มาทำความรู้จักเฮมิสกับ "เพื่อน" ของเขากันมากขึ้นในบทนี้นะคะ
ความเดิม
บทนำ - บทที่ ๑:
https://pantip.com/topic/39574119
###
บทที่ ๒
เฮมิสเปิดประตูก้าวออกจากร้าน แล้วจึงแหงนมองแผ่นป้ายเหนือประตู
‘ร้านอุปกรณ์เวทมนต์’
ป้ายหน้าร้านของเขาเล็กและไม่เป็นที่สะดุดตา แต่ก็เป็นร้านอุปกรณ์เวทมนต์เพียงแห่งเดียวในละแวกนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องคู่แข่ง
อย่าว่าแต่เขาไม่สนใจเรื่องคู่แข่งอยู่แล้ว ที่เปิดร้านนี้ก็เพื่อหาอะไรทำเท่านั้น
เขาปลดแผ่นป้ายที่เขียนว่า 'เปิด' ลงจากประตู ครั้นแล้วจึงหันมองไปตามถนนสายเล็กๆ หน้าร้านของตน
แสงอาทิตย์ยามสายันต์อาบผนังอาคารและพื้นถนนซึ่งปูด้วยหินจนเป็นสีส้มแดง แม้แต่ผู้คนบนถนนท้ายเมืองใหญ่เช่นซาเรอุสแห่งนี้ก็เริ่มบางตา
ยังมีเวลาก่อนอาทิตย์ตก แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปหาฟาลาน จะไม่ยอมถูกรีดไถแบบนั้นเด็ดขาด
เขามองไปยังร้านรวงต่างๆ บนถนนสายนั้น หลายร้านปิดลงแล้ว รวมถึงร้านขายเนื้อที่อยู่ติดกันซึ่งปิดไปตั้งแต่บ่ายด้วย พวกเขาคงยอมจ่ายเงินให้หัวหน้านายด่านกระมังจึงไม่เคยเห็นฟาลานย่างเท้าเข้าร้านเหล่านี้เลย
อันที่จริงเขายังไม่คุ้นเคยกับคนแถวนี้สักเท่าใด เขามาเปิดร้านได้เกือบหนึ่งสัปดาห์ แต่กลับยังไม่มีโอกาสทักทายทำความรู้จักกับใครเลยสักคน
…ทว่าบางทีนั่นอาจเป็นการดีก็ได้
เขาหันไปทางร้านที่อยู่ติดกันอีกด้านหนึ่ง หน้าร้านติดป้ายว่า ‘ขายและรับซ่อมรองเท้าหนัง’ เจ้าของร้านซึ่งเป็นชายชราร่างผอมกรังอายุราวหกสิบถึงเจ็ดสิบปีกำลังนั่งสูบยาเส้นอยู่หน้าร้าน ทว่ายามหันมาเห็นเฮมิส เขากลับเบือนหน้าไปทางอื่นเสีย ชายผมเงินจึงได้แต่ยิ้มให้กับตัวเอง
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่เขาเลือกทำเลนี้ทำที่อยู่และเปิดร้านขายอุปกรณ์เวทมนต์เล็กๆ แห่งนี้ เขาไม่ต้องการให้เพื่อนบ้านมาคอยยุ่มย่าม เขาต้องการความเป็นส่วนตัว...อย่างยิ่ง
เฮมิสก้าวกลับเข้าไปในร้าน ปิดประตูบิดลูกกุญแจลงกลอนเรียบร้อยแล้วก็เอาป้ายซึ่งเพิ่งปลดลงมาจากหน้าร้านแขวนไว้ตรงที่จับประตู ครั้นแล้วก็เดินไปดับตะเกียงทีละดวง แล้วถือดวงสุดท้ายก้าวไปทางหลังร้าน
ที่นั่น ชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งเพิ่งยกลังใส่ของลังสุดท้ายขึ้นซ้อนบนลังอื่นซึ่งวางอยู่ริมผนังด้านใน จากนั้นจึงก้าวมายืนข้างเด็กชายหน้าหน้าตาเซื่องซึมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเฮมิส ใบหน้าของชายร่างใหญ่ก็ดูเซื่องซึมไม่ผิดกัน
“จิฟา จูธา พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด” เขาบอกผู้ช่วยของเขา คนทั้งสองก็หันกายโดยพร้อมเพรียง ชายร่างใหญ่ที่ชื่อจูธาก้มกายลงดึงปลดสลักบนพื้น แล้วดึงที่จับประตูขึ้น แผ่นไม้หนาหนักซึ่งใช้เป็นประตูห้องใต้ดินก็เปิดออก ครั้นแล้วจูธาก้าวลงบันไดที่ทอดลงสู่ความมืดมิด โดยมีเด็กชายและเฮมิสก้าวตามลงไป
