Back from the Dead บทที่ ๕

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ แล้วก็กราบขออภัยงามๆ เมื่อคืนลืมมาแปะ (หนูจะไม่ลืมอีกแล้ว T^T)
เฮมิสจะตามหาคนร้ายได้อย่างไร ไปติดตามกันต่อเลยค่ะ

ความเดิม
บทนำ - บทที่ ๑: https://pantip.com/topic/39574119
บทที่ ๔: https://pantip.com/topic/39606241

###

บทที่ ๕ 

เฮมิสก้าวออกจากร้าน 

ครั้นแล้วเขาก็หันหลัง ปิดประตูลงกลอน จากนั้นจึงออกเดินไปตามถนนในยามเย็น 

ผู้คนที่ท้ายเมืองไม่ค่อยมีใครสนใจใคร ยามอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ทุกคนล้วนแต่เร่งรีบทำธุระของตนให้เสร็จเพื่อจะได้กลับบ้าน ดังนั้นจึงไม่มีใครเหลียวมองชายผมเงินที่กำลังเดินไปเรื่อยๆ ราวกับไร้จุดหมาย 

ทว่าความจริงแล้วเขามีจุดหมาย เขารู้ว่าตนกำลังจะไปที่ใด หากไม่มีคนหันเหความสนใจของเขาด้วยเสียงหัวเราะแหลมอันน่าเกลียดเสียก่อน 

อันที่จริงมันไม่ใช่คน แต่เป็นเอด้า เป็นปิศาจกึ่งศพซึ่งมีหน้าที่นำทางดวงวิญญาณของคนตายนั่นเอง 

“นี่ๆๆ ข้าเห็นหมวกใหม่ที่ร้านในตลาดกลางเมือง มันสวยมากเลย” เสียงนั้นกระซิบอยู่ข้างหูขวาของเขาโดยไม่ได้ปรากฏตัวให้ผู้คนแตกตื่น 

เฮมิสไม่ได้สนใจมัน เขาก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ 

“ข้าอยากได้” มันบอกออกมา “เจ้าซื้อให้ข้าเถิดนะ ข้าจะช่วยงานเจ้าเป็นการตอบแทน” 

ชายผมเงินกลอกตาเบือนหน้าไปทางอื่น รูห์น่ะหรือจะช่วยอะไร ปกติก็เห็นมีแต่พูดจายียวน หรือไม่ก็ขอให้เขาซื้อเสื้อผ้าสวยๆ แล้วเผาส่งไปให้เท่านั้นเอง 

แต่เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็เป็นเพื่อนคุยกับเขาในยามดึกที่เขาต้องอยู่คนเดียวนั่นละ 

“ข้าจะช่วยตามหานักปลุกชีพผู้นั้นให้เจ้าก็ได้” 

ช่วยอย่างไร… เขาอยากถามกลับไป ทว่ายามนั้นหญิงกลางคนผู้หนึ่งเดินถือตะกร้าผักสวนทางมา ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยอะไรให้เป็นที่น่าสงสัย 

“ก็ได้ๆ ข้าจะให้เวลาเจ้าคิด” รูห์บอก จากนั้นเสียงของมันก็ย้ายมาดังที่ข้างหูซ้าย “ว่าแต่ เรื่องนักปลุกชีพนั่น เจ้าจะทำอย่างไรต่อไปหรือ” 

เฮมิสเม้มปากไม่ตอบ เขาเดินต่อไป ยามถึงทางแยกก็เลี้ยวไปทางซ้าย มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองด้านทิศตะวันตก 
 
 ---

ประตูเมืองยังเปิดอยู่ ข้างประตูเมืองมีทหารยามเฝ้าอยู่สามสี่คน ทางฝั่งซ้ายข้างป้อมประตูเมืองมีโต๊ะไม้อยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีสมุดลงนามปกหนังกับปากกาขนนกและหมึกวางอยู่ 

เฮมิสก้าวไปที่โต๊ะนั้น ยื่นมือหยิบปากกาเพื่อจะลงชื่อเป็นหลักฐานการเข้าออกผ่านประตูเมือง 

