สารบัญ
https://pantip.com/topic/39358562
“ข้าคิดอะไรอยู่เนี่ย? อุตส่าห์มาตั้งแต่ไก่โห่เลย” ผู้หญิงคนหนึ่งฟุบตัวลงบนโต๊ะ แถมยังบ่นพึมพำเลื่อนลอยออกมา
ข้างศีรษะกดทับสองแขนเสื้อขาวซึ่งไขว้กันเป็นรูปกากบาท สายตาตะแคงซ้ายจึงมองราบผ่านหน้าต่างจากชั้นสาม เพื่อชมวิวทิวทัศน์หน้าอาคาร จมูกก็สูดกลิ่นไอธรรมชาติยามเช้า มันคือพื้นที่กว้าง ๆ ได้แก่ สวนเลียบทางเดินดีไซน์เยี่ยม ต่อด้วยย่านร้านค้าของเมืองคอนโด้อันพลุกพล่าน
เอลฟ์นางนี้ผิวพรรณขาวอมชมพู หากมีกระเป็นด่างดวงน้ำตาล ๆ ใต้ดวงตาสีเขียวพอประมาณ บวกกับแว่นตากรอบเหลี่ยมโทนฟ้าสดใส ใบหน้าเรียวรูปไข่ หูยาวเอียงตามพันธุกรรม ผมบลอนด์สั้นถึงต้นคอดูเป็นสาวทำงาน หน้าผากด้านซ้ายหวีขึ้นติดกิ๊บประดับเฉดม่วงแดงสั้น ๆ คู่หนึ่ง เธอแต่งกายแนวชุดสูทเรียบร้อย โดยสวมกระโปรงสั้นเข้ารูป ครั้นสูง 172 เซนติเมตรและเจริญเติบโตเต็มที่ ส่งผลให้ดูดีใช้ได้
“นี่ ๆ ไหนว่าจะเปลี่ยนวิถีชีวิตแล้วไง? ไอห้า” เพื่อนซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งขวามือเลยจี้นิ้วชี้ตรงปรางแก้มสองที กะสอบถามอย่างสงสัย ทำให้ผู้ถูกกวนต้องเงยหน้าขึ้นมานั่งอย่างช่วยไม่ได้ สาวรายนี้เป็นกระบือเผือกตัวเต็มวัย ร่างโตกว่า 2 เมตรในเครื่องแบบเช่นเดียวกัน ณ ขณะนี้มีจำนวนคนอื่นเข้าร่วมด้วยอีก 8 รายอยู่ประปรายภายในห้องประชุม
“ตามกระแสมาน่ะ กานา ข้าพูดไม่ออก เลยยังมิได้แจ้งเรื่องราวต่อนังบ้าพัดดี้” ไอห้าจึงหันมาตอบสหายมนุษย์สัตว์ด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ
“นึกว่าจะเร่งไปโดยด่วนซะแล้วสิ แต่ทำตามขั้นตอนเถอะ ไม่งั้นเจ้าอาจจะโดนรังควานทีหลังก็ได้นะ ยัยอ้วนนี่ยิ่งแค้นฝังลึกถึงกระดูกอยู่ด้วย ข้าน่ะ เกลียดนางเข้าเส้นจริง ๆ” กานาเลยเอ่ยแสดงความเห็นบ้าง โดยทำหน้าเบ้ประกอบ ก่อนจะหยิบแท่งหญ้าอบแห้งในกล่องอาหารเล็ก ๆ บนโต๊ะพับเบื้องหน้าใส่ปาก แล้วเคี้ยวเอื้อง ๆ ตบท้ายด้วยกาแฟร้อนแก้วกระดาษที่อีกมือ
“วี๊ด! ๆ ๆ ๆ/เฮ้อ! น่าอิจฉาสัตว์ที่มีอิสระภาพยิ่งนัก” ไอห้าเปรยขึ้นเบา ๆ เมื่อเท้าคางและเลี่ยวหน้าสู่กลับทิศทางเดิมอีกรอบ จึงสามารถสังเกตเห็นนกพญาไฟเล็กสามสีร่อนลงมาเกาะขอบหน้าต่างใกล้ ๆ ได้ มันสุขสันต์เลยร้องเจื้อยแจ้ว
“แกร๊ก!” ทันใดนั้นเองประตูห้องก็เปิดออกอย่างดัง จนวิหคต้องกระพือปีกหนีไป
พร้อมกับมีร่างเตี้ย ๆ กับอ้วนตุ๊บตั๊บก้าวเข้าสู่ภายใน กายป้อม ๆ ประมาณ 1.4 เมตร ริมฝีปากหนาทาลิปสติกสีแดงสด ผิวเหลือง ใบหน้ารูปหัวใจ ผมยาวดัดเป็นลอนสีส้มสุดสยาย เนื่องจากปาดขึ้นด้วยมือระหว่างเดินจ้ำ ทั้งยังสะบัดเศียรเสริมสภาวะด้วย
“อืม! มาตรงเวลาดีแบบนี้ ในที่สุด พวกหล่อนก็เข้าสังคมการทำงานเป็นแล้ว เดี๊ยนล่ะ ปลื้มมาก ๆ เลย” พอหยุดส่ายสายตาซ้ายขวามาประเมินฝั่งของผู้รับฟัง ด้วยความเจ้าระเบียบเสร็จ เธอเลยยิ้มตอบและกล่าวอย่างดัดจริต
