ชะตารักเหนือกาล : A Timeless Love. #13#

บริเวณปากทางเข้าเขาวงกตแห่งลาบิรินธ์..กองทหารจัดเตรียมพื้นที่ในการรับสมัครทหารใหม่ตามใบประกาศที่นำไปติดทั่วเมือง..เมื่อถึงเวลา บรรดาชายหนุ่ม ส่วนใหญ่มาจากหมู่บ้านตามชนบท ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ซึ่งไม่ค่อยมั่นคงนัก บางคนก็มาจากครอบครัวเกษตรกรรม แต่ผลผลิตสองปีนี้ไม่ค่อยดี จึงมองหาอาชีพอื่นเพื่อเลี้ยงครอบครัว บ้างก็เป็นพวกเร่ร่อนที่คิดหวังเพียงอาหารและที่นอนเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใด ชายหนุ่มเหล่านี้ต่างก็ทยอยกันรวมตัวเป็นกลุ่ม เพื่อเตรียมคัดเลือกพื้นฐานกับ ประเมินสุขภาพร่างกายของผู้เข้าสมัคร ซึ่งบางคนนั้นรูปร่างผอมแห้ง ยามจับดาบหวดลมอยู่สองสามครั้งก็หอบตัวโยน เป็นที่ขบขันของผู้สอบคัดเลือกคนอื่นๆ

กีถึงกับส่ายหน้า เมื่อรู้สึกว่าปีนี้เด็กหนุ่มที่พร้อมจะเป็นทหารนั้นมีจำนวนไม่ถึงครึ่งของผู้สมัครทั้งหมด
“คัดได้มาเท่าไหร่”

“206 คนขอรับ..นอกนั้นถ้าไม่อ่อนแอ ก็ยังเยาว์เกินกว่าจะจับอาวุธฆ่าคน”

“อืม” เมื่อได้เพียงเท่านี้ ก็รับเพียงเท่านี้ ไว้อีกห้าปี ค่อยว่ากันใหม่ “งั้นเจ้าจัดการต่อได้เลย”

“ขอรับ”

นายกองทหารผู้ติดตาม ก้าวขึ้นบนแท่น ประกาศน้ำเสียงอันดังกึกก้อง
“ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว ให้กลับไปเตรียมตัวให้พร้อมรวมทั้งคนภายในครอบครัว ในอีกห้าวันข้างหน้าของยามนี้ ข้าจะพาพวกเจ้าผ่านเขาวงกตเพื่อฝึกปรือการเป็นทหาร และภายในหนึ่งปี ห้ามมิให้ผู้ใดออกนอกอาณาเขตลาบิรินธ์ หากใครฝ่าฝืน มันผู้นั้นจะถูกบั่นคอ โทษฐานเป็นกบฏ..ขอให้พวกเจ้ากลับไปตรึกตรองให้ดี เพราะหากก้าวขาเข้าลาบิรินธ์แล้ว พวกเจ้าจะเป็นคนของลาบิรินธ์ โดยที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากใครทำผิด ก็จะต้องรับโทษตามกฎ..และนี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย หากใครยังยึดมั่นในเจตนารมณ์เดิม ก็จงกลับมาด้วยหัวใจที่แท้จริงของพวกเจ้า..ได้ยินไหม !”

เสียงตวาดอย่างห้าวหาญในประโยคท้าย ปลุกจิตใจอันฮึกเหิมของเหล่าชายหนุ่มตะโกนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง ก่อนแยกย้ายกันกลับไปเตรียมตัว
ผู้สมัครแยกกันเดินทางกลับบ้านเป็นกลุ่มใหญ่ และเริ่มแตกเป็นกลุ่มปลีกย่อยตามรายทาง เมื่อต่างคนต่างมุ่งกลับที่พักของตน  ต่างจากชายหนุ่มสองคนที่กำลังเร่งรีบตรงไปยังจุดนัดพบผู้เป็นนาย ซึ่งกำลังรอข่าวความคืบหน้าจากพวกเขาในกระท่อมเล็กๆหลังหนึ่ง