“โอ นึกว่าใคร ที่แท้ก็นักปลุกชีพที่เล่าลือกันนั่นเอง”​ ได้ยินใครคนหนึ่งตะโกนลงมาจากบนป้อมเหนือประตู พร้อมกับเสียงหัวเราะร่วน 

เฮมิสแหงนมองขึ้นไปตามเสียง แสงสีส้มอาบใบหน้าเขา แม้นัยน์ตาสีเงินยังถูกแสงอาทิตย์ย้อมจนแลเห็นเป็นสีทอง 

“ได้ยินว่าเจ้าต้องหาหลักฐานแก้ต่างให้ตัวเองไม่ใช่รึ” ฟาลานซึ่งยืนอยู่กับทหารรักษาการณ์อีกประมาณห้าหกคนกำลังยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “รีบหน่อยนะ เวลามีน้อย” หัวหน้านายด่านว่า แล้วก็หันไปหัวเราะกับพวกของตนอีก 

เฮมิสไม่ได้ตอบคำนั้น เขาเพียงเหยียดมุมปากออกนิดหนึ่ง จะว่าเป็นรอยยิ้มก็ไม่เชิง จากนั้นเขาจึงค่อยหันกลับมา ก้มหน้าลงชื่อในสมุดลงนาม ก่อนจะก้าวผ่านประตูเมืองไปด้วยฝีเท้าสม่ำเสมอ โดยไม่สนใจเสียงหัวเราะและสายตาของทหารยามเหล่านั้นแม้แต่น้อย 

“หนอย คนพวกนี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง!” เสียงรูห์กระซิบขึ้นยามที่เขาคล้อยหลังไปแล้ว “ทั้งรีดไถทั้งใส่ความผู้อื่น หากพวกมันตายข้าจะไม่พามันไปปรโลก จะปล่อยให้มันหลงทางเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ในโลกมนุษย์ชั่วกัปชั่วกัลป์!” 

“ช่างเถอะ” เฮมิสกระซิบตอบ ยามนั้นที่นอกเมืองแทบไร้ผู้คน ไม่มีใครอยู่ใกล้เขาในระยะสิบวา ดังนั้นจึงไม่มีใครได้ยินหรือสงสัยว่าเขาพูดคนเดียว 

“ช่างได้อย่างไร คนพวกนี้ต้องสั่งสอนให้หลาบจำ” เสียงปิศาจกึ่งศพว่าแล้วหยุดไปนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “โอ ข้าลืมไป เจ้าไม่อยากยุ่ง แค่อยากอยู่อย่างสงบนี่นะ” คำสุดท้ายมันบีบเสียงเป็นเชิงล้อเลียน 

เฮมิสไม่ตอบคำนั้น เขาไม่จำเป็นต้องต่อความยาวกับปิศาจไร้ชีวิตเช่นรูห์ ดังนั้นจึงเงียบไปเสีย เพียงก้าวเดินต่อไปยังจุดหมายของตน 

เดินต่อมาไม่นาน เขาก็มาถึงสุสานอันเป็นสถานที่ฝังศพของชาวเมืองซาเรอุส สุสานแห่งนี้อยู่ติดกับชายป่า ดังนั้นหลุมศพบางแห่งจึงถูกต้นไม้และหญ้ากลืนหายไป ป่าบางส่วนก็ถูกถางมาทำเป็นหลุมศพใหม่ 

เฮมิสกวาดสายตาไปทั่วลานกว้างไร้คนเป็น จากนั้นก็ขยับเท้าก้าวไปตามทางเดินผ่านหน้าหลุมศพแต่ละหลุมอย่างระมัดระวัง แล้วจึงหยุดยืนอยู่ตรงหน้ามูนดินแห่งหนึ่งซึ่งมีหญ้าขึ้นรกจนแทบไม่เหลือเค้าหลุมศพเดิม 