เครื่องสำอางจัด ๆ บนใบหน้าบานจึงเริ่มแตกระแหงตาม แต่พอลูบให้เนียนเสร็จจึงก้าวเดินต่อ ณ บริเวณนำเสนออันมีอุปกรณ์เตรียมเอาไว้หลายชิ้น เท้าเปล่าใหญ่เกินธรรมดาซึ่งสวมถุงน่องรัดติ้วสีกรมท่าเหยียบย่ำบันไดขึ้นเวทีทีละขั้น เหล่าผู้ฟังเลยพากันหยุดกิจกรรมทุกอย่างที่กำลังกระทำอยู่
เนื่องจากเนื้อผ้าสัมผัสพื้นหนาเป็นพิเศษอยู่แล้ว ข้างใต้เลยไม่จำเป็นอีก โดยสะดวกต่อวัฒนธรรมของฮอบบิทที่ไม่ชอบให้ท่อนขามีอะไรเกะกะ เครื่องแต่งกายรวม ๆ ก็เทียบได้กับคนที่มาก่อน ทว่าปลิ้นกว่าเยอะและมีผ้าพันคอสีแดงสดลายดอกเพิ่ม
“สวัสดี แต่พอได้แล้ว วันนี้มิต้องอ้อมค้อมอะไรอีก เพราะเจ้พัดดี้ของทุกคนจะมาปรับทัศนคติให้เข็มทิศชี้ทางเดียวกัน เพื่อเข้าถึงจิตวิญญาณของข้าราชการฝ่ายแรงงาน” ครั้นปักหลัก ณ กึ่งกลางแล้ว ระหว่างกำลังจะเกิดการทักทายจากอีกฝ่ายตามมารยาท เธอจึงชิงประกาศขึ้นก่อน โดยเอามือซ้ายมาโบกห้าม
“หวังว่าจะช่วยมือใหม่หัดเดิน เช่น พวกเจ้ามีความเป็นมืออาชีพเพิ่มขึ้นได้นะ” จากนั้นทาบหน้าอกอูมซึ่งบอกไม่ถูกว่าเป็นก้อนไขมันหรือกล้ามเนื้อแกร่งกันแน่? ส่วนอีกข้างแบออกและยื่นเฉียงไปเบื้องหน้า ดั่งนักแสดงละครโอเปร่า
“งั้นขอเปิดงานด้วยโลโก้ของแผนกเลยละกัน คงมิมีใครในห้องนี้ที่ไม่ทราบนะ กานา เธอลองบอกกับเดี๊ยนหน่อยสิ ว่าสัญลักษณ์ของพวกเราเป็นอย่างไรบ้าง?” พัดดี้เอ่ยปากต่อ เมื่อเอามือทั้งสองมาไขว้หลังเอวแล้ว เธอเดินไปทางซ้ายขวาสั้น ๆ หนึ่งรอบ แล้วจึงสะบัดมือหยิบไม้กายสิทธิ์จากข้างเอวขึ้น เพื่อชี้สู่เป้าหมาย
“... ตัวแทนแห่งจิตใจคือการประชันหน้าอย่างดุเดือด ระหว่างอัศวินผู้กล้าหาญกับเจ้ามังกรแดงพ่นไฟ ดั่งที่ประทับเอาไว้บนแขนเสื้อตรงนี้” กานาจึงต้องปั้นอารมณ์ เพื่อให้อินสักนิดก่อนตอบ ทั้งยังยกตัวอย่างซึ่งอยู่กับตัวอยู่แล้วขึ้นอ้างอิงไปด้วย มันเป็นภาพด้านหลังของนักรบเตรียมพร้อมลุย มือถือดาบและโล่ทรงเหลี่ยมแท่งยาว ส่วนสัตว์ร้ายร่างสูงใหญ่ได้กางบินกว้างกำลังจะกระโจนเข้าใส่
“ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน? คิ ๆ เพราะท่านหัวหน้าฝึกฝนมาแน่นแล้ว” โดยแถมด้วยคำเยินยออีกต่างหาก
“ดีมาก สมแล้วที่เป็นเด็กในสังกัดของพัดดี้คนนี้ ทุก ๆ คนเห็นกันไหม? ขนาดควายยังทราบเลย” อีกฝ่ายจึงพยักหน้าอย่างปลื้มปิติคราหนึ่ง พร้อมกับลดไม้กายสิทธิ์ลงข้างตัว
“...” ซึ่งเหตุการณ์นี้ ทำให้ไอห้าต้องทําตาปริบ ๆ
(นังนี่ก็อีกคน ชะเลียซะ!) เธอนึกในใจ จนต้องเหล่มองประเภทแอบประชด ขณะนั่งหลังตรงพิงพนักเก้าอี้
“แต่พวกเจ้าเคยรู้ถึงความหมายแอบแฝงในสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า? มันล้ำลึกมากกว่าที่เห็นด้วยตาอีกนะ” แล้วพัดดี้ก็เสยผมจนสยาย จากนั้นจึงกระโดดสุดตัวให้มือสั้น ๆ เอื้อมถึงห่วงทองเหลืองที่แขวนอยู่ด้านบน เพื่อดึงสไลด์ภาพออกมาแสดง มันเป็นสัญลักษณ์ซึ่งกล่าวไปแล้วนั่นเอง
