Back from the Dead บทที่ ๗

กระทู้สนทนา
เบเร็ธไปทำอะไรที่สุสานกันแน่นะ
ป.ล. มีคำผิดเยอะแยะมากมาย ไว้ค่อยไปแก้ในเล่มแล้วกันนุ -.-

ความเดิม
บทนำ - บทที่ ๑: https://pantip.com/topic/39574119
บทที่ ๖: https://pantip.com/topic/39623677

###

บทที่ ๗ 

เด็กหนุ่มยืนอยู่ที่หน้าหลุมศพหลุมหนึ่ง 

ป้ายหน้าหลุมศพทำขึ้นอย่างลวกๆ จากหินที่ไม่ได้ขัด บนป้ายสลักชื่อคนตายพร้อมวันเกิดและวันตายด้วยสิ่วกับค้อนอย่างไร้ความประณีต แต่ที่น่าสลดใจยิ่งกว่าคือ…วันเกิดและวันตายของคนผู้นี้ห่างกันไม่ถึงสิบสี่ปี 

เบเร็ธยืนอยู่ที่หน้าหลุมศพนั้น ศีรษะของเขาก้มต่ำ ในมือข้างหนึ่งถือตะเกียงที่ไม่ได้จุด อีกข้างมีดอกหญ้าสีขาวเล็กๆ ซึ่งเขาเพิ่งเด็ดมาจากข้างทางระหว่างที่เดินมายังสุสานนี้ 

เขายืนนิ่งอยู่นาน ในที่สุดจึงก้มกาย วางดอกไม้ลงที่หน้าหลุมศพนั้น ยามยืดกายยืนขึ้นอีกครั้ง เขาก็ต้องสะดุ้งจนผ้าห่มแทบหลุดจากตัวยามรู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ทางด้านหลัง 

เขาสะบัดหันกลับไปก็พบเห็นชายร่างสูงในชุดยาวสีเทา ผมสีเงินยาวรวบไว้ทางด้านหลังอย่างเรียบร้อย ส่วนนัยน์ตาสีเงินซึ่งจับจ้องอยู่ที่เขานั้นดูเหมือนเฉยชาไร้ความรู้สึก แต่ก็มีแววอ่อนโยนอย่างประหลาด 

ชายผู้นั้นมองเบเร็ธ แล้วจึงเลื่อนสายตาไปยังหลุมศพตรงหน้าเขา 

“เบ็นธี” เขาอ่านชื่อบนป้ายนั้น “นางเป็นใครหรือ” 

เด็กหนุ่มไม่ตอบ เขาสะบัดหันไปทางหนึ่ง มือกุมผ้าห่มไว้ ทำท่าจะเดินจากไป 

“เบเร็ธ” ได้ยินชายผู้นั้นเรียกชื่อตนเขาจึงสะดุ้งขึ้นอีก ฝีเท้าชะงักลงด้วยความประหลาดใจ ได้ยินคนผู้นั้นเอ่ยต่อไป “เจ้าคงอยากให้ใครสักคนปลุกนางขึ้นมากระมัง หรือไม่ก็คงอยากปลุกนางขึ้นมาเสียเอง” คำพูดของเขาทำให้เบเร็ธต้องเหลียวกลับไปมองผู้กล่าว 

“เจ้าพูดอะไร” เด็กหนุ่มเอ่ย ชายผู้นั้นจึงยิ้มออกมานิดหนึ่ง 

“พูดตามที่เห็น”​ เขาบอก “นางตายตั้งแต่อายุยังน้อย เจ้าคงคิดว่านางไม่น่าตายกระมัง” 

“ข้าจะคิดอะไรก็เรื่องของข้า” เบเร็ธว่าแล้วก็เม้มปาก หันหลังก้าวต่อไปอีก 

“เจ้าคงได้ยินว่ามีนักปลุกชีพปลุกศพนักรบในสุสานนี้แล้ว” ชายผู้นั้นยังคงกล่าวต่อไป “เจ้าเคยพบเขาหรือไม่” 