ห้องใต้ดินโดยมากเป็นสถานที่เก็บของ แต่ห้องใต้ดินในร้านอุปกรณ์เวทมนต์กลับมีกล่องไม้สี่เหลี่ยมที่ดูเหมือนโลงศพสองใบ
จูธาและจิฟาดันฝากล่องไม้ทั้งสองเปิดออก ภายในบุด้วยที่นอนนุ่ม ปูทับด้วยผ้าเนื้อนิ่ม ซึ่งเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพียงไม่กี่อย่างที่เฮมิสพอจะทำให้พวกเขาได้
ผู้ช่วยทั้งสองก้าวเข้าไปในกล่องไม้นั้น ทอดกายลงนอนราวกับศพในโลงแล้วจึงยึดที่จับด้านใน พวกเขาดึงเลื่อนฝาโลงกลับจนปิดสนิท
ครั้นเฮมิสเห็นพวกเขาเข้านอนเรียบร้อยแล้วก็หันกายก้าวขึ้นบันไดกลับขึ้นไปหลังร้าน ที่นั่นยังมีบันไดอีกชุดหนึ่งทอดขึ้นไปยังชั้นบน เฮมิสเดินขึ้นบันไดนั้น ก้าวเข้าไปในห้องนอนของตน แล้วปิดประตูลงกลอน
---
แม้ในห้องนอนของเขาก็ไม่มีหน้าต่าง ช่องที่ควรจะเป็นหน้าต่างกลับถูกตอกปิดไว้ด้วยไม้แผ่นหนึ่ง
ภายในห้องมีเพียงเตียงหลังหนึ่ง มีหีบเสื้อผ้าวางอยู่ที่ปลายเตียง หีบหนังสือวางอยู่ที่มุมห้องริมประตู ตรงมุมห้องข้างหัวเตียงมีเก้าอีกนวมอีกตัวหนึ่ง กับโต๊ะเล็กๆ สำหรับวางของ บนโต๊ะนั้นมีหนังสือที่เขาอ่านค้างไว้อยู่
เฮมิสวางตะเกียงลงบนโต๊ะ เขาทิ้งกายนั่งลงบนเก้าอี้นวม ทอดสายตามองไปยังแผ่นไม้สองแผ่นที่เขาตอกปิดหน้าต่างไว้ ครู่ต่อมาจึงละสายตาจากแผ่นไม้ หันไปหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน
ตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะคิกคักพลันดังขึ้น
“กิจการไปได้ดีนี่” เสียงนั้นกล่าว แต่กลับไม่เห็นตัว
“มีคนเห็นผี ก็เลยขายเครื่องรางได้เยอะ” เฮมิสตอบกลับไปเรียบๆ ในมือยังถือหนังสือ ดวงตาก็จับจ้องอยู่ที่หนังสือ
“แต่เจ้าก็รู้ว่านั่นเป็นการกระทำของมนุษย์ เครื่องรางของเจ้าช่วยอะไรไม่ได้” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีก สุ้มเสียงแหลมบาดหู สำเนียงก็คล้ายกับรัวลิ้นอยู่ตลอดเวลา
“ช่วยได้สิ ช่วยให้พวกเขาสบายใจขึ้นอย่างไรเล่า” ชายผมเงินตอบ สายตายังไม่ละไปจากหนังสือในมือ
“ช่วยให้สบายใจ แต่ไม่ได้ช่วยให้ปลอดภัยเสียหน่อย” เสียงนั้นกล่าวกลั้วหัวเราะ พร้อมกันนั้นเจ้าของเสียงก็ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น จากเงาเลือนรางกลายเป็นรูปร่างชัดเจนขึ้นทีละน้อย ทว่าลักษณะยิ่งปรากฏชัดกลับยิ่งไม่น่ามอง
มันเป็นตัวประหลาดที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นผีหรือคน ตัวของมันเล็กเพียงครึ่งหนึ่งของคนปกติ ผิวหนังเป็นสีเทาเหี่ยวย่นราวกับศพแห้งกรัง ดวงตาของมันโตใหญ่ลึกโหล นัยน์ตาเป็นสีเหลืองและมีม่านตาเป็นขีดตามแนวตั้งอย่างตาแมว ใบหูของมันก็แหว่งวิ่นราวกับใบไม้ที่ถูกหนอนกัดกิน
