทรศัพท์นานๆ 📱 การถือของหนัก นักกีฬาที่ต้องใช้มือหรือข้อมือเป็นหลัก ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการอ่อนแรง หรือกล้ามเนื้อลีบหากถูกกดทับนานๆ
🟡 การบาดเจ็บที่เส้นประสาทโดยตรง เช่น ได้รับอุบัติเหตุ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเส้นประสาทที่ถูกรบกวนโดยผู้ป่วยมักจะมีอาการชาแบบสูญเสียความรู้สึกและอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงร่วมด้วย
🟡 โรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เส้นประสาทหรือปลอกประสาทส่วนปลายเสื่อม เช่น โรค Charcot-Marie-Tooth Syndrome โดยผู้ป่วยมักมีประวัติคนในครอบครัวมีอาการเกี่ยวกับปลายประสาท และมีอาการมือหรือเท้าผิดรูปร่วมด้วย
🟡 ภาวะเส้นประสาทส่วนปลายอักเสบ มักจะมีความเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยทางกายร่วมด้วย เช่น
· ปลายประสาทอักเสบซึ่งเกิดจากโรคเบาหวานหรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้
· การติดเชื้อบางชนิด เช่น งูสวัด
· โรคที่เกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ
· โรคไตเสื่อมเรื้อรังหรือโรคตับ
· การขาดวิตามินในผู้ป่วยที่ดื่มสุราอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ ผู้ป่วยที่ขาดสารอาหารเรื้อรัง ผู้ที่มีปัญหาในการดูดซึมสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินบี1, บี6, บี12 วิตามินอี และไนอะซิน
· การได้รับยาหรือสารอาหารบางอย่างที่ทำให้เส้นประสาทอักเสบ เช่น ยาฆ่าเชื้อ ได้แก่ Metronidazole, ethambutol, amiodarone, Colchicine เป็นต้น
· ภูมิคุ้มกันแปรปรวนชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
· ความเจ็บป่วยทางร่างกายที่รุนแรง
3.
โรคหลอดเลือดส่วนปลาย เช่น
การอุดตันของหลอดเลือดแดง ทำให้การไหลเวียนของเลือด 🩸 เพื่อนำเลือดดีมาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อ 💪 และเส้นประสาทส่วนปลายลดลง ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการชาที่แขนและขาแล้ว ยังส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการซีดด้วย หรือการอุดตันของหลอดเลือดดำ ทำให้ของเสียในเลือดลำเลียงออกมาไม่ได้ และยังรบกวนการนำเข้าของเลือดแดง ส่งผลต่อเลือดที่นำจะมาเลี้ยงที่บริเวณเส้นประสาท ผู้ป่วยจึงมักมีอาการชาและอ่อนแรงที่แขนและขา หรืออาจมีอาการบวมร่วมด้วย
4.
โรคข้ออักเสบ อาการอักเสบของข้อจะส่งผลต่อเส้นประสาทที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการชาร่วมด้วย
5.
โรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เช่น โรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากมีอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังเส้นประสาท จึงอาจพบอาการชาร่วมกับอาการปวดกล้ามเนื้อในบริเวณดังกล่าว
อาการชาแบบไหนไม่ควรปล่อยทิ้งไว้
โดยทั่วไป อาการชามักจะทำให้ผู้ป่วยเกิดความรำคาญ เพราะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงมักจะมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและบรรเทาอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าว แต่ถ้ามีอาการชาร่วมกับอาการอื่นๆ อันนี้ต้องรีบมาพบแพทย์ทันทีนะครับ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็อาจจะทำให้มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ เช่น
🔴 อาการชาที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และเกิดขึ้นในตำแหน่งอื่นเพิ่มขึ้น หรือเกิดขึ้นในตำแหน่งที่ต่อเนื่องกัน
🔴 อาการชาที่ทำให้สูญเสียความรู้สึก
🔴 อาการชาที่มีอาการอ่อนแรง หรือเสียการทรงตัวร่วมด้วย
🔴 อาการชาที่มีอาการผิดรูปหรือมีแผลร่วมด้วย
🔴 อาการชาร่วมกับอาการมือเท้าร้อนหรือเย็นผิดปกติ
ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัย
1. การซักประวัติ อาการ ปัจจัยเสี่ยง หรือโรคที่อาจเป็นสาเหตุ รวมถึงยาที่ผู้ป่วยรับประทานเป็นประจำ
2. การตรวจร่างกาย โดยการใช้ไม้ปลายแหลม หรือการใช้สำลีสัมผัสเบาๆ ที่ผิวหนัง
3. การตรวจเพิ่มเติม โดยการส่งตรวจแบบเฉพาะของเส้นประสาท ได้แก่ การตรวจวินิจฉัยไฟฟ้าของเส้นประสาท เพื่อให้ข้อมูลรายละเอียดของโรค รวมถึงการตรวจเพิ่มเติมทางระบบประสาท เช่น ภาพวินิจฉัยแม่เหล็กไฟฟ้าของสมอง กระดูกไขสันหลัง บางรายอาจจะต้องเจาะเพื่อตรวจน้ำในไขสันหลัง รวมถึงการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด การตรวจระดับวิตามินบีในร่างกาย การตรวจระดับไทรอยด์ฮอร์โมน และการตรวจหาภาวะติดเชื้อบางอย่าง เป็นต้น
การรักษาอาการชา ทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น
· การใช้ยา เพื่อรักษาอาการปวดหรือสูญเสียความรู้สึกที่เกิดจากอาการชา
· การรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า Peripheral Magnetic Stimulation
· การทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ในกรณีที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือสูญเสียการทรงตัวร่วมด้วย
· การดูแลด้วยตัวเองด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อป้องกันผลที่อาจเกิดตามมาจากอาการชา เช่น การดูแลความสะอาดของเท้า ตัดเล็บให้สั้น และตรวจดูว่ามีแผลที่เท้าหรือไม่ก่อนที่แผลจะลุกลามหรือมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น การเลือกรองเท้าให้เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่สูญเสียความรู้สึกที่เท้า รวมถึงป้องกันอุบัติเหตุในกรณีที่มีอาการชามากๆ เช่น อุบัติเหตุที่เกิดจากความร้อน
จะเห็นได้ว่าอาการชาไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรคที่เกิดจากปลายประสาทเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับโรคอื่นๆ อีกมากมายชนิดที่เราคาดไม่ถึง ดังนั้น พี่หมอจึงอยากให้ทุกคนหมั่นสังเกตร่างกายตัวเองบ่อยๆ และถ้าพบความผิดปกติก็ไม่ควรนิ่งนอนใจเด็ดขาด เพราะบางทีอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองข้ามก็อาจจะนำไปสู่โรคที่ร้ายแรงได้ 😎😎😎
สัญญาณบอกโรคจากอาการ “ชา”
อาการชาเป็นอาการที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และทุกส่วนของร่างกาย แต่ที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ บริเวณมือและเท้า โดยอาการชามีอยู่ด้วยกันหลายแบบ เช่น แบบที่สูญเสียความรู้สึก หรือรู้สึกว่าผิวหนังหนาเป็นปื้นๆ หรือมีความรู้สึกอื่นที่แสดงออกมามากกว่าปกติ เช่น ยิบๆ ซ่าๆ เหมือนเข็มทิ่ม ปวดแสบปวดร้อน เสียวคล้ายไฟช็อต ⚡ เป็นต้น
คนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามอาการชา เพราะคิดว่าเป็นแป๊บเดียวก็หายและไม่น่าจะส่งผลเสียอะไรกับสุขภาพของเรา
อย่างเพื่อนพี่หมอคนนึง มีอาการชาที่ปลายนิ้วมือบ่อยๆ ตอนแรกก็นึกว่าแค่ขาดวิตามินบี แต่พอไปตรวจถึงรู้ว่าเป็นไทรอยด์ 😂ดังนั้น อาการชาที่เราเป็นอยู่จึงอาจเป็นได้ทั้งอาการของโรคและสัญญาณแรกของโรค เช่น อาการชาจากการขาดวิตามิน และอาการชาจากโรคเบาหวาน แต่อาการชาบางอย่างถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปก็อาจทำให้เส้นประสาทในบริเวณนั้นเสียหายอย่างถาวรได้
แล้วอาการชาที่เราเป็นอยู่บอกโรคอะไรได้บ้าง มีสาเหตุหรือที่มาที่ไปอย่างไร และชาแบบไหนที่ห้ามปล่อยทิ้งไว้เด็ดขาด พี่หมอไปรวบรวมข้อมูลมาให้แล้วครับ 👇
1. เกิดจากระบบประสาทส่วนกลางที่อยู่บริเวณสมองหรือไขสันหลัง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โดยผู้ป่วยจะมีอาการชาเกิดขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย และอาจมีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ทรงตัวลำบาก โดยอาการมักเกิดขึ้นแบบฉับพลันทันที หรือโรคปลอกประสาทส่วนกลางอักเสบ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการปวดตามตำแหน่งของเส้นประสาทที่มีอาการอักเสบ อาการเกร็ง หรืออาการรีเฟลกซ์ที่ตอบสนองไวกว่าปกติร่วมกับอาการชาตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
2. เกิดจากระบบเส้นประสาทส่วนปลาย
🟡 ภาวะรากประสาทถูกกดทับ จากกระดูกต้นคอเสื่อมหรือหมอนรองกระดูกเคลื่อน
🟡 ภาวะการกดทับของเส้นประสาท โดยมักพบในตำแหน่งที่เส้นประสาทอยู่ตื้น และมีความสัมพันธ์กับการทำท่าเดิมนานๆ หรือทำท่าทางใดๆ ซ้ำๆ หรือมากเกินไป เช่น การนั่งไขว้ขา การใช้มือทำงานคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน 💻 หรือใช้มือและนิ้วเล่นโทรศัพท์นานๆ 📱 การถือของหนัก นักกีฬาที่ต้องใช้มือหรือข้อมือเป็นหลัก ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการอ่อนแรง หรือกล้ามเนื้อลีบหากถูกกดทับนานๆ
🟡 การบาดเจ็บที่เส้นประสาทโดยตรง เช่น ได้รับอุบัติเหตุ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเส้นประสาทที่ถูกรบกวนโดยผู้ป่วยมักจะมีอาการชาแบบสูญเสียความรู้สึกและอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงร่วมด้วย
🟡 โรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เส้นประสาทหรือปลอกประสาทส่วนปลายเสื่อม เช่น โรค Charcot-Marie-Tooth Syndrome โดยผู้ป่วยมักมีประวัติคนในครอบครัวมีอาการเกี่ยวกับปลายประสาท และมีอาการมือหรือเท้าผิดรูปร่วมด้วย
🟡 ภาวะเส้นประสาทส่วนปลายอักเสบ มักจะมีความเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยทางกายร่วมด้วย เช่น
· ปลายประสาทอักเสบซึ่งเกิดจากโรคเบาหวานหรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้
· การติดเชื้อบางชนิด เช่น งูสวัด
· โรคที่เกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ
· โรคไตเสื่อมเรื้อรังหรือโรคตับ
· การขาดวิตามินในผู้ป่วยที่ดื่มสุราอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ ผู้ป่วยที่ขาดสารอาหารเรื้อรัง ผู้ที่มีปัญหาในการดูดซึมสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินบี1, บี6, บี12 วิตามินอี และไนอะซิน
· การได้รับยาหรือสารอาหารบางอย่างที่ทำให้เส้นประสาทอักเสบ เช่น ยาฆ่าเชื้อ ได้แก่ Metronidazole, ethambutol, amiodarone, Colchicine เป็นต้น
· ภูมิคุ้มกันแปรปรวนชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
· ความเจ็บป่วยทางร่างกายที่รุนแรง
