ภาวะก่อนเบาหวาน คืออะไร ? ( Pre-DM ) ใช่เรามั้ยนะ ?
หลายท่านอาจเคยได้ยินคำว่า "เบาหวาน" และทราบถึงความน่ากลัวของโรคนี้ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า ก่อนที่ร่างกายจะเดินทางไปถึงจุดที่เป็นเบาหวานเต็มตัว ยังมี "สถานีกลางทาง" ที่สำคัญอยู่สถานีหนึ่ง สถานีนี้มีชื่อว่า "ภาวะก่อนเบาหวาน" (Prediabetes)
-----
ภาวะก่อนเบาหวานไม่ใช่โรค แต่เป็นภาวะเตือนภัยที่ร่างกายส่งสัญญาณว่าระบบการจัดการน้ำตาลกำลังเริ่มรวน เปรียบเสมือนสัญญาณไฟเหลืองที่เตือนให้เราชะลอและเตรียมหยุด ก่อนที่จะฝ่าไฟแดงจนเกิดอุบัติเหตุทางสุขภาพตามมา ข่าวดีก็คือ ที่สถานีนี้ เรายังสามารถ "กลับรถ" ได้ทันเวลา บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับภาวะนี้อย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจและสามารถหยุดยั้งวงจรนี้ได้ทันท่วงที
-----
★ใครบ้างที่เสี่ยง? สัญญาณเตือนจากสถิติและปัจจัยรอบตัว
ภาวะก่อนเบาหวานและเบาหวานชนิดที่ 2 ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่ชัดเจน ยิ่งคุณมีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ โอกาสที่จะก้าวเข้าสู่ภาวะนี้ก็ยิ่งสูงขึ้น ซึ่งแบ่งเป็น
ปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขไม่ได้
●อายุ: ผู้ที่มีอายุ 35-45 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ
●ประวัติครอบครัว: มี พ่อ แม่ หรือพี่น้อง เป็นโรคเบาหวาน
●เชื้อชาติ: บางเชื้อชาติมีความเสี่ยงสูงกว่า เช่น กลุ่มคนเอเชียใต้, ฮิสแปนิก, แอฟริกันอเมริกัน
●ประวัติการตั้งครรภ์: เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) หรือคลอดบุตรที่มีน้ำหนักแรกเกิดเกิน 4 กิโลกรัม
●โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS): เป็นภาวะที่สัมพันธ์กับการดื้ออินซูลิน
ปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้
●ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน: โดยเฉพาะการมีไขมันสะสมที่ช่องท้อง (พุง) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด
●ขาดการออกกำลังกาย: การใช้ชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ (Sedentary lifestyle) ทำให้กล้ามเนื้อใช้น้ำตาลได้ไม่ดี
●ความดันโลหิตสูง: ผู้ที่มีความดันโลหิตตั้งแต่ 140/90 mmHg ขึ้นไป
●ไขมันในเลือดผิดปกติ: ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง หรือระดับไขมันดี (HDL) ต่ำ
●การสูบบุหรี่
-----
ข้อมูลทางสถิติที่น่าสนใจ: จากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2562-2563 พบว่า
●ความชุกของภาวะก่อนเบาหวานในประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป อยู่ที่ประมาณ 10.7%
●นั่นหมายความว่าในคนไทยผู้ใหญ่ทุกๆ 10 คน จะมี 1 คนที่กำลังอยู่ในภาวะก่อนเบาหวานโดยอาจไม่รู้ตัว
●ที่น่ากังวลคือ ผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่าคนปกติถึง 1.5 เท่า
-----
★ต้นตอของปัญหา: เมื่อร่างกายเริ่ม "ดื้อ" ต่ออินซูลิน (Insulin Resistance)
หัวใจสำคัญของภาวะก่อนเบาหวานคือ "ภาวะดื้ออินซูลิน" (Insulin Resistance)
ปกติแล้ว เมื่อเรารับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต (ข้าว แป้ง น้ำตาล) ร่างกายจะย่อยและดูดซึมเป็นน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด ตับอ่อน (Pancreas) จะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า "อินซูลิน" ออกมา ทำหน้าที่เปรียบเสมือน "กุญแจ" ไปไขประตูเซลล์ต่างๆ (โดยเฉพาะเซลล์กล้ามเนื้อและไขมัน) เพื่อให้น้ำตาลกลูโคสเข้าไปใช้เป็นพลังงาน ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงสู่ระดับปกติ