เบเร็ธยั้งฝีเท้าไว้อีก เขานิ่งไปชั่วครู่จึงค่อยกล่าวออกมา “ไม่เคย” เขาตอบสั้นๆ โดยไม่หันมองผู้ถาม จากนั้นก็เร่งฝีเท้าก้าวจากไปเสียก่อนที่คนผู้นั้นจะเอ่ยอะไรออกมาอีก 

--- 
 
เบเร็ธเร่งเดินมาจนถึงบริเวณประตูเมืองด้านทิศตะวันตก 

เขาหยุดเหลียวมองไปทางด้านหลัง ครั้นไม่เห็นใครตามมาเขาจึงผ่อนลมหายใจยาว รู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย 

เขามองหาที่หลบพักพิงในระหว่างรอเวลาเช้าเพื่อกลับเข้าเมือง ครั้นแล้วเขาก็เดินไปยังแนวต้นไม้ในที่ซึ่งห่างออกไปราวสี่สิบก้าว เขาทรุดนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง จุดตะเกียงขึ้นแล้ววางไว้ที่ข้างตัว 

อันที่จริงเขาคิดจะค้างอยู่ที่สุสานในคืนนั้น ทว่ากลับมีคนรบกวนเสียก่อน 

เบเร็ธจำชายผู้นั้นได้ เขาเป็นเจ้าของร้านขายอุปกรณ์เวทมนต์บนถนนท้ายเมือง เบเร็ธยังพบเห็นเขาที่ตลาดกลางเมืองเมื่อวันก่อน ลักษณะของเขาตรงกับนักปลุกชีพในข่าวลือทุกประการ 

แต่เบเร็ธรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่ปลุกศพนักรบขึ้นมา…ไม่ใช่เด็ดขาด 

ยามค่ำคืนอากาศในเมืองซาเรอุสไม่ได้หนาวมาก แต่น้ำค้างแรง เด็กหนุ่มจึงดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะ ชันเข่าเขาทั้งสองขึ้นโอบไว้ แล้ววางคางบนเข่าอีกทีหนึ่ง 
…เบ็นธี 

ยามนึกถึงชื่อนั้นสายลมก็พัดมาวูบหนึ่ง จากนั้นเงาสีดำสายหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นที่ข้างกาย 

“ท่านพี่” เงานั้นเรียกเขาด้วยเสียงอันอ่อนหวาน 

เบเร็ธหันไปทางต้นเสียงและยิ้มออกมาอย่างยินดี แต่แล้วก็กลับหยุด ก้มศีรษะลงพร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “น้องข้า ขอโทษด้วย ข้าอยู่ที่สุสานไม่ได้ มีคนอยู่ที่นั่น” 

“อย่าห่วงเลยท่านพี่ วันพรุ่งนี้เราค่อยไปที่นั่นใหม่ หากเขายังอยู่เราก็ค่อยหาทางขับไล่เขาไปก็ยังได้” เงานั้นกล่าวพร้อมกับเคลื่อนเข้ามาใกล้ ขณะเดียวกันรูปร่างของมันก็ปรากฏชัดเจนขึ้นกลายเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาของนางเหมือนเบ็นธีไม่มีผิดเพี้ยน นางสวมชุดกระโปรงสีขาวแขนกุดแบบเดียวกับที่น้องสาวของเขาชอบใส่ อาจต่างกันก็เพียงลายปักดอกไม้รอบคอเสื้อของเบ็นธีเป็นสีชมพู ทว่าเสื้อของนางไร้สีสัน 

ผมของนางยาวหยักศกสยายอยู่ด้านด้านหลังเหมือนเบ็นธี แต่ผิวของนางซีดเป็นสีเทาจนแทบจะโปร่งแสง ดวงตาก็เป็นสีดำล้วน ไม่มีส่วนที่เป็นสีขาวเลย 

เบเร็ธหันไปยิ้มให้เงานั้นอีกครั้ง นางก็ยิ้มตอบพลางวางมือลงบนไหล่ของเขา เบเร็ธไม่อาจรู้สึกถึงมือนั้นได้ด้วยกาย แต่เขาสัมผัสได้ด้วยใจ 

ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้ยังคงเป็นเหมือนคืนนั้น…คืนที่นางตาย! 