“ตึง!/โดยเฉพาะมังกรร้ายนี่แหละ ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะถ้าเผลอไผลไป จะโดนเขมือบกระทั่งดวงวิญญาณก็ยังมิเหลือ ใช่ไหม? เจ้าหัวหอก” เธอใช้ฝ่ามือขวาตบกลับหลังทาบภาพที่เพิ่งเปิดตัว วงเวทย์สีทองเล็ก ๆ จึงโผล่ขึ้นในทันใด แล้วจึงคว้าลายเส้น ณ ลำคอยาว ๆ แล้วดึงออกมาพร้อมกัน
“โฮกกก...!!!” มังกรแดงขนาดพอสมควรก็ปรากฏกายจริง ๆ แทนรายละเอียดที่หายไป เมื่อมือปล่อยออก มันก็กระพือปีกกว้าง โดยเคลื่อนตัวมาเกาะแขนของพัดดี้ประหนึ่งนกเหยี่ยวเชื่อเชื่อง ขนาดตัวก็พอ ๆ กัน ครั้นเธอตั้งศอกอยู่เบื้องหน้า พร้อมกับยิ้มหวานเกือบปากจะฉีก
ลักษณะของสัตว์เวทย์ดุร้ายแบบไวเวิร์นที่ส่งเสียงขู่มิหยุด หัวแหลมเหมือนชื่อ แววตาสีทองคมกริบ เกล็ดละเอียดเป็นแผงเรียงทั้งร่างซึ่งล่ามสายโซ่ตามข้อขา ห่วงเหล็กหนา ๆ รัดคออยู่และที่ครอบปากหลวม ๆ มีสลักสามอันอยู่บนนั่น ปีกทั้งสองข้างหุบลงรอคำสั่งใหม่ มันคำรามอย่างอหังการ พร้อมกับลมหายใจอัคคีหนึ่งเฮือกใหญ่ประเดิมก่อน
“ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบการกับลูกจ้าง ก็เหมือนกับอัศวินและมังกรร้ายนั่นแหละ โดยจะหาช่องว่างของอีกฝ่ายแบบเอาเป็นเอาตาย ก่อนลงมือ ถ้าฝีมือมิถึง ซึ่งก็คือส่วนใหญ่ต่างต้องสิ้นชีพในเงื้อมมือของฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่า” พัดดี้เอ่ยปากพูดอย่างจริงจัง ระหว่างเจ้าหัวหอกได้ยึดกรงเล็บเท้าหลังแน่น จนหนังบวม ๆ ของเธอยุบตัวลงแบบน่าใจหาย เพราะมันกำลังยืดตัวขึ้น เพื่อสูดอากาศเตรียมปล่อยไฟลูกโต
“กรี๊ดดด...!!!”x4 ทำให้ฝั่งตรงข้ามหลายรายต้องตกใจกลัวเป็นอย่างมาก ถึงขนาดแหกปากร้องลั่นเชียวล่ะ
“อ๊ากกก...!!!” ตัดมาในโลกอันเวิ้งว้างอีกใบ [ความมืดมิด] กำลังร่ำร้องด้วยความเจ็บปวด
ตอนนี้เขาได้ถูกเหล่าโซ่ทองคำรวบทั่วร่างกลางเวหาไปซะแล้ว แขนขาตึงสุดเป็นรูปดาวห้าแฉก จนศีรษะเกือบแตกดังโพล่งดั่งลูกโป่ง ส่วนลำตัวตั้งฉากและอยู่สูงกับพื้นข้างล่างมาก ลมพายุเริ่มแผลงฤทธิ์เดชแล้ว ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง ท้องฟ้าก็ร้องกระหึ่ม อสุนีบาตคลั่งเลยกำลังประทุจากหมู่เมฆาเบื้องบน
เพราะสามง่ามด้ามหนึ่งเพิ่งแทงทะลุหน้าอกจากด้านหลัง มันเหนี่ยวนำให้ประจุลบผ่าลงมาย่างสดด้วย ก่อนปากจะถูกสายพันธนการขนาดเท่านิ้วหัวแม่เท้าคาดเอาไว้มิด โดยแต่ละข้อต่อเล็ก ๆ มีเงี่ยงตะของอกเงย เลยเสริมความเจ็บปวดตอนโดนบาดแถม
ดวงตาค้างเบิกกว้างมองดูปลายอาวุธสังหารผ่านช่องว่างระหว่างโซ่ตรวน ซึ่งคละคลุ้งไปด้วยอนุภาคทมิฬที่ทะลักออกจากบาดแผล แต่มันกลับเปล่งประกายแสงเจ็ดสีตลอดจึงแย่งซีนเด่นมา รูปลักษณ์ก็ปราณีตงดงาม เนื่องจากมีอักขระแห่งเทพเจ้าสลักอยู่ด้วย
“ความมืดมิดเอ๋ย! นี่มิใช่บทบาทที่ควรจะปรากฏในเรื่องราวนี้เลย” เส้นเสียงแสนเย็นยะเยือกได้ปรากฏขึ้นจากด้านหลัง ระยะเกือบข้างหูทีเดียว
“อู้อี้ ๆ ๆ ๆ” เขาเลยได้แต่ขัดขืนด้วยสำเนียงที่ไม่รู้ภาษา