ทว่าถึงรูปร่างจะน่าเกลียดราวกับศพ แต่เสื้อผ้าของมันกลับประณีตและมีสีสดใส มันสวมเสื้อคลุมสีแดงปักลายทองทับเสื้อตัวในสีชมพู กับกางเกงสีเลือดหมูเข้าชุดกับเสื้อคลุม มันสวมรองเท้าหนังหุ้มแข้งสีน้ำตาล และยังสวมหมวกทรงสูงสีแดงบนศีรษะที่ไม่ทราบว่ามีผมกี่เส้น
เฮมิสปิดหนังสือ เงยหน้าขึ้นมองปิศาจกึ่งศพที่นั่งไขว่ห้างกลางอากาศเหนือเตียงนอนของตน “หากคนที่ปลุกศพนั้นขึ้นมาต้องการทำร้ายใครแล้วละก็ เวลานี้คงต้องได้ข่าวคนตายหรือบาดเจ็บบ้างละ”
“แล้วเจ้าไม่คิดจะทำอะไรบ้างรึ” มันถามพร้อมกับฉีกยิ้มเห็นฟันสีเหลืองที่ร่อยหรอ ใบหน้าของมันก็ยิ่งยับย่นจนยู่ยี่
“ข้าจะทำอะไรได้เล่า รูห์” ชายผมเงินย้อนถามกลับไป
“โอ มากมายเลยทีเดียว” สิ่งที่เรียกว่ารูห์ตอบ “เจ้าสามารถส่งผีตัวนั้นกลับหลุมได้ด้วยการขยับมือเพียงข้างเดียวเท่านั้น”
ทว่าเฮมิสกลับสั่นศีรษะ “ข้าไม่อยากยุ่ง แค่ต้องการอยู่อย่างสงบ” เขาบอกพร้อมกับเปิดหนังสือ ยกขึ้นในระดับสายตา
รูห์หัวเราะคิกคักขึ้นอีก เสียงหัวเราะของมันยิ่งฟังยิ่งแหลมสูงน่าเกลียด “เจ้าจะอยู่อย่างสงบได้หรือ” มันถามสำเนียงรัว “ในเมื่อเจ้ายังต้องหนีอยู่อย่างนี้ เจ้าจะอยู่อย่างสงบได้จริงหรือ”
หางคิ้วสีเงินขยับ เขาเหลือบมองไปทางปิศาจกึ่งศพด้วยหางตา แต่ไม่ได้ตอบอะไร
เขาไม่มีอะไรต้องตอบ รูห์เป็นแค่ ‘เอด้า’ ตนหนึ่ง เป็นเพียงปิศาจผู้นำทางวิญญาณคนตายไปยังปรโลก จะรู้เรื่องความเป็นอยู่ของมนุษย์ได้อย่างไร
ดีที่เอด้าไม่ได้พูดมากเหมือนมันทุกตน ไม่เช่นนั้นคงชวนคนตายคุยจนหาทางไปปรโลกไม่ถูก
“เอด้าอย่างเจ้าไม่มีงานทำหรือ” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด
“ข้าเพิ่งทำงานเสร็จ” มันบอก “ข้าเพิ่งพาวิญญาณดื้อด้านดวงหนึ่งไปส่งที่ประตูปรโลก” ว่าแล้วมันก็สลับขาอีกข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง “นางผัดผ่อนมาหลายเดือนแล้ว บอกว่าเป็นห่วงญาติ ข้าสงสัยเสียเหลือเกินว่าเหตุใดมนุษย์จึงต้องห่วงนั่นห่วงนี่มากมายนัก ตายแล้วไฉนจึงไม่อยู่ส่วนตาย”
เฮมิสไม่ได้ตอบคำถามนั้น พยายามไม่สนใจมัน
“เจ้าไม่มีใครให้ห่วงบ้างหรือ” มันถามพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ไม่มี” เขาตอบสั้นๆ
“จริงสิ ข้าลืมไป เจ้าไม่มีญาติพี่น้อง อยู่ตัวคนเดียวมาเนิ่นนานแล้ว” มันว่าพลางหัวเราะจนฟังคล้ายกับเย้ยหยัน แต่เฮมิสรู้ว่ามันเป็นเช่นนี้เอง เอด้าเป็นปิศาจที่อยู่ระหว่างโลกคนเป็นกับโลกคนตาย แต่มันไม่เข้าใจทั้งคนเป็นและคนตาย ไม่รู้ว่ามนุษย์มีความผูกพันซึ่งกันและกันเพียงไหน
เพราะเหตุนี้จึงได้มีนักปลุกชีพ นักเวทที่ช่วยปลุกคนตายให้กลับมาหาคนเป็น ทำให้พวกเขากลับมาสื่อสารกันได้อีกครั้ง ให้คนตายได้สะสางสิ่งที่ยังติดค้างอยู่ในใจก่อนจะติดตามเอด้าไปยังปรโลก ทว่าศาสตร์ปลุกชีพไม่สามารถทำให้ศพมีชีวิต มันเพียงแค่ทำให้ศพเคลื่อนไหวได้เท่านั้น...คนตายอย่างไรก็เป็นคนตาย
ศพก็ยังคงเป็นศพ...
ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ รูห์จึงยื่นนิ้วมาจิ้มสันหนังสือซึ่งเขากำลังอ่านอยู่ “ศาสตร์แห่งโชคชะตา...คู่มือนักทำนาย” มันอ่านอักษรบนปกหนังสือแล้วจึงกล่าวขึ้นอีก “ข้าว่าข้าเคยเห็นเจ้าอ่านเล่มนี้แล้วนา รอบที่ยี่สิบแล้วกระมัง”
“เจ็ดสิบ” เขาแก้ สายตายังจับอยู่ที่หนังสือ
“นั่นสิ แล้วยังหนังสือเกี่ยวกับเวทมนต์แขนงต่างๆ พวกนั้นอีก เจ้าอ่านซ้ำไปซ้ำมา ไม่เบื่อบ้างรึ”
“ไม่เบื่อ สิ่งใดที่เจ้ายังไม่อาจเรียนรู้อย่างถ่องแท้ ก็มักจำทำให้เจ้าตื่นเต้นเป็นธรรมดา” เขากล่าวเป็นปรัชญา
“เหมือนครั้งแรกที่เจ้าฝึกเวทมนต์น่ะหรือ” มันว่าพร้อมกับหัวเราะคิกคัก ในขณะที่เฮมิสเงียบลงไปอีก
ครั้งแรกที่เฮมิสฝึกเวทมนต์ เขาเองก็ตื่นเต้น อยากรู้ใคร่ลอง เห็นแต่ด้านดีของเวทมนต์ที่ช่วยให้เขาสามารถทำอะไรได้หลายอย่างที่คนอื่นทำไม่ได้ แต่เขากลับมองข้ามด้านชั่วร้ายของมันไป
ดีที่อาจารย์ซึ่งสอนพื้นฐานเวทมนต์และศาสตร์ปลุกชีพแก่เขานั้นเป็นผู้รู้อย่างแท้จริง สอนให้เขารู้จักทั้งด้านดีและด้านร้ายของเวทมนต์ ถึงจะกำจัดด้านร้ายไปไม่ได้ แต่เขาก็พอควบคุมมันได้
ผิดกับตัวเขาที่ละเลย ไม่ได้พูดถึงด้านร้ายของมันยามสอนเวทมนต์แก่ผู้อื่น...
ครั้นเห็นเฮมิสไม่ตอบ รูห์จึงเอ่ยขึ้นลอยๆ “น่าแปลกที่ในเมืองใหญ่เช่นนี้ยังมีนักปลุกชีพด้วย”
“แปลกอย่างไร” เฮมิสถามโดยที่สายตายังไม่ละไปจากหนังสือ “ศาสตร์ปลุกชีพก็เป็นเวทมนต์แขนงหนึ่ง คนฝึกเวทมนต์มีมากมายนับไม่ถ้วน หากมีจำนวนหนึ่งฝึกศาสตร์ปลุกชีพก็ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกอะไร”
“เวทมนต์ไม่ใช่ของแปลก” รูห์เอ่ย “ศาสตร์ปลุกชีพก็ไม่แปลก แต่เจ้าก็รู้ว่าผู้คนส่วนใหญ่เห็นศาสตร์ปลุกชีพเป็นสิ่งลี้ลับน่ากลัว ชื่อเสียงของนักปลุกชีพก็ออกจะไม่ดี คนที่ฝึกจึงมีน้อยและไม่ค่อยเปิดเผยตัว เจ้าอยู่มาหลายเมืองแล้ว พบเห็นนักปลุกชีพสักกี่คนกันเล่า”
ไม่ถึงสิบคนในเกือบห้าสิบเมืองที่เขาเคยอยู่มา… เขาคิด แต่ไม่ได้เอ่ยออกไป
“เจ้าคิดว่าคนที่ทำต้องการอะไร” รูห์ถามขึ้นอีก “หรือเขาจะถูกครอบงำเหมือน…”
“ดึกแล้ว เจ้าไม่มีงานทำหรือ!” เฮมิสตัดบท พร้อมกับลดหนังสือลง สายตาจ้องเขม็งไปที่ปิศาจกึ่งศพ แต่รูห์กลับหัวเราะ เสียงหัวเราะยิ่งแหลมสูงขึ้นอีก
“ห้องนี้ไม่มีหน้าต่าง เจ้ามองไม่เห็นเดือนดาวแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าดึกแล้ว”
คราวนี้เฮมิสไม่ตอบ นัยน์ตาสีเงินจ้องนิ่งอยู่ที่เอด้าตนนั้น สายตาพลันกร้าวขึ้นจนรูห์ต้องเสไปล้วงกระจกพับบานเล็กๆ จากกระเป๋าที่อกเสื้อ
“ก็ได้ๆ ข้าไปก็ได้” มันบอก พลางส่องดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก “ยังมีวิญญาณรอให้ข้านำทางอีกสองสามดวงเช่นกัน ข้าไปละ” ว่าแล้วร่างเอด้านั้นก็หายวับไป