เบ็นธีตายไปแล้ว…น้องสาวของเขาตายไปเกือบครึ่งปีด้วยโรคร้าย 

ก่อนหน้านั้นนางป่วยอยู่หลายปี เป็นโรคชนิดเดียวกันกับที่พรากแม่ของเขาไปเมื่อตอนเขาอายุเพียงสิบปี หมอบอกว่าเพราะนางมีเลือดแบบเดียวกับแม่นางจึงป่วย เป็นโรคที่ทำให้นางเหนื่อยง่าย อิดโรย ร่างกายซูบซีดลงทุกวัน จนกระทั่งปีสุดท้าย นางก็ไม่มีแรงแม้แต่จะยืน 

ทว่าเบ็นธีก็อดทน นางยิ้มแย้มเสมอแม้จะไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ โชคดีที่ปีนั้นมีนักเวทผู้หนึ่งผ่านมาในเมืองนี้ นักเวทสอนพื้นฐานเวทมนต์แก่เขา ทำให้เขาสามารถยกเคลื่อนสิ่งของต่างๆ ได้ด้วยเวทมนต์ ทว่านักเวทนั้นอยู่ในเมืองเพียงไม่นานก็จากไป เขาจึงไม่มีโอกาสได้ฝึกศาสตร์อื่นนอกจากการเคลื่อนย้ายสิ่งของ 

แต่นั่นก็ช่วยเขาทำให้เบ็นธีลุกขึ้นเดินได้ เขาใช้เวทมนต์ประคองนาง ทำให้นางขยับแขนขา ทำในสิ่งต่างๆ ที่นางอยากทำ ให้มีความสุขก่อนจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต 

ทว่าวาระสุดท้ายนั้นก็มาถึงอย่างรวดเร็วเหลือเกิน 

คืนนั้นอาการของนางทรุดลงมาก นางนอนอยู่บนเตียงเก่าภายในบ้านไม้ทรุดโทรมที่พวกเขาอยู่กับแม่มาตั้งแต่เล็ก สีหน้าของนางซีดขาวเสียยิ่งกว่าชุดกระโปรงสีขาวที่นางสวมอยู่ กระนั้นใบหน้านางก็ยังมีรอยยิ้ม นางยิ้มทุกครั้งที่เห็นเขา และมักบอกเสมอว่าไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร… 

แม้คืนนั้นนางก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่เขารู้ว่านางเจ็บปวด เจ็บปวดเหมือนวันที่แม่ตาย เขาจำได้ว่าตนเองร้องไห้ กุมมือซีดขาวของนางไว้แนบแก้ม 

“ท่านพี่ อย่าร้องเลย ข้าไม่เป็นไร” นางบอกพลางขยับนิ้ว พยายามจะปาดเช็ดน้ำตาให้เขาทั้งที่นางเองก็ไม่มีแรง 

“ข้ามีเวทมนต์ ข้าจะรักษาเจ้า เจ้าจะต้องหาย” เขาบอกนางแบบนั้น ทว่านางกลับยิ้มให้เขา สีหน้าอ่อนเพลียจนเห็นได้ชัด 

“อย่าเปลืองพลังเพราะข้าอีกเลย ท่านทำเพื่อข้ามามากแล้ว” นางว่า เปลือกตาค่อยๆ ปรือลงเรื่อยๆ แต่ยังคงมีรอยยิ้มแต้มที่มุมปาก 

“ข้าเป็นพี่เจ้า หากไม่ทำเพื่อเจ้าแล้วจะทำเพื่อใคร” เขาบอกพลางยิ้มตอบนาง 

“ท่านพี่ หากข้าตายแล้ว ท่านต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ” นางเอ่ยอย่างอ่อนล้า และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินจากปากนาง ก่อนที่เปลือกตาของนางจะปิดลง หลับไปอย่างสงบ 