(ข้าคับแค้นยิ่งนัก! นี่ผิดพลาดตรงไหนกันแน่?) พร้อมกับคิดในใจ ครั้นกระแสไฟฟ้าแรงสูงก็แล่นต่อตรงถึงสมอง ทั้งยังสปาร์คมิหยุดอยู่ข้างในนั้นแหละ ทำให้ [ความมืดมิด] ต้องเห็นภาพเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้วกลับคืนมา
“โฮกกก...!!!”x3 ตัวตนของพญามังกรสามเศียรจึงผุดขึ้นมา ณ ห้วงความคิดในเฉียบพลัน ขนาดตัวใหญ่เทียบเคียงคอนโดชุดสิบชั้น ทว่ามันกลับมีสภาพยับเยิน รอยแผลฉกรรจ์เต็มไปหมดแล้ว เขาเดียวงอกจากหน้าผากแต่ละหัวปานมงกุฎสูงศักดิ์ก็บกพร่องมิครบถ้วน
เกล็ดสีเงินหนาปกคลุมตามร่าง เงาจัดจนส่องแทนกระจกได้ มีปล้องเกราะแหลมตลอดช่วงตั้งแต่ท้ายทอยทั้งสามมารวมที่สันหลังและถึงหางยาว สี่ปีกกว้างเคยโบกสะบัดสง่างาม แต่กลับขาดกระรุ่งกระริ่ง สัตว์เวทย์โบราณตนนี้กำลังอ่อนล้าหนัก เพราะถูกรัดพันเอาไว้กลางอากาศอย่างแน่นหนา ด้วยเหล่าตะขอเกี่ยวที่ฝังเนื้อลึกให้โลหิตสีน้ำเงินหลั่งไหลเป็นทางกับลวดสลิงดำเส้นโต ๆ มากจำนวน
ครั้นมีผู้มาเยือนกลุ่มใหญ่เดินทางถึงที่โลกเวิ้งว้างอันมืดมิด โดยพวกเขาร่วงหล่นลงมาก่อนสักระยะ จากนั้นพอสามารถบินได้แล้ว เลยส่งเสียงยินดีเอะอะกันให้แซด มังกรร้ายเลยลืมตาสีฟ้าคริสตัลขึ้น ณ พลันที เมื่อรวบรวมกำลังกายเพียงพอ คอยาว ๆ ทั้งสามจึงฝืนตวัดและจ้องเขม็งด้วยความดุดัน เนื้อหนังที่โดนยึดอยู่ถึงกับถูกกระชากออกไปด้วย
“อ๊ากกก...!!!”x??? เหล่าดวงวิญญาณร่างโปร่งใสด้วยหลากหลายเผ่าพันธุ์ อาทิเช่น มนุษย์ เอลฟ์ คนแคระและอื่น ๆ ต้องตะโกนอย่างขี้หดตดหาย พวกเขารีบบินหนีตายสี่ทิศแปดทาง เพราะปากของเจ้าคิงกิโดราห์สีเงินอ้าออกกว้าง สามลำพระเพลิงฟ้าขาวก็พรวดพุ่งกวาดขึ้นมาในทันใด
“อา! ข้านี่ช่างแย่มาก ดันลืมจัดการกับอาหารมื้อนี้ไปซะได้” [ความมืดมิด] เลยต้องบ่นต่อตัวเอง ณ เบื้องบน ขณะเข้ามาทีหลังสุด เพราะแขกเหรื่อกึ่งหนึ่งถูกชำระล้างลงแล้ว ด้วยความเลินเล่อของเจ้าบ้าน เขาเป็นกลุ่มอนุภาคแห่งสสารมืดขุมหนึ่ง รัศมีมิคงที่ประมาณ 4-5 เมตร แก่นกลางเป็นจักรวาลขนาดหย่อม ๆ
“โฮกกก...!!!”x3 พอสังเกตเห็นโจทก์เก่าเข้า เจ้ามังกรร้ายจึงคำรามสุดเสียงและหันศีรษะมาด้านหลัง โดยชูลำคอเข้าใส่ร่างกายที่ยังถูกหน่วงเหนี่ยวอยู่ จากนั้นก็พ่นเปลวไฟมนตราแผดเผาตนเอง เพื่อทำลายการผนึกให้สูญสิ้นไป แม้ต้องแลกด้วยความเสียหายอันร้อนแรงก็ตาม
พอเป็นอิสระอีกครั้ง สี่ปีกกว้างจึงกระพืออย่างรุนแรง เพื่อทรงตัวกลางหาว เงี่ยงหนามที่หางแกร่งจึงกางออกและใช้ต่างศาสตราวุธ มันเปล่งไอมนตราสีฟ้าขาวออกมาไม่หยุด แล้วจึงฟาดเหวี่ยงด้วยความเกรี้ยวกราด คลื่นพลังงานคล้ายจันทร์เสี้ยวเลยเร่งพุ่งสู่ [ความมืดมิด] โดยมิรั้งรอ
“เบื่อพวกสัตว์เดรัจฉานจริง ๆ ไม่เคยจดจำอะไรเลย” เป้าหมายต้องเอ่ยปากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ครั้นการโจมตีขนาดมหึมาเพิ่งจะทะลุผ่านไปดื้อ ๆ เขาจึงต้องจำแลงกายเป็นรูปแบบมนุษย์ขึ้นมาในทันที