ในภาวะดื้ออินซูลิน กุญแจ (อินซูลิน) เริ่มไขประตูเซลล์ได้ไม่ดีเหมือนเดิม เซลล์ต่างๆ ไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้มีน้ำตาลค้างอยู่ในกระแสเลือดสูงกว่าปกติ
ในระยะแรกของภาวะดื้ออินซูลิน กลไกที่สำคัญเกิดขึ้นใน 2 อวัยวะหลัก คือ
1. ภาวะดื้ออินซูลินที่ตับ (Hepatic Insulin Resistance - HIR)
-- กลไกปกติ: ตับเป็นแหล่งผลิตน้ำตาลที่สำคัญของร่างกาย ในภาวะอดอาหาร (เช่น ตอนกลางคืน) ตับจะปล่อยน้ำตาลออกมาเพื่อให้ร่างกายมีพลังงานใช้ เมื่อเรากินอาหาร อินซูลินจะส่งสัญญาณไป "เบรก" การผลิตน้ำตาลที่ตับ
-- กลไกที่ผิดปกติ (HIR): เมื่อตับดื้อต่ออินซูลิน มันจะไม่ได้รับสัญญาณ "เบรก" นี้ ทำให้ตับยังคงผลิตและปล่อยน้ำตาลออกมาอย่างต่อเนื่องแม้ในขณะที่เราไม่ได้กินอาหาร ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้าหลังอดอาหาร (Fasting Blood Sugar) สูงขึ้น
2. ภาวะดื้ออินซูลินที่กล้ามเนื้อ (Muscle Insulin Resistance - MIR)
-- กลไกปกติ: กล้ามเนื้อเป็นอวัยวะที่ใช้น้ำตาลกลูโคสมากที่สุดในร่างกาย หลังมื้ออาหาร อินซูลินจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อดึงน้ำตาลจากเลือดไปเก็บและใช้เป็นพลังงานอย่างรวดเร็ว
-- กลไกที่ผิดปกติ (MIR): เมื่อกล้ามเนื้อดื้อต่ออินซูลิน มันจะไม่สามารถดึงน้ำตาลจากเลือดไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหลังมื้ออาหาร ผลลัพธ์คือ ระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร (Postprandial Blood Sugar) พุ่งสูงขึ้นและค้างอยู่นานกว่าปกติ
ในช่วงแรกนี้ ตับอ่อนจะพยายามแก้ไขสถานการณ์โดยการผลิตอินซูลินออกมา "มากขึ้น" เพื่อชดเชยภาวะดื้ออินซูลิน (Compensatory Hyperinsulinemia) ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดยังอาจดูปกติหรือสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ตับอ่อนกำลังทำงานหนักเกินกำลัง
-----
★การตรวจพบ: เมื่อผลเลือดฟ้องความผิดปกติ (IGT & IFG)
เมื่อภาวะดื้ออินซูลินดำเนินต่อไป ความผิดปกติจะเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นในการตรวจเลือด ซึ่งเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยภาวะก่อนเบาหวาน แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะหลัก ซึ่งสัมพันธ์กับกลไก HIR และ MIR ที่กล่าวไป
1. ภาวะน้ำตาลในเลือดตอนเช้าผิดปกติ (Impaired Fasting Glycemia - IFG)
-- ลักษณะ: ตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting Plasma Glucose) อยู่ในเกณฑ์ 100 - 125 mg/dL
-- สาเหตุหลัก: สะท้อนถึงภาวะดื้ออินซูลินที่ตับ (HIR) เป็นหลัก ซึ่งตับผลิตน้ำตาลออกมามากเกินไปในช่วงที่เรานอนหลับ
2. ภาวะทนต่อน้ำตาลบกพร่อง (Impaired Glucose Tolerance - IGT)
-- ลักษณะ: ตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือด 2 ชั่วโมงหลังการดื่มสารละลายกลูโคส 75 กรัม (Oral Glucose Tolerance Test - OGTT) อยู่ในเกณฑ์ 140 - 199 mg/dL
-- สาเหตุหลัก: สะท้อนถึงภาวะดื้ออินซูลินที่กล้ามเนื้อ (MIR) และเซลล์ส่วนปลายอื่นๆ ทำให้ร่างกายกำจัดน้ำตาลหลังมื้ออาหารได้ไม่ดีพอ
นอกจากนี้ ยังมีการใช้ "ระดับน้ำตาลสะสม" (HbA1c) ซึ่งเป็นการวัดค่าเฉลี่ยของน้ำตาลในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยเกณฑ์ของภาวะก่อนเบาหวานคือ HbA1c 5.7% - 6.4%
บางคนอาจมีภาวะ IFG อย่างเดียว, IGT อย่างเดียว หรือมีทั้งสองอย่างร่วมกันก็ได้ ซึ่งผู้ที่มีทั้งสองอย่างร่วมกันมีความเสี่ยงสูงสุดในการพัฒนาไปเป็นเบาหวาน
-----
★เวลาที่เหลือน้อยลง: ค่าเฉลี่ยการเดินทางจาก "ก่อนเบาหวาน" สู่ "เบาหวาน"
คำถามสำคัญคือ หากตรวจพบว่าเป็นภาวะก่อนเบาหวานแล้วไม่ทำอะไรเลย จะใช้เวลานานเท่าไรจึงจะกลายเป็นโรคเบาหวานเต็มตัว?