ครั้นรูห์ไปแล้ว สายตาของเฮมิสก็เปลี่ยนเป็นอ่อนลง เขาทอดมองรอบห้องซึ่งกลับคืนสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง จากนั้นจึงยกหนังสือในมือขึ้นอ่านต่อไป
###
พบกันวันอังคารค่ะ ^^
Back from the Dead บทที่ ๒
ความเดิม
บทนำ - บทที่ ๑: https://pantip.com/topic/39574119
###
บทที่ ๒
เฮมิสเปิดประตูก้าวออกจากร้าน แล้วจึงแหงนมองแผ่นป้ายเหนือประตู
‘ร้านอุปกรณ์เวทมนต์’
ป้ายหน้าร้านของเขาเล็กและไม่เป็นที่สะดุดตา แต่ก็เป็นร้านอุปกรณ์เวทมนต์เพียงแห่งเดียวในละแวกนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องคู่แข่ง
อย่าว่าแต่เขาไม่สนใจเรื่องคู่แข่งอยู่แล้ว ที่เปิดร้านนี้ก็เพื่อหาอะไรทำเท่านั้น
เขาปลดแผ่นป้ายที่เขียนว่า 'เปิด' ลงจากประตู ครั้นแล้วจึงหันมองไปตามถนนสายเล็กๆ หน้าร้านของตน
แสงอาทิตย์ยามสายันต์อาบผนังอาคารและพื้นถนนซึ่งปูด้วยหินจนเป็นสีส้มแดง แม้แต่ผู้คนบนถนนท้ายเมืองใหญ่เช่นซาเรอุสแห่งนี้ก็เริ่มบางตา
ยังมีเวลาก่อนอาทิตย์ตก แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปหาฟาลาน จะไม่ยอมถูกรีดไถแบบนั้นเด็ดขาด
เขามองไปยังร้านรวงต่างๆ บนถนนสายนั้น หลายร้านปิดลงแล้ว รวมถึงร้านขายเนื้อที่อยู่ติดกันซึ่งปิดไปตั้งแต่บ่ายด้วย พวกเขาคงยอมจ่ายเงินให้หัวหน้านายด่านกระมังจึงไม่เคยเห็นฟาลานย่างเท้าเข้าร้านเหล่านี้เลย
อันที่จริงเขายังไม่คุ้นเคยกับคนแถวนี้สักเท่าใด เขามาเปิดร้านได้เกือบหนึ่งสัปดาห์ แต่กลับยังไม่มีโอกาสทักทายทำความรู้จักกับใครเลยสักคน
…ทว่าบางทีนั่นอาจเป็นการดีก็ได้
เขาหันไปทางร้านที่อยู่ติดกันอีกด้านหนึ่ง หน้าร้านติดป้ายว่า ‘ขายและรับซ่อมรองเท้าหนัง’ เจ้าของร้านซึ่งเป็นชายชราร่างผอมกรังอายุราวหกสิบถึงเจ็ดสิบปีกำลังนั่งสูบยาเส้นอยู่หน้าร้าน ทว่ายามหันมาเห็นเฮมิส เขากลับเบือนหน้าไปทางอื่นเสีย ชายผมเงินจึงได้แต่ยิ้มให้กับตัวเอง
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่เขาเลือกทำเลนี้ทำที่อยู่และเปิดร้านขายอุปกรณ์เวทมนต์เล็กๆ แห่งนี้ เขาไม่ต้องการให้เพื่อนบ้านมาคอยยุ่มย่าม เขาต้องการความเป็นส่วนตัว...อย่างยิ่ง
เฮมิสก้าวกลับเข้าไปในร้าน ปิดประตูบิดลูกกุญแจลงกลอนเรียบร้อยแล้วก็เอาป้ายซึ่งเพิ่งปลดลงมาจากหน้าร้านแขวนไว้ตรงที่จับประตู ครั้นแล้วก็เดินไปดับตะเกียงทีละดวง แล้วถือดวงสุดท้ายก้าวไปทางหลังร้าน
ที่นั่น ชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งเพิ่งยกลังใส่ของลังสุดท้ายขึ้นซ้อนบนลังอื่นซึ่งวางอยู่ริมผนังด้านใน จากนั้นจึงก้าวมายืนข้างเด็กชายหน้าหน้าตาเซื่องซึมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเฮมิส ใบหน้าของชายร่างใหญ่ก็ดูเซื่องซึมไม่ผิดกัน
“จิฟา จูธา พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด” เขาบอกผู้ช่วยของเขา คนทั้งสองก็หันกายโดยพร้อมเพรียง ชายร่างใหญ่ที่ชื่อจูธาก้มกายลงดึงปลดสลักบนพื้น แล้วดึงที่จับประตูขึ้น แผ่นไม้หนาหนักซึ่งใช้เป็นประตูห้องใต้ดินก็เปิดออก ครั้นแล้วจูธาก้าวลงบันไดที่ทอดลงสู่ความมืดมิด โดยมีเด็กชายและเฮมิสก้าวตามลงไป