นิยายแฟนตาซีเรื่อง Conflict Before The Beginning มันเกิดก่อนเริ่ม [ตอนที่ 3 แป้กที่มิใช่มังกร] ปรับปรุง
“ข้าคิดอะไรอยู่เนี่ย? อุตส่าห์มาตั้งแต่ไก่โห่เลย” ผู้หญิงคนหนึ่งฟุบตัวลงบนโต๊ะ แถมยังบ่นพึมพำเลื่อนลอยออกมา
ข้างศีรษะกดทับสองแขนเสื้อขาวซึ่งไขว้กันเป็นรูปกากบาท สายตาตะแคงซ้ายจึงมองราบผ่านหน้าต่างจากชั้นสาม เพื่อชมวิวทิวทัศน์หน้าอาคาร จมูกก็สูดกลิ่นไอธรรมชาติยามเช้า มันคือพื้นที่กว้าง ๆ ได้แก่ สวนเลียบทางเดินดีไซน์เยี่ยม ต่อด้วยย่านร้านค้าของเมืองคอนโด้อันพลุกพล่าน
เอลฟ์นางนี้ผิวพรรณขาวอมชมพู หากมีกระเป็นด่างดวงน้ำตาล ๆ ใต้ดวงตาสีเขียวพอประมาณ บวกกับแว่นตากรอบเหลี่ยมโทนฟ้าสดใส ใบหน้าเรียวรูปไข่ หูยาวเอียงตามพันธุกรรม ผมบลอนด์สั้นถึงต้นคอดูเป็นสาวทำงาน หน้าผากด้านซ้ายหวีขึ้นติดกิ๊บประดับเฉดม่วงแดงสั้น ๆ คู่หนึ่ง เธอแต่งกายแนวชุดสูทเรียบร้อย โดยสวมกระโปรงสั้นเข้ารูป ครั้นสูง 172 เซนติเมตรและเจริญเติบโตเต็มที่ ส่งผลให้ดูดีใช้ได้
“นี่ ๆ ไหนว่าจะเปลี่ยนวิถีชีวิตแล้วไง? ไอห้า” เพื่อนซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งขวามือเลยจี้นิ้วชี้ตรงปรางแก้มสองที กะสอบถามอย่างสงสัย ทำให้ผู้ถูกกวนต้องเงยหน้าขึ้นมานั่งอย่างช่วยไม่ได้ สาวรายนี้เป็นกระบือเผือกตัวเต็มวัย ร่างโตกว่า 2 เมตรในเครื่องแบบเช่นเดียวกัน ณ ขณะนี้มีจำนวนคนอื่นเข้าร่วมด้วยอีก 8 รายอยู่ประปรายภายในห้องประชุม
“ตามกระแสมาน่ะ กานา ข้าพูดไม่ออก เลยยังมิได้แจ้งเรื่องราวต่อนังบ้าพัดดี้” ไอห้าจึงหันมาตอบสหายมนุษย์สัตว์ด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ
“นึกว่าจะเร่งไปโดยด่วนซะแล้วสิ แต่ทำตามขั้นตอนเถอะ ไม่งั้นเจ้าอาจจะโดนรังควานทีหลังก็ได้นะ ยัยอ้วนนี่ยิ่งแค้นฝังลึกถึงกระดูกอยู่ด้วย ข้าน่ะ เกลียดนางเข้าเส้นจริง ๆ” กานาเลยเอ่ยแสดงความเห็นบ้าง โดยทำหน้าเบ้ประกอบ ก่อนจะหยิบแท่งหญ้าอบแห้งในกล่องอาหารเล็ก ๆ บนโต๊ะพับเบื้องหน้าใส่ปาก แล้วเคี้ยวเอื้อง ๆ ตบท้ายด้วยกาแฟร้อนแก้วกระดาษที่อีกมือ
“วี๊ด! ๆ ๆ ๆ/เฮ้อ! น่าอิจฉาสัตว์ที่มีอิสระภาพยิ่งนัก” ไอห้าเปรยขึ้นเบา ๆ เมื่อเท้าคางและเลี่ยวหน้าสู่กลับทิศทางเดิมอีกรอบ จึงสามารถสังเกตเห็นนกพญาไฟเล็กสามสีร่อนลงมาเกาะขอบหน้าต่างใกล้ ๆ ได้ มันสุขสันต์เลยร้องเจื้อยแจ้ว
“แกร๊ก!” ทันใดนั้นเองประตูห้องก็เปิดออกอย่างดัง จนวิหคต้องกระพือปีกหนีไป
พร้อมกับมีร่างเตี้ย ๆ กับอ้วนตุ๊บตั๊บก้าวเข้าสู่ภายใน กายป้อม ๆ ประมาณ 1.4 เมตร ริมฝีปากหนาทาลิปสติกสีแดงสด ผิวเหลือง ใบหน้ารูปหัวใจ ผมยาวดัดเป็นลอนสีส้มสุดสยาย เนื่องจากปาดขึ้นด้วยมือระหว่างเดินจ้ำ ทั้งยังสะบัดเศียรเสริมสภาวะด้วย
“อืม! มาตรงเวลาดีแบบนี้ ในที่สุด พวกหล่อนก็เข้าสังคมการทำงานเป็นแล้ว เดี๊ยนล่ะ ปลื้มมาก ๆ เลย” พอหยุดส่ายสายตาซ้ายขวามาประเมินฝั่งของผู้รับฟัง ด้วยความเจ้าระเบียบเสร็จ เธอเลยยิ้มตอบและกล่าวอย่างดัดจริต