จากข้อมูลการศึกษาจำนวนมาก พบว่า:
-- โดยเฉลี่ยแล้ว ประมาณ 5-10% ของผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน จะพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในแต่ละปี
-- หากคิดเป็นภาพรวม ภายในระยะเวลา 5-10 ปี ผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวานและไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มากกว่า 50% จะกลายเป็นโรคเบาหวาน
อย่างไรก็ตาม อัตราการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เท่ากันในทุกคน ขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงที่มี เช่น ระดับน้ำตาลสูงแค่ไหน มีภาวะอ้วนรุนแรงเพียงใด หรือมีประวัติครอบครัวที่เข้มข้นหรือไม่
-----
★หยุดวงจร! การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต (Lifestyle Modification) คือทางออกที่ดีที่สุด
นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะภาวะก่อนเบาหวานคือ "โอกาส" ที่เราจะหยุดยั้งโรคได้ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างจริงจังได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ยาในการป้องกันเบาหวาน
✓ผลสำเร็จทางสถิติที่ต้องรู้: การศึกษาครั้งประวัติศาสตร์ที่ชื่อว่า "Diabetes Prevention Program (DPP)" ในสหรัฐอเมริกา ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนที่สุด โดยเปรียบเทียบ 3 กลุ่ม
1. กลุ่มที่ได้รับคำแนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างเข้มข้น
2. กลุ่มที่ได้รับยาเมทฟอร์มิน (Metformin)
3. กลุ่มที่ได้รับยาหลอก (Placebo)
ผลลัพธ์ในระยะเวลาประมาณ 3 ปีน่าทึ่งมาก
-- การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างเข้มข้น สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ถึง 58% เมื่อเทียบกับกลุ่มยาหลอก
-- กลุ่มที่ใช้ยา metformin ที่ลดความเสี่ยงได้ 31% เมื่อเทียบกับยาหลอก
✓เป้าหมายหลักของการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
1. การลดน้ำหนัก
●เป้าหมายสำคัญที่สุดคือ ลดน้ำหนักตัวลงให้ได้อย่างน้อย 5-7% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น
●สำหรับคนหนัก 80 กิโลกรัม การลดน้ำหนักเพียง 4-6 กิโลกรัม ก็สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมหาศาลในการฟื้นฟูความไวของอินซูลิน
2. การออกกำลังกาย
●แอโรบิก (Aerobic Exercise): ตั้งเป้าหมายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ด้วยความหนักระดับปานกลาง (พอเหนื่อย แต่ยังพูดเป็นประโยคได้) เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แบ่งทำครั้งละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
●ฝึกความแข็งแรง (Strength Training): อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ การสร้างกล้ามเนื้อสำคัญมาก เพราะกล้ามเนื้อคือ "เตาเผา" น้ำตาลที่ใหญ่ที่สุด ยิ่งมีมวลกล้ามเนื้อมาก ร่างกายยิ่งไวต่ออินซูลินและจัดการน้ำตาลได้ดีขึ้น
3. การปรับอาหาร