ห้องใต้ดินโดยมากเป็นสถานที่เก็บของ แต่ห้องใต้ดินในร้านอุปกรณ์เวทมนต์กลับมีกล่องไม้สี่เหลี่ยมที่ดูเหมือนโลงศพสองใบ
จูธาและจิฟาดันฝากล่องไม้ทั้งสองเปิดออก ภายในบุด้วยที่นอนนุ่ม ปูทับด้วยผ้าเนื้อนิ่ม ซึ่งเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพียงไม่กี่อย่างที่เฮมิสพอจะทำให้พวกเขาได้
ผู้ช่วยทั้งสองก้าวเข้าไปในกล่องไม้นั้น ทอดกายลงนอนราวกับศพในโลงแล้วจึงยึดที่จับด้านใน พวกเขาดึงเลื่อนฝาโลงกลับจนปิดสนิท
ครั้นเฮมิสเห็นพวกเขาเข้านอนเรียบร้อยแล้วก็หันกายก้าวขึ้นบันไดกลับขึ้นไปหลังร้าน ที่นั่นยังมีบันไดอีกชุดหนึ่งทอดขึ้นไปยังชั้นบน เฮมิสเดินขึ้นบันไดนั้น ก้าวเข้าไปในห้องนอนของตน แล้วปิดประตูลงกลอน
---
แม้ในห้องนอนของเขาก็ไม่มีหน้าต่าง ช่องที่ควรจะเป็นหน้าต่างกลับถูกตอกปิดไว้ด้วยไม้แผ่นหนึ่ง
ภายในห้องมีเพียงเตียงหลังหนึ่ง มีหีบเสื้อผ้าวางอยู่ที่ปลายเตียง หีบหนังสือวางอยู่ที่มุมห้องริมประตู ตรงมุมห้องข้างหัวเตียงมีเก้าอีกนวมอีกตัวหนึ่ง กับโต๊ะเล็กๆ สำหรับวางของ บนโต๊ะนั้นมีหนังสือที่เขาอ่านค้างไว้อยู่
เฮมิสวางตะเกียงลงบนโต๊ะ เขาทิ้งกายนั่งลงบนเก้าอี้นวม ทอดสายตามองไปยังแผ่นไม้สองแผ่นที่เขาตอกปิดหน้าต่างไว้ ครู่ต่อมาจึงละสายตาจากแผ่นไม้ หันไปหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน
ตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะคิกคักพลันดังขึ้น
“กิจการไปได้ดีนี่” เสียงนั้นกล่าว แต่กลับไม่เห็นตัว
“มีคนเห็นผี ก็เลยขายเครื่องรางได้เยอะ” เฮมิสตอบกลับไปเรียบๆ ในมือยังถือหนังสือ ดวงตาก็จับจ้องอยู่ที่หนังสือ
“แต่เจ้าก็รู้ว่านั่นเป็นการกระทำของมนุษย์ เครื่องรางของเจ้าช่วยอะไรไม่ได้” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีก สุ้มเสียงแหลมบาดหู สำเนียงก็คล้ายกับรัวลิ้นอยู่ตลอดเวลา
“ช่วยได้สิ ช่วยให้พวกเขาสบายใจขึ้นอย่างไรเล่า” ชายผมเงินตอบ สายตายังไม่ละไปจากหนังสือในมือ
“ช่วยให้สบายใจ แต่ไม่ได้ช่วยให้ปลอดภัยเสียหน่อย” เสียงนั้นกล่าวกลั้วหัวเราะ พร้อมกันนั้นเจ้าของเสียงก็ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น จากเงาเลือนรางกลายเป็นรูปร่างชัดเจนขึ้นทีละน้อย ทว่าลักษณะยิ่งปรากฏชัดกลับยิ่งไม่น่ามอง
มันเป็นตัวประหลาดที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นผีหรือคน ตัวของมันเล็กเพียงครึ่งหนึ่งของคนปกติ ผิวหนังเป็นสีเทาเหี่ยวย่นราวกับศพแห้งกรัง ดวงตาของมันโตใหญ่ลึกโหล นัยน์ตาเป็นสีเหลืองและมีม่านตาเป็นขีดตามแนวตั้งอย่างตาแมว ใบหูของมันก็แหว่งวิ่นราวกับใบไม้ที่ถูกหนอนกัดกิน