เขาร้องไห้…ร้องอยู่ข้างเตียงนั้นเพียงคนเดียวจนกระทั่งที่มิลกับคีแซ็คมาเยี่ยมในตอนรุ่งสาง เพื่อนทั้งสองช่วยเขา คีแซ็คช่วยเคลื่อนย้ายศพออกไปที่สุสานนอกเมือง ส่วนมิลก็ไปแจ้งการตายของเบ็นธีกับเจ้าหน้าที่ทางการ ก่อนจะมาสมทบกับพวกเขาที่สุสาน 

พวกเขาสามคนช่วยกันขุดหลุมฝังเบ็นธีไว้ที่สุสานนั้น หาหินก้อนหนึ่งมาวางไว้หน้าหลุมศพ และให้เขาเป็นคนสลักชื่อเบ็นธีบนหินนั้น 

กว่าจะจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว เขาขอให้มิลกับคีแซ็คกลับเข้าเมืองไปก่อน เขาต้องการอยู่กับเบ็นธีที่สุสานตามลำพัง 

ครั้นตกดึกคืนนั้น เขาจึงเห็นเงาสีดำปรากฏขึ้นในบริเวณสุสานนั้น คราแรกเขาคิดว่าเป็นคนมาเยี่ยมศพญาติจึงไม่สนใจ ต่อให้เป็นโจรเป็นปิศาจจะมาทำร้ายเขาก็ช่าง คิดว่าหากตนเองตายเสียก็ดีจะได้ไปอยู่กับเบ็นธี 

ทว่ายามที่เงานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ เขาจึงทราบว่ามันคือน้องสาวของเขานั่นเอง 

เบ็นธีกลับมาหาเขา บอกกับเขาว่าแต่นี้ไปนางจะคอยอยู่ข้างเขา นางไม่ป่วยอีกแล้ว และเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงนางอีกต่อไป 

เบเร็ธไม่รู้หรอกว่าดวงวิญญาณมีลักษณะอย่างไร แต่หากคนตายไปแล้วมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาได้ หากไม่ใช่ศพก็ต้องเป็นวิญญาณใช่หรือไม่… 

หลังจากนั้นนางก็มาหาเขาทุกคืน มาในเวลาที่ไม่มีใครพบเห็น ในยามที่มีคนมานางก็จะหายไป เขาเองก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่มิลกับคีแซ็ค 

เบเร็ธถอนหายใจ เขายื่นมือยึดกุมมือขาวซีดที่วางอยู่บนบ่า แต่ไม่อาจสัมผัสมือนั้นได้ 

“ข้าอยากให้เจ้ากลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง” เขาบอกกับวิญญาณน้องสาว 

“ข้าเองก็อยากกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง” นางบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ข้าอยากมีร่างกายอีกครั้ง” 

“รออีกหน่อยเถิดเบ็นธี” เขาบอกน้อง “ข้ากำลังศึกษาศาสตร์ปลุกชีพ หากทำได้แล้ว ข้าจะปลุกให้เจ้ามีชีวิตขึ้นมาอีก” ว่าแล้วเขาก็ยื่นเหยียดมือขวาออกไป ยามขยับนิ้วทั้งห้า กิ่งไม้เล็กๆ ห้าหกกิ่งบนพื้นนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว 

“ท่านพี่ ท่านก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ศาสตร์ปลุกชีพ” 

มือของเบเร็ธหยุดชะงัก กิ่งไม้พลันร่วงหล่นลงไปกองบนพื้นหญ้าตามเดิม 

ใช่…เขารู้ ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาเขาแอบศึกษาศาสตร์ปลุกชีพจากหนังสือในร้านที่เขาทำงานอยู่ เขาโชคดีที่ได้ทำงานในร้านหนังสือ เจ้าของร้านยังชวนให้เขาย้ายมาอยู่ในห้องว่างหลังร้านหลังจากเบ็นธีตาย ดังนั้นเขาจึงมีเวลาค้นหาหนังสือที่ต้องการหลังจากปิดร้านแล้ว 