●เน้นคุณภาพ ไม่ใช่การอด: ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร แต่ให้เลือกกิน
●เพิ่ม: ผักใบเขียวและผักหลากสี, ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง, ขนมปังโฮลวีท), โปรตีนดี (ปลา, ไก่ไม่ติดหนัง, เต้าหู้, ถั่ว), ไขมันดี (อะโวคาโด, น้ำมันมะกอก, ถั่วเปลือกแข็ง)
●ลด: น้ำตาลและเครื่องดื่มรสหวาน (น้ำอัดลม, ชานมไข่มุก, น้ำผลไม้กล่อง), ขนมหวาน, เบเกอรี่, อาหารแปรรูป, ของทอด, ไขมันทรานส์
●หลักการ "จานสุขภาพ 2:1:1": แบ่งจานอาหารเป็น 4 ส่วน โดย 2 ส่วน (ครึ่งจาน) เป็นผัก, 1 ส่วนเป็นโปรตีน, และ 1 ส่วนเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
-----
สรุป
ภาวะก่อนเบาหวานไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นทางแยกที่สำคัญของชีวิต มันคือสัญญาณเตือนจากร่างกายให้เราหันกลับมาดูแลตัวเองอย่างจริงจัง
การทำความเข้าใจกลไกการดื้ออินซูลินที่ตับและกล้ามเนื้อ ช่วยให้เราเห็นภาพว่าการปรับอาหารและโดยเฉพาะการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อนั้นสำคัญเพียงใด
ด้วยการลดน้ำหนัก 5-7% และออกกำลังกาย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เราสามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง อย่ารอให้ขบวนรถไฟเคลื่อนออกจากชานชาลาไปแล้ว วันนี้คือวันที่ดีที่สุดที่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวของคุณ
รวมบทความเกี่ยวกับภาวะเบาหวาน Basic to Advance
https://www.blockdit.com/series/68593c77a995476495439f4c
ติดตามความรู้ทางการแพทย์อื่นๆ ได้ที่
https://www.blockdit.com/pages/684ed2c21333de6e817eb069
หรือที่
https://www.facebook.com/share/19eM6n8qzF/?mibextid=wwXIfr
ภาวะก่อนเบาหวาน คืออะไร ? ( Pre-DM ) ใช่เรามั้ยนะ ?
หลายท่านอาจเคยได้ยินคำว่า "เบาหวาน" และทราบถึงความน่ากลัวของโรคนี้ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า ก่อนที่ร่างกายจะเดินทางไปถึงจุดที่เป็นเบาหวานเต็มตัว ยังมี "สถานีกลางทาง" ที่สำคัญอยู่สถานีหนึ่ง สถานีนี้มีชื่อว่า "ภาวะก่อนเบาหวาน" (Prediabetes)
-----
ภาวะก่อนเบาหวานไม่ใช่โรค แต่เป็นภาวะเตือนภัยที่ร่างกายส่งสัญญาณว่าระบบการจัดการน้ำตาลกำลังเริ่มรวน เปรียบเสมือนสัญญาณไฟเหลืองที่เตือนให้เราชะลอและเตรียมหยุด ก่อนที่จะฝ่าไฟแดงจนเกิดอุบัติเหตุทางสุขภาพตามมา ข่าวดีก็คือ ที่สถานีนี้ เรายังสามารถ "กลับรถ" ได้ทันเวลา บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับภาวะนี้อย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจและสามารถหยุดยั้งวงจรนี้ได้ทันท่วงที
-----
★ใครบ้างที่เสี่ยง? สัญญาณเตือนจากสถิติและปัจจัยรอบตัว
ภาวะก่อนเบาหวานและเบาหวานชนิดที่ 2 ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่ชัดเจน ยิ่งคุณมีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ โอกาสที่จะก้าวเข้าสู่ภาวะนี้ก็ยิ่งสูงขึ้น ซึ่งแบ่งเป็น
ปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขไม่ได้