เครื่องสำอางจัด ๆ บนใบหน้าบานจึงเริ่มแตกระแหงตาม แต่พอลูบให้เนียนเสร็จจึงก้าวเดินต่อ ณ บริเวณนำเสนออันมีอุปกรณ์เตรียมเอาไว้หลายชิ้น เท้าเปล่าใหญ่เกินธรรมดาซึ่งสวมถุงน่องรัดติ้วสีกรมท่าเหยียบย่ำบันไดขึ้นเวทีทีละขั้น เหล่าผู้ฟังเลยพากันหยุดกิจกรรมทุกอย่างที่กำลังกระทำอยู่
เนื่องจากเนื้อผ้าสัมผัสพื้นหนาเป็นพิเศษอยู่แล้ว ข้างใต้เลยไม่จำเป็นอีก โดยสะดวกต่อวัฒนธรรมของฮอบบิทที่ไม่ชอบให้ท่อนขามีอะไรเกะกะ เครื่องแต่งกายรวม ๆ ก็เทียบได้กับคนที่มาก่อน ทว่าปลิ้นกว่าเยอะและมีผ้าพันคอสีแดงสดลายดอกเพิ่ม
“สวัสดี แต่พอได้แล้ว วันนี้มิต้องอ้อมค้อมอะไรอีก เพราะเจ้พัดดี้ของทุกคนจะมาปรับทัศนคติให้เข็มทิศชี้ทางเดียวกัน เพื่อเข้าถึงจิตวิญญาณของข้าราชการฝ่ายแรงงาน” ครั้นปักหลัก ณ กึ่งกลางแล้ว ระหว่างกำลังจะเกิดการทักทายจากอีกฝ่ายตามมารยาท เธอจึงชิงประกาศขึ้นก่อน โดยเอามือซ้ายมาโบกห้าม
“หวังว่าจะช่วยมือใหม่หัดเดิน เช่น พวกเจ้ามีความเป็นมืออาชีพเพิ่มขึ้นได้นะ” จากนั้นทาบหน้าอกอูมซึ่งบอกไม่ถูกว่าเป็นก้อนไขมันหรือกล้ามเนื้อแกร่งกันแน่? ส่วนอีกข้างแบออกและยื่นเฉียงไปเบื้องหน้า ดั่งนักแสดงละครโอเปร่า
“งั้นขอเปิดงานด้วยโลโก้ของแผนกเลยละกัน คงมิมีใครในห้องนี้ที่ไม่ทราบนะ กานา เธอลองบอกกับเดี๊ยนหน่อยสิ ว่าสัญลักษณ์ของพวกเราเป็นอย่างไรบ้าง?” พัดดี้เอ่ยปากต่อ เมื่อเอามือทั้งสองมาไขว้หลังเอวแล้ว เธอเดินไปทางซ้ายขวาสั้น ๆ หนึ่งรอบ แล้วจึงสะบัดมือหยิบไม้กายสิทธิ์จากข้างเอวขึ้น เพื่อชี้สู่เป้าหมาย
“... ตัวแทนแห่งจิตใจคือการประชันหน้าอย่างดุเดือด ระหว่างอัศวินผู้กล้าหาญกับเจ้ามังกรแดงพ่นไฟ ดั่งที่ประทับเอาไว้บนแขนเสื้อตรงนี้” กานาจึงต้องปั้นอารมณ์ เพื่อให้อินสักนิดก่อนตอบ ทั้งยังยกตัวอย่างซึ่งอยู่กับตัวอยู่แล้วขึ้นอ้างอิงไปด้วย มันเป็นภาพด้านหลังของนักรบเตรียมพร้อมลุย มือถือดาบและโล่ทรงเหลี่ยมแท่งยาว ส่วนสัตว์ร้ายร่างสูงใหญ่ได้กางบินกว้างกำลังจะกระโจนเข้าใส่
“ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน? คิ ๆ เพราะท่านหัวหน้าฝึกฝนมาแน่นแล้ว” โดยแถมด้วยคำเยินยออีกต่างหาก
“ดีมาก สมแล้วที่เป็นเด็กในสังกัดของพัดดี้คนนี้ ทุก ๆ คนเห็นกันไหม? ขนาดควายยังทราบเลย” อีกฝ่ายจึงพยักหน้าอย่างปลื้มปิติคราหนึ่ง พร้อมกับลดไม้กายสิทธิ์ลงข้างตัว
“...” ซึ่งเหตุการณ์นี้ ทำให้ไอห้าต้องทําตาปริบ ๆ
(นังนี่ก็อีกคน ชะเลียซะ!) เธอนึกในใจ จนต้องเหล่มองประเภทแอบประชด ขณะนั่งหลังตรงพิงพนักเก้าอี้
“แต่พวกเจ้าเคยรู้ถึงความหมายแอบแฝงในสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า? มันล้ำลึกมากกว่าที่เห็นด้วยตาอีกนะ” แล้วพัดดี้ก็เสยผมจนสยาย จากนั้นจึงกระโดดสุดตัวให้มือสั้น ๆ เอื้อมถึงห่วงทองเหลืองที่แขวนอยู่ด้านบน เพื่อดึงสไลด์ภาพออกมาแสดง มันเป็นสัญลักษณ์ซึ่งกล่าวไปแล้วนั่นเอง