คนหนึ่งรูปร่างล่ำสัน นามว่า แพนดารัส นิสัยเคร่งขรึม  ต่างจากอีกคนที่มีรูปร่างบอบบางกว่าเล็กน้อยนามว่า ไซนอน ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาฉายแววซุกซนตามประสาอายุที่เพิ่งพ้นวัยเด็กมาไม่นาน ซึ่งเขาถูกขายมาเป็นทาสตั้งแต่อายุเจ็ดขวบในคฤหาสน์ของผู้เป็นนาย ก็เห็นแพนดารัส เป็นทาสรับใช้อยู่ก่อนแล้วหลายปี..และเพราะความเป็นทาส ที่มีหน้าที่รับใช้ทั่วไปภายในคฤหาสน์ ไซนอนจึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดเจ้านายถึงสั่งให้เขามาสมัครเป็นทหาร เพื่อสืบความเคลื่อนไหวภายในปราสาทลาบิรินธ์

และเขาไม่ชอบเก็บความสงสัยนี้ไว้กับตัว จึงหันไปถามเพื่อน 
“แพนดารัส เจ้าว่า..เหตุใดนายท่านถึงสั่งให้เราทำการนี้ เหตุใดถึงไม่ใช้ทหาร ผู้เหมาะสมกว่าทาสเยี่ยงพวกเรา”

“ข้าไม่รู้..ความคิดของนายท่าน ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้..และเมื่อเป็นคำสั่ง เจ้าไม่สมควรกังขา”
แพดารัสกล่าวเสียงเข้ม เชิงตำหนิในตอนท้าย ทำให้ผู้อ่อนเยาว์เงียบไปอึดใจ ก่อนจะตั้งคำถามขึ้นใหม่

“แล้วที่เขาลือกันว่า..เจ้าผู้ปกครองปราสาทลาบิรินธ์ เป็นปิศาจกระหายเลือด..เจ้าไม่กลัวบ้างหรือไร”

ผู้ที่ตัวโตกว่าหยุดเดินและหันมาตอบอย่างเหนื่อยหน่าย 
“ในเมื่อคนอื่นอยู่ที่นั่นได้ พวกเราก็ต้องอยู่ได้เช่นกัน..แล้วเจ้าก็เลิกตั้งคำถามกวนใจข้าเสียที..หากการเดินทางล่าช้า อาจทำให้พวกเราถูกลงทัณฑ์..และหากเป็นเช่นนั้น ข้าจะหักแขนเจ้า”
แพนดารัสคาดโทษ ใบหน้าบึ้งตึง ก่อนหันก้าวยาวๆไปอีกครั้ง ไซนอนทำหน้าม่อย แล้วรีบก้าวตามแบบกึ่งเดินกึ่งวิ่ง

เมื่อเข้าหมู่บ้านเล็กๆในชนบท ทั้งสองกวาดสายตามองไปรอบๆอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดตามมา ก่อนรีบมุ่งไปยังบ้านหลังเล็กสภาพโกโรโกโส ราวไร้ผู้อาศัยภายในตรอกเล็กๆ 

คาสเตอร์ นักบวชหนุ่ม ศิษย์เอกของ เฮซิโอดอส กำลังนั่งรออย่างใจเย็น เบื้องหลังมีร่างสูงของทหารเวทย์ ยืนสงบนิ่งในมุมห้องภายใต้ชุดคลุมหนาสีทึม 
ใบหน้าเรียวค่อนข้างขาวเกลี้ยงเกลาหันมอง เมื่อบานประตูไม้เปิดกว้าง ก่อนร่างของทาสทั้งสองจะรีบก้าวเข้ามาและปิดประตูตามหลัง เพื่อรายงานความคืบหน้า ซึ่งเขาพอใจกับแผนการขั้นแรกที่คนของเขาสามารถผ่านการคัดเลือกได้โดยง่าย..แต่รู้สึกขัดใจ กับกฎข้อห้ามออกนอกปราสาท ในระยะเวลา 1 ปี..ซึ่งกฏนี้มันยังไม่เปลี่ยนแปลงเสียที

“หมายความว่า ข้าต้องรออีก 1 ปี ถึงจะได้ข่าวจากพวกเจ้าเรอะ”

“หากข้าเข้าไปแล้ว จะรีบหาทางแอบออกมาส่งข่าวให้นายท่าน โดยเร็วที่สุดได้นะขอรับ” ไซนอนยังมีความเป็นเด็กไม่ประสา เสนอความคิดของตนอย่างไม่ทันระวัง พลัน แสบร้อนบริเวณใบหน้า ยามเมื่อผู้เป็นนายสะบัดชายผ้าคลุมพร้อมพลังเวทย์ซัดใส่ จนใบหน้าเขาหันตามแรง พร้อมเสียงเกรี้ยวกราด