“ที่ตรงนี้เคยเป็นที่ฝังศพจูธาไม่ใช่หรือ” รูห์ในชุดสีเขียวใบไม้ปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายเขา ร่างของมันลอยคว้างอยู่ในอากาศ 

เฮมิสผงกศีรษะแทนคำตอบ ทว่าสิ่งที่เขาต้องการหาไม่ใช่สิ่งนี้ 

เขาหันหลังก้าวเดินต่อไป ระหว่างนั้นเอด้าตัวป่วนก็ทำทีช่วยมองหาสิ่งที่มันเองก็คงไม่รู้ว่าคืออะไร 

ครั้นแล้วชายผมเงินก็หยุดยืนที่กลางสุสาน สายลมโชยมาระลอกหนึ่ง กิ่งใบของต้นไม้ซึ่งอยู่ห่างออกไปร่วมสี่สิบก้าวก็โบกไหวไปตามแรงลม 

ใต้ต้นไม้นั้นมีวัตถุสะท้อนแสงสีส้มแดงของดวงอาทิตย์ที่ใกล้ลับขอบฟ้า วัตถุนั้นไม่วาบวาว แต่ก็เป็นโลหะ ถึงจะเกรอะกรัง แต่ก็ยังแข็งแกร่งอยู่นั่นเอง 

มันเป็นชุดเกราะที่ทนการกัดกร่อนมานานนับร้อยปี และไม่ทราบว่าจะทนทานอยู่ได้อีกนานเพียงใด 

เฮมิสก้าวตรงไปยังใต้ต้นไม้ซึ่งชุดเกราะนั้นวางพังพาบในลักษณะนั่งพิงโคนไม้อยู่ เขาก้มกายลงสำรวจมัน เห็นตรงส่วนหน้าอกเกรอะกรังไปด้วยคราบสีน้ำตาล ยามมองลงไปจากส่วนคอซึ่งควรจะมีหมวกเกราะสวมทับอยู่กลับพบกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง ไล่ลงไปจนถึงไหล่และซี่โครง 

“ไร้ความรับผิดชอบเสียจริง ปลุกศพขึ้นมาแล้วปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้ได้อย่างไร” รูห์เอ่ยขึ้นที่ด้านข้าง สำเนียงของมันยิ่งรัวลิ้นจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ 

“เขาไม่ได้เรียนรู้จรรยาบรรณของนักปลุกชีพ” เฮมิสเอ่ย สายตายังไม่ละไปจากศพนักรบในชุดเกราะ “น่าจะเคยเรียนเวทมนต์ แต่ไม่เคยเรียนรู้ศาสตร์ปลุกชีพอย่างจริงจัง” 

“ฮ้า! ไม่เคยเรียนแต่สามารถปลุกศพขึ้นมาได้อย่างนั้นหรือ” 

“นี่ไม่ใช่ศาสตร์ปลุกชีพ และไม่ใช่การปลุกศพ เป็นเพียงแค่การบังคับศพให้เคลื่อนไหว แบบเดียวกับการใช้เวทมนต์บังคับสิ่งของให้เคลื่อนที่นั่นละ” 

รูห์ฟังแล้วพลันหัวเราะคิกคักขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไม่ใช่นักปลุกชีพ แต่เป็นนักเวทที่ใช้เวทมนต์บังคับศพ ไม่เหมือนเจ้า…” 

เฮมิสไม่สนใจต่อคำกับปิศาจกึ่งศพ เขาลุกยืนขึ้น แล้วก้าวห่างออกมาจากศพนักรบ พลางกวาดตามองไปรอบบริเวณอีก 

“เจ้าจะทำอย่างไรต่อไปรึ” 

“คืนนี้ข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่ รอดูว่าคนผู้นั้นจะออกมาหรือไม่” 

รูห์ฟังแล้วก็หัวเราะคิกคักราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องสนุก จากนั้นจึงลอยตามเฮมิสซึ่งออกเดินไปทางป่าข้างสุสานนั่นเอง 

###
ติดตามต่อวันเสาร์นะคะ คราวนี้ไม่ลืมแน่ๆ ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่