“ตึง!/โดยเฉพาะมังกรร้ายนี่แหละ ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะถ้าเผลอไผลไป จะโดนเขมือบกระทั่งดวงวิญญาณก็ยังมิเหลือ ใช่ไหม? เจ้าหัวหอก” เธอใช้ฝ่ามือขวาตบกลับหลังทาบภาพที่เพิ่งเปิดตัว วงเวทย์สีทองเล็ก ๆ จึงโผล่ขึ้นในทันใด แล้วจึงคว้าลายเส้น ณ ลำคอยาว ๆ แล้วดึงออกมาพร้อมกัน
“โฮกกก...!!!” มังกรแดงขนาดพอสมควรก็ปรากฏกายจริง ๆ แทนรายละเอียดที่หายไป เมื่อมือปล่อยออก มันก็กระพือปีกกว้าง โดยเคลื่อนตัวมาเกาะแขนของพัดดี้ประหนึ่งนกเหยี่ยวเชื่อเชื่อง ขนาดตัวก็พอ ๆ กัน ครั้นเธอตั้งศอกอยู่เบื้องหน้า พร้อมกับยิ้มหวานเกือบปากจะฉีก
ลักษณะของสัตว์เวทย์ดุร้ายแบบไวเวิร์นที่ส่งเสียงขู่มิหยุด หัวแหลมเหมือนชื่อ แววตาสีทองคมกริบ เกล็ดละเอียดเป็นแผงเรียงทั้งร่างซึ่งล่ามสายโซ่ตามข้อขา ห่วงเหล็กหนา ๆ รัดคออยู่และที่ครอบปากหลวม ๆ มีสลักสามอันอยู่บนนั่น ปีกทั้งสองข้างหุบลงรอคำสั่งใหม่ มันคำรามอย่างอหังการ พร้อมกับลมหายใจอัคคีหนึ่งเฮือกใหญ่ประเดิมก่อน
“ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบการกับลูกจ้าง ก็เหมือนกับอัศวินและมังกรร้ายนั่นแหละ โดยจะหาช่องว่างของอีกฝ่ายแบบเอาเป็นเอาตาย ก่อนลงมือ ถ้าฝีมือมิถึง ซึ่งก็คือส่วนใหญ่ต่างต้องสิ้นชีพในเงื้อมมือของฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่า” พัดดี้เอ่ยปากพูดอย่างจริงจัง ระหว่างเจ้าหัวหอกได้ยึดกรงเล็บเท้าหลังแน่น จนหนังบวม ๆ ของเธอยุบตัวลงแบบน่าใจหาย เพราะมันกำลังยืดตัวขึ้น เพื่อสูดอากาศเตรียมปล่อยไฟลูกโต
“กรี๊ดดด...!!!”x4 ทำให้ฝั่งตรงข้ามหลายรายต้องตกใจกลัวเป็นอย่างมาก ถึงขนาดแหกปากร้องลั่นเชียวล่ะ
“อ๊ากกก...!!!” ตัดมาในโลกอันเวิ้งว้างอีกใบ [ความมืดมิด] กำลังร่ำร้องด้วยความเจ็บปวด
ตอนนี้เขาได้ถูกเหล่าโซ่ทองคำรวบทั่วร่างกลางเวหาไปซะแล้ว แขนขาตึงสุดเป็นรูปดาวห้าแฉก จนศีรษะเกือบแตกดังโพล่งดั่งลูกโป่ง ส่วนลำตัวตั้งฉากและอยู่สูงกับพื้นข้างล่างมาก ลมพายุเริ่มแผลงฤทธิ์เดชแล้ว ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง ท้องฟ้าก็ร้องกระหึ่ม อสุนีบาตคลั่งเลยกำลังประทุจากหมู่เมฆาเบื้องบน
เพราะสามง่ามด้ามหนึ่งเพิ่งแทงทะลุหน้าอกจากด้านหลัง มันเหนี่ยวนำให้ประจุลบผ่าลงมาย่างสดด้วย ก่อนปากจะถูกสายพันธนการขนาดเท่านิ้วหัวแม่เท้าคาดเอาไว้มิด โดยแต่ละข้อต่อเล็ก ๆ มีเงี่ยงตะของอกเงย เลยเสริมความเจ็บปวดตอนโดนบาดแถม
ดวงตาค้างเบิกกว้างมองดูปลายอาวุธสังหารผ่านช่องว่างระหว่างโซ่ตรวน ซึ่งคละคลุ้งไปด้วยอนุภาคทมิฬที่ทะลักออกจากบาดแผล แต่มันกลับเปล่งประกายแสงเจ็ดสีตลอดจึงแย่งซีนเด่นมา รูปลักษณ์ก็ปราณีตงดงาม เนื่องจากมีอักขระแห่งเทพเจ้าสลักอยู่ด้วย
“ความมืดมิดเอ๋ย! นี่มิใช่บทบาทที่ควรจะปรากฏในเรื่องราวนี้เลย” เส้นเสียงแสนเย็นยะเยือกได้ปรากฏขึ้นจากด้านหลัง ระยะเกือบข้างหูทีเดียว
“อู้อี้ ๆ ๆ ๆ” เขาเลยได้แต่ขัดขืนด้วยสำเนียงที่ไม่รู้ภาษา