“เจ้าโง่ ! หากมันง่ายเช่นนั้น ข้าคงส่งคนอื่นเข้าไปนานแล้ว ไม่ต้องอาศัยหนูสกปรกเช่นเจ้าหรอก”

“อภัยให้กับความโง่เขลาของข้าด้วยเถอะขอรับ นายท่าน” 
ไซนอนน้อมตัวลงอย่างขอลุแก่โทษ ก้มหน้านิ่ง หลุบตามองพื้น ข่มกลั้นอารมณ์ขุ่นเคือง

“จงสงบปากของเจ้าไว้ แล้วปฏิบัติตามคำสั่งให้ดี..เพราะหากทำพลาด คอของเจ้าก็จะไม่ได้อยู่บนบ่าอีกต่อไป”
คาสเตอร์กล่าวเสียงเหี้ยม แล้วล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบขวดยาใบเล็กออกมาเปิดเท ยาลูกกลอนสีดำไหลลงมาสองเม็ด และยื่นให้ทั้งสองรับไปคนละ 1 เม็ด
“พวกเจ้าจงกลืนมันลงไปเดี๋ยวนี้”

ไซนอนมองเม็ดยาในมือด้วยความคลางแคลง แต่เมื่อเหลือบเห็นแพนดารัสกลืนยาลงคอไปแล้ว เขาจึงจำต้องทำตาม
เมื่อเห็นว่าทาสทั้งสองกลืนยาลงไปแล้ว นักบวชหนุ่มจึงเอ่ยออกมาอีกครั้ง

“ยาที่เจ้ากลืนลงไป คือไข่ของแมลงปิศาจที่ท่านเฮซิโอดอสเลี้ยงไว้..และท่านใช้เวทย์กำกับให้มันฟักตัวในอีก 1 ปีข้างหน้า..ดังนั้น พวกเจ้าต้องหาทางกลับมา พร้อมข่าวที่ข้าต้องการ แล้วเมื่อนั้น ข้าจะถอนไข่แมลงปิศาจออกจากตัวให้ แต่หากพวกเจ้าคิดทรยศไม่กลับมาหาข้า..ตัวอ่อนของแมลงปิศาจ มันจะกัดกินจากภายใน ให้พวกเจ้าทรมานจนลมหายใจสุดท้าย..ข้าคงไม่ต้องบอกนะว่ามันจะเจ็บปวดทรมานมากเพียงใด”

ไซนอนเผลอกลืนน้ำลาย ใบหน้าเผือดซีด..อึดใจแรกที่ได้รับมอบหมายภารกิจ เขามีความคิดว่า หากการเป็นทหารของกองกำลังลาบิรินธ์ จะเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น เขาจะไม่หวนกลับมาอีก..ไม่คิดเลย ว่านักบวชเฒ่าจะเจ้าเล่ห์และอำมหิตถึงเพียงนี้

ไม่ใช่ว่าเขาจะรังเกียจการเป็นทาสรับใช้..เพียงแต่เขารังเกียจที่ต้องทนข่มกลั้นความขยะแขยงในตัว เฮซิโอดอส ยามที่ถูกเรียกเข้าไปปรนเปรอในยามค่ำคืน จนทนไม่ไหว ถึงขั้นหลบเลี่ยง แต่สิ่งที่ได้รับคือการถูกทารุณเจียนตาย
ในเมื่อ..เหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เขาคงไม่สามารถหนีจากนักบวชเฒ่าไปได้ ต่อให้อ้อนวอนจนหัวใจสลาย ก็คงไม่มีเทพเจ้าองค์ใด รับฟังคำอ้อนวอนจากทาสชั้นต่ำเช่นเขา
 

เมื่อคาสเตอร์กลับถึงที่พัก ก็ตรงเข้ารายงานต่อผู้เป็นอาจารย์ พลางถามคำถามที่คาใจ
“เหตุใดท่านอาจารย์ถึงส่งทาสไร้ประสบการณ์ไปทำงานสำคัญ แทนที่จะส่งทหารฝีมือดีเข้าไปแทน”