ทว่าถึงรูปร่างจะน่าเกลียดราวกับศพ แต่เสื้อผ้าของมันกลับประณีตและมีสีสดใส มันสวมเสื้อคลุมสีแดงปักลายทองทับเสื้อตัวในสีชมพู กับกางเกงสีเลือดหมูเข้าชุดกับเสื้อคลุม มันสวมรองเท้าหนังหุ้มแข้งสีน้ำตาล และยังสวมหมวกทรงสูงสีแดงบนศีรษะที่ไม่ทราบว่ามีผมกี่เส้น
เฮมิสปิดหนังสือ เงยหน้าขึ้นมองปิศาจกึ่งศพที่นั่งไขว่ห้างกลางอากาศเหนือเตียงนอนของตน “หากคนที่ปลุกศพนั้นขึ้นมาต้องการทำร้ายใครแล้วละก็ เวลานี้คงต้องได้ข่าวคนตายหรือบาดเจ็บบ้างละ”
“แล้วเจ้าไม่คิดจะทำอะไรบ้างรึ” มันถามพร้อมกับฉีกยิ้มเห็นฟันสีเหลืองที่ร่อยหรอ ใบหน้าของมันก็ยิ่งยับย่นจนยู่ยี่
“ข้าจะทำอะไรได้เล่า รูห์” ชายผมเงินย้อนถามกลับไป
“โอ มากมายเลยทีเดียว” สิ่งที่เรียกว่ารูห์ตอบ “เจ้าสามารถส่งผีตัวนั้นกลับหลุมได้ด้วยการขยับมือเพียงข้างเดียวเท่านั้น”
ทว่าเฮมิสกลับสั่นศีรษะ “ข้าไม่อยากยุ่ง แค่ต้องการอยู่อย่างสงบ” เขาบอกพร้อมกับเปิดหนังสือ ยกขึ้นในระดับสายตา
รูห์หัวเราะคิกคักขึ้นอีก เสียงหัวเราะของมันยิ่งฟังยิ่งแหลมสูงน่าเกลียด “เจ้าจะอยู่อย่างสงบได้หรือ” มันถามสำเนียงรัว “ในเมื่อเจ้ายังต้องหนีอยู่อย่างนี้ เจ้าจะอยู่อย่างสงบได้จริงหรือ”
หางคิ้วสีเงินขยับ เขาเหลือบมองไปทางปิศาจกึ่งศพด้วยหางตา แต่ไม่ได้ตอบอะไร
เขาไม่มีอะไรต้องตอบ รูห์เป็นแค่ ‘เอด้า’ ตนหนึ่ง เป็นเพียงปิศาจผู้นำทางวิญญาณคนตายไปยังปรโลก จะรู้เรื่องความเป็นอยู่ของมนุษย์ได้อย่างไร
ดีที่เอด้าไม่ได้พูดมากเหมือนมันทุกตน ไม่เช่นนั้นคงชวนคนตายคุยจนหาทางไปปรโลกไม่ถูก
“เอด้าอย่างเจ้าไม่มีงานทำหรือ” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด
“ข้าเพิ่งทำงานเสร็จ” มันบอก “ข้าเพิ่งพาวิญญาณดื้อด้านดวงหนึ่งไปส่งที่ประตูปรโลก” ว่าแล้วมันก็สลับขาอีกข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง “นางผัดผ่อนมาหลายเดือนแล้ว บอกว่าเป็นห่วงญาติ ข้าสงสัยเสียเหลือเกินว่าเหตุใดมนุษย์จึงต้องห่วงนั่นห่วงนี่มากมายนัก ตายแล้วไฉนจึงไม่อยู่ส่วนตาย”
เฮมิสไม่ได้ตอบคำถามนั้น พยายามไม่สนใจมัน
“เจ้าไม่มีใครให้ห่วงบ้างหรือ” มันถามพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ไม่มี” เขาตอบสั้นๆ
“จริงสิ ข้าลืมไป เจ้าไม่มีญาติพี่น้อง อยู่ตัวคนเดียวมาเนิ่นนานแล้ว” มันว่าพลางหัวเราะจนฟังคล้ายกับเย้ยหยัน แต่เฮมิสรู้ว่ามันเป็นเช่นนี้เอง เอด้าเป็นปิศาจที่อยู่ระหว่างโลกคนเป็นกับโลกคนตาย แต่มันไม่เข้าใจทั้งคนเป็นและคนตาย ไม่รู้ว่ามนุษย์มีความผูกพันซึ่งกันและกันเพียงไหน
เพราะเหตุนี้จึงได้มีนักปลุกชีพ นักเวทที่ช่วยปลุกคนตายให้กลับมาหาคนเป็น ทำให้พวกเขากลับมาสื่อสารกันได้อีกครั้ง ให้คนตายได้สะสางสิ่งที่ยังติดค้างอยู่ในใจก่อนจะติดตามเอด้าไปยังปรโลก ทว่าศาสตร์ปลุกชีพไม่สามารถทำให้ศพมีชีวิต มันเพียงแค่ทำให้ศพเคลื่อนไหวได้เท่านั้น...คนตายอย่างไรก็เป็นคนตาย
ศพก็ยังคงเป็นศพ...
ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ รูห์จึงยื่นนิ้วมาจิ้มสันหนังสือซึ่งเขากำลังอ่านอยู่ “ศาสตร์แห่งโชคชะตา...คู่มือนักทำนาย” มันอ่านอักษรบนปกหนังสือแล้วจึงกล่าวขึ้นอีก “ข้าว่าข้าเคยเห็นเจ้าอ่านเล่มนี้แล้วนา รอบที่ยี่สิบแล้วกระมัง”
“เจ็ดสิบ” เขาแก้ สายตายังจับอยู่ที่หนังสือ
“นั่นสิ แล้วยังหนังสือเกี่ยวกับเวทมนต์แขนงต่างๆ พวกนั้นอีก เจ้าอ่านซ้ำไปซ้ำมา ไม่เบื่อบ้างรึ”
“ไม่เบื่อ สิ่งใดที่เจ้ายังไม่อาจเรียนรู้อย่างถ่องแท้ ก็มักจำทำให้เจ้าตื่นเต้นเป็นธรรมดา” เขากล่าวเป็นปรัชญา
“เหมือนครั้งแรกที่เจ้าฝึกเวทมนต์น่ะหรือ” มันว่าพร้อมกับหัวเราะคิกคัก ในขณะที่เฮมิสเงียบลงไปอีก
ครั้งแรกที่เฮมิสฝึกเวทมนต์ เขาเองก็ตื่นเต้น อยากรู้ใคร่ลอง เห็นแต่ด้านดีของเวทมนต์ที่ช่วยให้เขาสามารถทำอะไรได้หลายอย่างที่คนอื่นทำไม่ได้ แต่เขากลับมองข้ามด้านชั่วร้ายของมันไป
ดีที่อาจารย์ซึ่งสอนพื้นฐานเวทมนต์และศาสตร์ปลุกชีพแก่เขานั้นเป็นผู้รู้อย่างแท้จริง สอนให้เขารู้จักทั้งด้านดีและด้านร้ายของเวทมนต์ ถึงจะกำจัดด้านร้ายไปไม่ได้ แต่เขาก็พอควบคุมมันได้
ผิดกับตัวเขาที่ละเลย ไม่ได้พูดถึงด้านร้ายของมันยามสอนเวทมนต์แก่ผู้อื่น...
ครั้นเห็นเฮมิสไม่ตอบ รูห์จึงเอ่ยขึ้นลอยๆ “น่าแปลกที่ในเมืองใหญ่เช่นนี้ยังมีนักปลุกชีพด้วย”
“แปลกอย่างไร” เฮมิสถามโดยที่สายตายังไม่ละไปจากหนังสือ “ศาสตร์ปลุกชีพก็เป็นเวทมนต์แขนงหนึ่ง คนฝึกเวทมนต์มีมากมายนับไม่ถ้วน หากมีจำนวนหนึ่งฝึกศาสตร์ปลุกชีพก็ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกอะไร”
“เวทมนต์ไม่ใช่ของแปลก” รูห์เอ่ย “ศาสตร์ปลุกชีพก็ไม่แปลก แต่เจ้าก็รู้ว่าผู้คนส่วนใหญ่เห็นศาสตร์ปลุกชีพเป็นสิ่งลี้ลับน่ากลัว ชื่อเสียงของนักปลุกชีพก็ออกจะไม่ดี คนที่ฝึกจึงมีน้อยและไม่ค่อยเปิดเผยตัว เจ้าอยู่มาหลายเมืองแล้ว พบเห็นนักปลุกชีพสักกี่คนกันเล่า”
ไม่ถึงสิบคนในเกือบห้าสิบเมืองที่เขาเคยอยู่มา… เขาคิด แต่ไม่ได้เอ่ยออกไป
“เจ้าคิดว่าคนที่ทำต้องการอะไร” รูห์ถามขึ้นอีก “หรือเขาจะถูกครอบงำเหมือน…”
“ดึกแล้ว เจ้าไม่มีงานทำหรือ!” เฮมิสตัดบท พร้อมกับลดหนังสือลง สายตาจ้องเขม็งไปที่ปิศาจกึ่งศพ แต่รูห์กลับหัวเราะ เสียงหัวเราะยิ่งแหลมสูงขึ้นอีก
“ห้องนี้ไม่มีหน้าต่าง เจ้ามองไม่เห็นเดือนดาวแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าดึกแล้ว”
คราวนี้เฮมิสไม่ตอบ นัยน์ตาสีเงินจ้องนิ่งอยู่ที่เอด้าตนนั้น สายตาพลันกร้าวขึ้นจนรูห์ต้องเสไปล้วงกระจกพับบานเล็กๆ จากกระเป๋าที่อกเสื้อ
“ก็ได้ๆ ข้าไปก็ได้” มันบอก พลางส่องดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก “ยังมีวิญญาณรอให้ข้านำทางอีกสองสามดวงเช่นกัน ข้าไปละ” ว่าแล้วร่างเอด้านั้นก็หายวับไป
ครั้นรูห์ไปแล้ว สายตาของเฮมิสก็เปลี่ยนเป็นอ่อนลง เขาทอดมองรอบห้องซึ่งกลับคืนสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง จากนั้นจึงยกหนังสือในมือขึ้นอ่านต่อไป
###
พบกันวันอังคารค่ะ ^^