●อายุ: ผู้ที่มีอายุ 35-45 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ
●ประวัติครอบครัว: มี พ่อ แม่ หรือพี่น้อง เป็นโรคเบาหวาน
●เชื้อชาติ: บางเชื้อชาติมีความเสี่ยงสูงกว่า เช่น กลุ่มคนเอเชียใต้, ฮิสแปนิก, แอฟริกันอเมริกัน
●ประวัติการตั้งครรภ์: เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) หรือคลอดบุตรที่มีน้ำหนักแรกเกิดเกิน 4 กิโลกรัม
●โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS): เป็นภาวะที่สัมพันธ์กับการดื้ออินซูลิน
ปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้
●ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน: โดยเฉพาะการมีไขมันสะสมที่ช่องท้อง (พุง) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด
●ขาดการออกกำลังกาย: การใช้ชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ (Sedentary lifestyle) ทำให้กล้ามเนื้อใช้น้ำตาลได้ไม่ดี
●ความดันโลหิตสูง: ผู้ที่มีความดันโลหิตตั้งแต่ 140/90 mmHg ขึ้นไป
●ไขมันในเลือดผิดปกติ: ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง หรือระดับไขมันดี (HDL) ต่ำ
●การสูบบุหรี่
-----
ข้อมูลทางสถิติที่น่าสนใจ: จากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2562-2563 พบว่า
●ความชุกของภาวะก่อนเบาหวานในประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป อยู่ที่ประมาณ 10.7%
●นั่นหมายความว่าในคนไทยผู้ใหญ่ทุกๆ 10 คน จะมี 1 คนที่กำลังอยู่ในภาวะก่อนเบาหวานโดยอาจไม่รู้ตัว
●ที่น่ากังวลคือ ผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่าคนปกติถึง 1.5 เท่า
-----
★ต้นตอของปัญหา: เมื่อร่างกายเริ่ม "ดื้อ" ต่ออินซูลิน (Insulin Resistance)
หัวใจสำคัญของภาวะก่อนเบาหวานคือ "ภาวะดื้ออินซูลิน" (Insulin Resistance)
ปกติแล้ว เมื่อเรารับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต (ข้าว แป้ง น้ำตาล) ร่างกายจะย่อยและดูดซึมเป็นน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด ตับอ่อน (Pancreas) จะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า "อินซูลิน" ออกมา ทำหน้าที่เปรียบเสมือน "กุญแจ" ไปไขประตูเซลล์ต่างๆ (โดยเฉพาะเซลล์กล้ามเนื้อและไขมัน) เพื่อให้น้ำตาลกลูโคสเข้าไปใช้เป็นพลังงาน ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงสู่ระดับปกติ
ในภาวะดื้ออินซูลิน กุญแจ (อินซูลิน) เริ่มไขประตูเซลล์ได้ไม่ดีเหมือนเดิม เซลล์ต่างๆ ไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้มีน้ำตาลค้างอยู่ในกระแสเลือดสูงกว่าปกติ
ในระยะแรกของภาวะดื้ออินซูลิน กลไกที่สำคัญเกิดขึ้นใน 2 อวัยวะหลัก คือ
1. ภาวะดื้ออินซูลินที่ตับ (Hepatic Insulin Resistance - HIR)
-- กลไกปกติ: ตับเป็นแหล่งผลิตน้ำตาลที่สำคัญของร่างกาย ในภาวะอดอาหาร (เช่น ตอนกลางคืน) ตับจะปล่อยน้ำตาลออกมาเพื่อให้ร่างกายมีพลังงานใช้ เมื่อเรากินอาหาร อินซูลินจะส่งสัญญาณไป "เบรก" การผลิตน้ำตาลที่ตับ