“เพราะว่าการฝึกทหารนั้น เริ่มต้นจากชาวบ้านที่อ่อนแอ ไร้ฝีมือ..หากส่งทหารฝีมือดีเข้าไป ไม่นานก็ถูกเจ้ากี หรือเจ้าปิศาจนั่นจับพิรุธได้..การส่งทาสสองคนนั่นเป็นทางเลือกดีที่สุด ยังไงเสีย เจ้าสองคนนั่นไม่มีทางคายความลับนี้เด็ดขาด เพราะตามกฎหมาย หากทาสคนใดทรยศต่อผู้เป็นนาย ถือว่าปลิ้นปล้อนหลอกลวง มันผู้นั้นจะถูกลงโทษอย่างหนัก อาจจะถึงขั้นเสียชีวิต..และที่สำคัญ ตอนนี้พวกมันก็รู้แล้วว่า ในตัวมีไข่ของแมลงปิศาจฝังอยู่ พวกมันไม่กล้าทรยศข้าเป็นแน่”

คาสเตอร์พยักหน้าน้อยๆ เข้าใจถึงเหตุผลของอาจารย์
“แต่ถึงกระนั้น..ศิษย์ก็ยังไม่คลายกังวลกับความอ่อนด้อยของทาสสองคนนั่น”

“เจ้าไม่ต้องรีบกังวลไปหรอก..แผนการครั้งนี้จำต้องใช้ระยะเวลา เจ้าทาสสองคนนั่นมีเวลาปรับตัวเหลือเฟือ และมันต้องพยายามหาวิธีเอาชีวิตรอดอยู่แล้ว..หากแต่ครานี้ ข้ากำลังคิดหาวิธีการโน้มน้าวใจของเหล่าสภาสูง ให้เห็นชอบกับการโค่นล้มกษัตริย์แอนโดรจีอัส เพราะแม้บางคนจะถือข้างเจ้าชาย       เอเดรียน แต่ก็เป็นเสียงส่วนน้อย และไม่มีความสำคัญพอจะทำให้คนอื่นคล้อยตาม”

“พวกหัวเก่ายังคงยึดมั่นในกฎบัญญัติ คงยากจะเปลี่ยนแปลง” คาสเตอร์เสริมในอีกปัญหา

“แต่จิตใจคน ใช่ว่าจะมั่นคงดั่งหินผา..ถูกคำลวงเป่าหู เฉกเช่นสายลมพัดผ่านกาย สุดท้ายก็ต้องเอนไหวสั่นคลอน” เฮซิโอดอสเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ท่านอาจารย์พูดเช่นนี้ เหมือนว่าจะมีวิธีแล้วใช่หรือไม่”

“วิธีน่ะมี เพียงแต่จะได้ผลหรือไม่ คงต้องรอดูกันในวันประชุมสภาสูงที่จะถึงนี้”

“ประชุมสภาสูง !?” คาสเตอร์ครุ่นคิด คาดเดาถึงตัวแปรสำคัญที่อาจารย์จะใช้เป็นหมากในการพลิกสถานการณ์ครั้งนี้ และเมื่อเห็นถึงความเป็นไปได้ เขาก็เอ่ยออกมาคล้ายไม่มั่นใจสักเท่าใด

“ในการประชุมครั้งนี้..ย่อมมีอันทาเออัสร่วมด้วย ในฐานะที่ปรึกษาสูงสุดของสภา..”

เฮซิโอดอสยิ้มพึงใจในไหวพริบของศิษย์เอก
“แล้วเจ้าคิดว่า ข้าจะใช้ประโยชน์จากอันทาเออัส ได้ในสถานะใด”

คาสเตอร์ใช้สมองอันปราดเปรื่อง บวกกับความคุ้นเคยจากการอยู่ร่วมกับเฮซิโอดอสมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย จึงพอจะคาดเดาวิธีการได้พอสมควร
“เมื่อครู่ ท่านอาจารย์กล่าวถึงความอ่อนแอของจิตใจคน..เช่นนั้นแล้ว ท่านคงอาศัยความหวาดกลัวของคนเหล่านั้นที่มีต่ออันทาเออัส มาเป็นความหวาดระแวง เสมือนอาวุธร้ายคอยทิ่มแทงกษัตริย์แอนโดรจีอัส..ใช่หรือไม่”

นักบวชเฒ่าได้ฟัง แล้วก็ยิ่งพอใจ “สมกับเป็นศิษย์เอกของข้า” 

คาสเตอร์เองก็ภูมิใจกับคำชม “ท่านอาจารย์จะให้ข้าทำสิ่งใดต่อไปหรือไม่”