เขาพบหนังสือสองสามเล่มที่กล่าวถึงศาสตร์ปลุกชีพ ทว่ามีเพียงเล่มเดียวเท่านั้นที่กล่าวถึงการรฝึกฝนเพื่อเป็นนักปลุกชีพ ซึ่งก็คือ ‘ศาสตร์และศิลป์สำหรับนักปลุกชีพ’ ส่วนอีกสองเล่มที่เหลือเป็นจรรยาบรรณของนักปลุกชีพกับประวัตินักปลุกชีพที่มีชื่อเสียงในอดีต 

เขา ‘ขอยืม’ หนังสือเล่มนั้นมาอ่าน พอเปิดหน้าแรกก็พบว่าเป็นอารัมภบทมากมาย ตั้งแต่การจำแนกประเภทศพ การดูศพด้วยความเป็นศพ แต่เขาคิดว่าเขาเห็นศพเบ็นธีมามากพอแล้ว ดังนั้นเขาจึงเปิดเลยไปยังบทกลางๆ ซึ่งกล่าวถึงการรวบรวมพลังให้เป็นหนึ่ง ครั้นพลังทั่วกายเป็นหนึ่งแล้วก็เพ่งพลังนั้นไปยังศพ ก่อนจะใช้พลังผูกจิตกับศพ แล้วเรียกให้ศพเคลื่อนไหวขึ้นมา 

ถึงเขาจะไม่รู้ว่าการผูกจิตกับศพต้องทำอย่างไร แต่การเพ่งพลัง การเรียกให้ศพเคลื่อนไหวนั้นฟังดูคล้ายเวทมนต์ที่เขาเคยฝึก ดังนั้นจึงลองทำตามโดยที่ไม่ให้ใครรู้ แม้แต่มิลกับคีแซ็ค... 

ทีแรกเขาแอบทดลองกับกระดูกไก่ที่มีคนทิ้งไว้ในขยะในตรอกลับตาและพบว่ามันเคลื่อนไหวได้จริง เขาดีใจจนลิงโลด คิดว่านั่นเป็นศาสตร์ปลุกชีพ ทว่ายามที่เขาถอนพลังจากกระดูกท่อนนั้น มันก็กลับตกลงกองกับพื้นตามเดิม 

เบเร็ธเห็นดังนั้นจึงกลับไปที่ห้องของตนในร้านหนังสือ กลับไปค้นในหนังสือเล่มนั้น และพบข้อความซึ่งกล่าวว่า หากศพถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ต่อให้นักปลุกชีพถอนพลังออกมา ศพก็ยังคงต้องเคลื่อนไหวได้จนกว่าจะนักปลุกชีพจะปลดจิตของตน ซึ่งต่างจากเวทมนต์เคลื่อนย้ายสิ่งของ ที่สิ่งของนั้นจะหยุดเคลื่อนไหว หากนักเวทถอนพลังออกมา 

เขาอธิบายไม่ถูกว่าความผิดหวังของตนรุนแรงเพียงใด เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรต่อไป ได้แต่นั่งกอดเข่าซุกตัวอยู่ในมุมห้องอันมืดมิด นิ้วทั้งสิบจิกลงในแขนโดยไม่รู้ตัว 

ตอนนั้นวิญญาณเบ็นธีก็มาหาเขา มาให้กำลังใจเขา บอกว่านางเชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถปลุกนางขึ้นมาอีกได้ บอกว่านางจะรอจนถึงวันนั้น 

ทว่านางรอมาสี่เดือนเต็มแล้ว เขาก็ยังไม่อาจใช้ศาสตร์ปลุกชีพได้ 

เบเร็ธกอดเข่าตัวเอง ซุกหน้ากับท่อนแขน วิญญาณของเบ็นธีก็นั่งอยู่ที่ข้างกายเขา นางไม่ไปไหน ไม่จากไปอย่างที่บอกจริงๆ 
 
###

ติดตามตอนต่อไปวัน...เอ่อ เสาร์นี้เดินทางกลับไทย เอาเป็นว่าไม่เกินเย็นวันอาทิตย์แล้วกันค่ะ แหะๆ ^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่