-- กลไกที่ผิดปกติ (HIR): เมื่อตับดื้อต่ออินซูลิน มันจะไม่ได้รับสัญญาณ "เบรก" นี้ ทำให้ตับยังคงผลิตและปล่อยน้ำตาลออกมาอย่างต่อเนื่องแม้ในขณะที่เราไม่ได้กินอาหาร ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้าหลังอดอาหาร (Fasting Blood Sugar) สูงขึ้น
2. ภาวะดื้ออินซูลินที่กล้ามเนื้อ (Muscle Insulin Resistance - MIR)
-- กลไกปกติ: กล้ามเนื้อเป็นอวัยวะที่ใช้น้ำตาลกลูโคสมากที่สุดในร่างกาย หลังมื้ออาหาร อินซูลินจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อดึงน้ำตาลจากเลือดไปเก็บและใช้เป็นพลังงานอย่างรวดเร็ว
-- กลไกที่ผิดปกติ (MIR): เมื่อกล้ามเนื้อดื้อต่ออินซูลิน มันจะไม่สามารถดึงน้ำตาลจากเลือดไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหลังมื้ออาหาร ผลลัพธ์คือ ระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร (Postprandial Blood Sugar) พุ่งสูงขึ้นและค้างอยู่นานกว่าปกติ
ในช่วงแรกนี้ ตับอ่อนจะพยายามแก้ไขสถานการณ์โดยการผลิตอินซูลินออกมา "มากขึ้น" เพื่อชดเชยภาวะดื้ออินซูลิน (Compensatory Hyperinsulinemia) ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดยังอาจดูปกติหรือสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ตับอ่อนกำลังทำงานหนักเกินกำลัง
-----
★การตรวจพบ: เมื่อผลเลือดฟ้องความผิดปกติ (IGT & IFG)
เมื่อภาวะดื้ออินซูลินดำเนินต่อไป ความผิดปกติจะเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นในการตรวจเลือด ซึ่งเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยภาวะก่อนเบาหวาน แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะหลัก ซึ่งสัมพันธ์กับกลไก HIR และ MIR ที่กล่าวไป
1. ภาวะน้ำตาลในเลือดตอนเช้าผิดปกติ (Impaired Fasting Glycemia - IFG)
-- ลักษณะ: ตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting Plasma Glucose) อยู่ในเกณฑ์ 100 - 125 mg/dL
-- สาเหตุหลัก: สะท้อนถึงภาวะดื้ออินซูลินที่ตับ (HIR) เป็นหลัก ซึ่งตับผลิตน้ำตาลออกมามากเกินไปในช่วงที่เรานอนหลับ
2. ภาวะทนต่อน้ำตาลบกพร่อง (Impaired Glucose Tolerance - IGT)
-- ลักษณะ: ตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือด 2 ชั่วโมงหลังการดื่มสารละลายกลูโคส 75 กรัม (Oral Glucose Tolerance Test - OGTT) อยู่ในเกณฑ์ 140 - 199 mg/dL
-- สาเหตุหลัก: สะท้อนถึงภาวะดื้ออินซูลินที่กล้ามเนื้อ (MIR) และเซลล์ส่วนปลายอื่นๆ ทำให้ร่างกายกำจัดน้ำตาลหลังมื้ออาหารได้ไม่ดีพอ
นอกจากนี้ ยังมีการใช้ "ระดับน้ำตาลสะสม" (HbA1c) ซึ่งเป็นการวัดค่าเฉลี่ยของน้ำตาลในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยเกณฑ์ของภาวะก่อนเบาหวานคือ HbA1c 5.7% - 6.4%
บางคนอาจมีภาวะ IFG อย่างเดียว, IGT อย่างเดียว หรือมีทั้งสองอย่างร่วมกันก็ได้ ซึ่งผู้ที่มีทั้งสองอย่างร่วมกันมีความเสี่ยงสูงสุดในการพัฒนาไปเป็นเบาหวาน
-----
★เวลาที่เหลือน้อยลง: ค่าเฉลี่ยการเดินทางจาก "ก่อนเบาหวาน" สู่ "เบาหวาน"
คำถามสำคัญคือ หากตรวจพบว่าเป็นภาวะก่อนเบาหวานแล้วไม่ทำอะไรเลย จะใช้เวลานานเท่าไรจึงจะกลายเป็นโรคเบาหวานเต็มตัว?