“ก่อนถึงวันประชุม..เจ้าก็แค่โหมไฟแห่งความน่ากลัวของเจ้าปิศาจนั่น ให้กระพือทั่วสภาสูงเท่านั้นก็พอ ที่เหลือก็ปล่อยให้ความขลาดเขลาของจิตใจทำหน้าที่ของมันไป..รอจนกว่าจะถึงเวลาเหมาะสม เพื่อแผนการสำคัญเท่านั้น”

“ได้ขอรับ ท่านอาจารย์”

“เรื่องนี้เจ้าจงทำอย่างเงียบเชียบที่สุด..แล้วระวังจอมเวทย์ยูฟอเรียนให้ดี” 

คาสเตอร์นึกถึงจอมเวทย์ผู้เคร่งขรึมของกษัตริย์แอนโดรจีอัสเพียงอึดใจ ก็รับคำ
“ข้าจะระวังให้มากที่สุด ขอรับ”

“ถ้าเช่นนั้น ก็จงไปปฏิบัติตามวิธีของเจ้าเถอะ”

“ขอรับ”

สมาชิกของเหล่าสภาสูงนั้นมากด้วยประสบการณ์ และก็มากด้วยอายุเช่นกัน..ดังนั้น ความน่าสะพรึงกลัวของกระทิงปิศาจในค่ำคืนที่บุกอาละวาดพังทลายบ้านเรือนอย่างคลุ้มคลั่ง เมื่อหลายสิบปีก่อนยังติดอยู่ในห้วงความทรงจำของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ รวมถึงการเล่าขาน แม้จะเลือนรางลงไปตามกาลเวลา..แต่หากถูกกระตุ้นรื้อฟื้นขึ้นมา ความหวาดกลัวนั้นก็จะแจ่มชัดในจิตสำนึกอีกครา

ในค่ำคืนอันมืดมิด..คาสเตอร์แฝงกายร่ายมนต์ดำ แทรกซึมผ่านห้วงนิทราจนกลายเป็นฝันร้ายให้เหล่าสมาชิกของสภาผวาตื่นด้วยใจระทึก..แต่หากสมาชิกคนใดมีจอมเวทย์คอยคุ้มกาย เขาก็มักหาโอกาสพบปะพูดคุย และใช้คารมพลิกพลิ้วแทรกในบทสนทนา ให้อีกฝ่ายได้ฉุกคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
 

เมื่อครบกำหนดนัดหมาย เหล่าผู้สมัครต่างพาครอบครัวและสัมภาระติดตัวซึ่งมีไม่มากนักพอจะแบกสะพายกันได้ หลายคนอยู่อย่างสันโดษไม่มีภาระ จึงเดินทางได้คล่องตัว ต่างกับบางคนที่มีภรรยาและลูกเล็ก จึงพากันร้องระงมด้วยความหวาดกลัว และมีจำนวนไม่กี่คนเท่านั้นที่หอบหิ้วบิดามารดาผู้แก่ชรา ซึ่งกีเห็นว่าหากมีผู้เฒ่าเหล่านี้ร่วมเดินไปด้วย คงได้สะดุดล้มสิ้นใจก่อนพ้นเขาวงกตเป็นแน่ จึงให้ทหารพาบรรดาผู้เฒ่าขึ้นหลังม้า รวมทั้งผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์และเด็กเล็ก โดยใช้ผ้าผูกปิดตาพวกเขาไว้ ส่วนที่เหลือใช้เชือกมัดผูกต่อกัน ป้องกันการหลงทาง 

กีชักม้าศึกตัวเขื่องเดินนำขบวนเข้าเขาวงกตอย่างเชื่องช้า ซึ่งวันนี้ บรรยากาศยังคงอึมครึม หนาวเย็น แต่ไม่มีเสียงกรีดร้องของเหล่าวิญญาณ ตามคำสั่งของอันทาเออัส..แต่เพียงเท่านี้ ก็สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับผู้ที่ร่วมขบวนมากพอแล้ว โดยเฉพาะเด็กและผู้หญิงบางคนถึงกับก้าวขาไม่ออก ทำให้คนอื่นจำต้องหยุดชะงักไปด้วย และพากันช่วยฉุดลากกันอย่างทุลักทุเล กว่าจะผ่านออกมาได้

“พวกเจ้ามีเวลาพักหนึ่งวัน แล้วจะเริ่มฝึกในยามย่ำรุ่ง”

เสียงนายกองประกาศคำสั่ง จากนั้นผู้สมัครถูกพาไปยังบ้านพักที่ได
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่