3. โรคหลอดเลือดส่วนปลาย เช่น การอุดตันของหลอดเลือดแดง ทำให้การไหลเวียนของเลือด 🩸 เพื่อนำเลือดดีมาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อ 💪 และเส้นประสาทส่วนปลายลดลง ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการชาที่แขนและขาแล้ว ยังส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการซีดด้วย หรือการอุดตันของหลอดเลือดดำ ทำให้ของเสียในเลือดลำเลียงออกมาไม่ได้ และยังรบกวนการนำเข้าของเลือดแดง ส่งผลต่อเลือดที่นำจะมาเลี้ยงที่บริเวณเส้นประสาท ผู้ป่วยจึงมักมีอาการชาและอ่อนแรงที่แขนและขา หรืออาจมีอาการบวมร่วมด้วย
4. โรคข้ออักเสบ อาการอักเสบของข้อจะส่งผลต่อเส้นประสาทที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการชาร่วมด้วย
5. โรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เช่น โรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากมีอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังเส้นประสาท จึงอาจพบอาการชาร่วมกับอาการปวดกล้ามเนื้อในบริเวณดังกล่าว
โดยทั่วไป อาการชามักจะทำให้ผู้ป่วยเกิดความรำคาญ เพราะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงมักจะมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและบรรเทาอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าว แต่ถ้ามีอาการชาร่วมกับอาการอื่นๆ อันนี้ต้องรีบมาพบแพทย์ทันทีนะครับ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็อาจจะทำให้มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ เช่น
🔴 อาการชาที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และเกิดขึ้นในตำแหน่งอื่นเพิ่มขึ้น หรือเกิดขึ้นในตำแหน่งที่ต่อเนื่องกัน
🔴 อาการชาที่ทำให้สูญเสียความรู้สึก
🔴 อาการชาที่มีอาการอ่อนแรง หรือเสียการทรงตัวร่วมด้วย
🔴 อาการชาที่มีอาการผิดรูปหรือมีแผลร่วมด้วย
🔴 อาการชาร่วมกับอาการมือเท้าร้อนหรือเย็นผิดปกติ
ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัย
1. การซักประวัติ อาการ ปัจจัยเสี่ยง หรือโรคที่อาจเป็นสาเหตุ รวมถึงยาที่ผู้ป่วยรับประทานเป็นประจำ
2. การตรวจร่างกาย โดยการใช้ไม้ปลายแหลม หรือการใช้สำลีสัมผัสเบาๆ ที่ผิวหนัง
3. การตรวจเพิ่มเติม โดยการส่งตรวจแบบเฉพาะของเส้นประสาท ได้แก่ การตรวจวินิจฉัยไฟฟ้าของเส้นประสาท เพื่อให้ข้อมูลรายละเอียดของโรค รวมถึงการตรวจเพิ่มเติมทางระบบประสาท เช่น ภาพวินิจฉัยแม่เหล็กไฟฟ้าของสมอง กระดูกไขสันหลัง บางรายอาจจะต้องเจาะเพื่อตรวจน้ำในไขสันหลัง รวมถึงการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด การตรวจระดับวิตามินบีในร่างกาย การตรวจระดับไทรอยด์ฮอร์โมน และการตรวจหาภาวะติดเชื้อบางอย่าง เป็นต้น
การรักษาอาการชา ทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น
· การใช้ยา เพื่อรักษาอาการปวดหรือสูญเสียความรู้สึกที่เกิดจากอาการชา
· การรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า Peripheral Magnetic Stimulation
· การทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ในกรณีที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือสูญเสียการทรงตัวร่วมด้วย
· การดูแลด้วยตัวเองด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อป้องกันผลที่อาจเกิดตามมาจากอาการชา เช่น การดูแลความสะอาดของเท้า ตัดเล็บให้สั้น และตรวจดูว่ามีแผลที่เท้าหรือไม่ก่อนที่แผลจะลุกลามหรือมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น การเลือกรองเท้าให้เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่สูญเสียความรู้สึกที่เท้า รวมถึงป้องกันอุบัติเหตุในกรณีที่มีอาการชามากๆ เช่น อุบัติเหตุที่เกิดจากความร้อน
จะเห็นได้ว่าอาการชาไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรคที่เกิดจากปลายประสาทเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับโรคอื่นๆ อีกมากมายชนิดที่เราคาดไม่ถึง ดังนั้น พี่หมอจึงอยากให้ทุกคนหมั่นสังเกตร่างกายตัวเองบ่อยๆ และถ้าพบความผิดปกติก็ไม่ควรนิ่งนอนใจเด็ดขาด เพราะบางทีอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองข้ามก็อาจจะนำไปสู่โรคที่ร้ายแรงได้ 😎😎😎