จากข้อมูลการศึกษาจำนวนมาก พบว่า:
-- โดยเฉลี่ยแล้ว ประมาณ 5-10% ของผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน จะพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในแต่ละปี
-- หากคิดเป็นภาพรวม ภายในระยะเวลา 5-10 ปี ผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวานและไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มากกว่า 50% จะกลายเป็นโรคเบาหวาน
อย่างไรก็ตาม อัตราการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เท่ากันในทุกคน ขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงที่มี เช่น ระดับน้ำตาลสูงแค่ไหน มีภาวะอ้วนรุนแรงเพียงใด หรือมีประวัติครอบครัวที่เข้มข้นหรือไม่
-----
★หยุดวงจร! การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต (Lifestyle Modification) คือทางออกที่ดีที่สุด
นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะภาวะก่อนเบาหวานคือ "โอกาส" ที่เราจะหยุดยั้งโรคได้ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างจริงจังได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ยาในการป้องกันเบาหวาน
✓ผลสำเร็จทางสถิติที่ต้องรู้: การศึกษาครั้งประวัติศาสตร์ที่ชื่อว่า "Diabetes Prevention Program (DPP)" ในสหรัฐอเมริกา ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนที่สุด โดยเปรียบเทียบ 3 กลุ่ม
1. กลุ่มที่ได้รับคำแนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างเข้มข้น
2. กลุ่มที่ได้รับยาเมทฟอร์มิน (Metformin)
3. กลุ่มที่ได้รับยาหลอก (Placebo)
ผลลัพธ์ในระยะเวลาประมาณ 3 ปีน่าทึ่งมาก
-- การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างเข้มข้น สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ถึง 58% เมื่อเทียบกับกลุ่มยาหลอก
-- กลุ่มที่ใช้ยา metformin ที่ลดความเสี่ยงได้ 31% เมื่อเทียบกับยาหลอก
✓เป้าหมายหลักของการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
1. การลดน้ำหนัก
●เป้าหมายสำคัญที่สุดคือ ลดน้ำหนักตัวลงให้ได้อย่างน้อย 5-7% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น
●สำหรับคนหนัก 80 กิโลกรัม การลดน้ำหนักเพียง 4-6 กิโลกรัม ก็สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมหาศาลในการฟื้นฟูความไวของอินซูลิน
2. การออกกำลังกาย
●แอโรบิก (Aerobic Exercise): ตั้งเป้าหมายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ด้วยความหนักระดับปานกลาง (พอเหนื่อย แต่ยังพูดเป็นประโยคได้) เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แบ่งทำครั้งละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
●ฝึกความแข็งแรง (Strength Training): อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ การสร้างกล้ามเนื้อสำคัญมาก เพราะกล้ามเนื้อคือ "เตาเผา" น้ำตาลที่ใหญ่ที่สุด ยิ่งมีมวลกล้ามเนื้อมาก ร่างกายยิ่งไวต่ออินซูลินและจัดการน้ำตาลได้ดีขึ้น
3. การปรับอาหาร
●เน้นคุณภาพ ไม่ใช่การอด: ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร แต่ให้เลือกกิน
●เพิ่ม: ผักใบเขียวและผักหลากสี, ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง, ขนมปังโฮลวีท), โปรตีนดี (ปลา, ไก่ไม่ติดหนัง, เต้าหู้, ถั่ว), ไขมันดี (อะโวคาโด, น้ำมันมะกอก, ถั่วเปลือกแข็ง)
●ลด: น้ำตาลและเครื่องดื่มรสหวาน (น้ำอัดลม, ชานมไข่มุก, น้ำผลไม้กล่อง), ขนมหวาน, เบเกอรี่, อาหารแปรรูป, ของทอด, ไขมันทรานส์
●หลักการ "จานสุขภาพ 2:1:1": แบ่งจานอาหารเป็น 4 ส่วน โดย 2 ส่วน (ครึ่งจาน) เป็นผัก, 1 ส่วนเป็นโปรตีน, และ 1 ส่วนเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
-----
สรุป
ภาวะก่อนเบาหวานไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นทางแยกที่สำคัญของชีวิต มันคือสัญญาณเตือนจากร่างกายให้เราหันกลับมาดูแลตัวเองอย่างจริงจัง
การทำความเข้าใจกลไกการดื้ออินซูลินที่ตับและกล้ามเนื้อ ช่วยให้เราเห็นภาพว่าการปรับอาหารและโดยเฉพาะการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อนั้นสำคัญเพียงใด
ด้วยการลดน้ำหนัก 5-7% และออกกำลังกาย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เราสามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง อย่ารอให้ขบวนรถไฟเคลื่อนออกจากชานชาลาไปแล้ว วันนี้คือวันที่ดีที่สุดที่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวของคุณ
รวมบทความเกี่ยวกับภาวะเบาหวาน Basic to Advance
https://www.blockdit.com/series/68593c77a995476495439f4c
ติดตามความรู้ทางการแพทย์อื่นๆ ได้ที่
https://www.blockdit.com/pages/684ed2c21333de6e817eb069
หรือที่
https://www.facebook.com/share/19eM6n8qzF/?mibextid=wwXIfr