(ข้าคับแค้นยิ่งนัก! นี่ผิดพลาดตรงไหนกันแน่?) พร้อมกับคิดในใจ ครั้นกระแสไฟฟ้าแรงสูงก็แล่นต่อตรงถึงสมอง ทั้งยังสปาร์คมิหยุดอยู่ข้างในนั้นแหละ ทำให้ [ความมืดมิด] ต้องเห็นภาพเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้วกลับคืนมา
“โฮกกก...!!!”x3 ตัวตนของพญามังกรสามเศียรจึงผุดขึ้นมา ณ ห้วงความคิดในเฉียบพลัน ขนาดตัวใหญ่เทียบเคียงคอนโดชุดสิบชั้น ทว่ามันกลับมีสภาพยับเยิน รอยแผลฉกรรจ์เต็มไปหมดแล้ว เขาเดียวงอกจากหน้าผากแต่ละหัวปานมงกุฎสูงศักดิ์ก็บกพร่องมิครบถ้วน
เกล็ดสีเงินหนาปกคลุมตามร่าง เงาจัดจนส่องแทนกระจกได้ มีปล้องเกราะแหลมตลอดช่วงตั้งแต่ท้ายทอยทั้งสามมารวมที่สันหลังและถึงหางยาว สี่ปีกกว้างเคยโบกสะบัดสง่างาม แต่กลับขาดกระรุ่งกระริ่ง สัตว์เวทย์โบราณตนนี้กำลังอ่อนล้าหนัก เพราะถูกรัดพันเอาไว้กลางอากาศอย่างแน่นหนา ด้วยเหล่าตะขอเกี่ยวที่ฝังเนื้อลึกให้โลหิตสีน้ำเงินหลั่งไหลเป็นทางกับลวดสลิงดำเส้นโต ๆ มากจำนวน
ครั้นมีผู้มาเยือนกลุ่มใหญ่เดินทางถึงที่โลกเวิ้งว้างอันมืดมิด โดยพวกเขาร่วงหล่นลงมาก่อนสักระยะ จากนั้นพอสามารถบินได้แล้ว เลยส่งเสียงยินดีเอะอะกันให้แซด มังกรร้ายเลยลืมตาสีฟ้าคริสตัลขึ้น ณ พลันที เมื่อรวบรวมกำลังกายเพียงพอ คอยาว ๆ ทั้งสามจึงฝืนตวัดและจ้องเขม็งด้วยความดุดัน เนื้อหนังที่โดนยึดอยู่ถึงกับถูกกระชากออกไปด้วย
“อ๊ากกก...!!!”x??? เหล่าดวงวิญญาณร่างโปร่งใสด้วยหลากหลายเผ่าพันธุ์ อาทิเช่น มนุษย์ เอลฟ์ คนแคระและอื่น ๆ ต้องตะโกนอย่างขี้หดตดหาย พวกเขารีบบินหนีตายสี่ทิศแปดทาง เพราะปากของเจ้าคิงกิโดราห์สีเงินอ้าออกกว้าง สามลำพระเพลิงฟ้าขาวก็พรวดพุ่งกวาดขึ้นมาในทันใด
“อา! ข้านี่ช่างแย่มาก ดันลืมจัดการกับอาหารมื้อนี้ไปซะได้” [ความมืดมิด] เลยต้องบ่นต่อตัวเอง ณ เบื้องบน ขณะเข้ามาทีหลังสุด เพราะแขกเหรื่อกึ่งหนึ่งถูกชำระล้างลงแล้ว ด้วยความเลินเล่อของเจ้าบ้าน เขาเป็นกลุ่มอนุภาคแห่งสสารมืดขุมหนึ่ง รัศมีมิคงที่ประมาณ 4-5 เมตร แก่นกลางเป็นจักรวาลขนาดหย่อม ๆ
“โฮกกก...!!!”x3 พอสังเกตเห็นโจทก์เก่าเข้า เจ้ามังกรร้ายจึงคำรามสุดเสียงและหันศีรษะมาด้านหลัง โดยชูลำคอเข้าใส่ร่างกายที่ยังถูกหน่วงเหนี่ยวอยู่ จากนั้นก็พ่นเปลวไฟมนตราแผดเผาตนเอง เพื่อทำลายการผนึกให้สูญสิ้นไป แม้ต้องแลกด้วยความเสียหายอันร้อนแรงก็ตาม
พอเป็นอิสระอีกครั้ง สี่ปีกกว้างจึงกระพืออย่างรุนแรง เพื่อทรงตัวกลางหาว เงี่ยงหนามที่หางแกร่งจึงกางออกและใช้ต่างศาสตราวุธ มันเปล่งไอมนตราสีฟ้าขาวออกมาไม่หยุด แล้วจึงฟาดเหวี่ยงด้วยความเกรี้ยวกราด คลื่นพลังงานคล้ายจันทร์เสี้ยวเลยเร่งพุ่งสู่ [ความมืดมิด] โดยมิรั้งรอ
“เบื่อพวกสัตว์เดรัจฉานจริง ๆ ไม่เคยจดจำอะไรเลย” เป้าหมายต้องเอ่ยปากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ครั้นการโจมตีขนาดมหึมาเพิ่งจะทะลุผ่านไปดื้อ ๆ เขาจึงต้องจำแลงกายเป็นรูปแบบมนุษย์ขึ้นมาในทันที