นิยายแฟนตาซีเรื่อง Conflict Before The Beginning มันเกิดก่อนเริ่ม [ตอนที่ 6 เทพแทรกแซง]

บทนำ     https://pantip.com/topic/39330773    ตอนที่ 1  https://pantip.com/topic/39331305
ตอนที่ 2  https://pantip.com/topic/39332020    ตอนที่ 3  https://pantip.com/topic/39333626
ตอนที่ 4 https://pantip.com/topic/39333762    ตอนที่ 5  https://pantip.com/topic/39336452 

         “ฮา ๆ ไม่ได้พบกันมาตั้งนานแล้วนะ สหายตัวดําปี๋ของข้า! ตั้งแต่ที่สภาแห่งเทพเจ้าเลยล่ะมั้ง?” ครั้น [ความอุตสาหะ] กำลังพุ่งฝ่าความืดเข้าหาผู้อยู่เบื้องบน หากแต่สุดก่งก๊ง ครั้นด้วยบินเฉไม่ตรงเอาซะเลย กว่าจะถูกทางได้เลยต้องเสียเวลาไปมิใช่น้อย 
         “อา! ปวดหัวมากจริง ๆ เลยนะ สงสัยจะยังแฮงค์ไม่หาย เพราะเจ้ามาขวางข้าไม่ให้ถอนต่อนั่นแหละ ความมืดมิดเอ๋ย!” เมื่อเข้ามาถึงระยะพอเหมาะแล้ว ท่านผู้นี้จึงเอ่ยตามประสามิตร ทว่าในมือกลับยังถือภาชนะซึ่งบรรจุของเหลวเมา ๆ อยู่สักค่อนขวด อีกข้างก็จับลูกงูสีดำที่ต้นคอซึ่งกำลังดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ด้วย
         “แด่สหายแห่งข้า เอื๊อก ๆ อืม! ของเบื้องล่างนี่ดีนะ มันยอดเยี่ยมรองจากนรกเท่านั้นเอง เจ้าว่าไหม? เอิ๊กกก...!!! ฮา ๆ ๆ ว่าแต่ท่านยังไม่เข็ดหลาบอีกรึ?” เมื่อสุราสองอึกใหญ่ ๆ ไหลลงคอไปแล้ว เขาจึงต้องสอบถามต่อ ซึ่งเหม็นหึ่งชะมัดเลย ก็จากไอเหล้าตามตัวและลมหายใจที่เรออย่างไร้มารยาท 
         “เป็นกับแกล้มดีนัก อะ! หวังว่าท่านคงมิโกรธเคืองข้านะ ของมันเคยคุ้นน่ะ” ต่อมาจึงดูดอสรพิษตัวน้อยที่ยังต่อสู้อยู่เข้าปาก ราวกับเป็นเส้นขนมจีน 
         “...” ทว่า [ความมืดมิด] กลับทำหน้าตายเป็นหลัก แถมยังต้องบี้จมูกของตนเอง เพื่อให้การสูดดมลดน้อยลง 
         “... ยอดเยี่ยมมาก ขนาดท่านถูกตักเตือนไปตั้งหลายรอบแล้ว ช่างกล้าหาญชาญชัยดีเหลือเกิน ฮา ๆ ๆ” เมื่อเห็นปฏิกิริยาเยี่ยงนี้เข้า [ความอุตสาหะ] เลยหัวเราะด้วยเสียงอันดัง 
         “ถึงขั้นแอบดึงวิญญาณของพวกเหลือขอเข้ามาในโลกของท่าน เพื่อมอบพรแห่งความมืดโดยมิให้ช้ำมิให้ขุ่นเยี่ยงนี้ อะไรจะเตรียมพร้อมดีเกินถึงขนาดนั้น ถ้าข้าไม่ได้เจอจริง ๆ กับตัว คงจะไม่เชื่อถือแน่ ๆ” พร้อมทั้งชมเชยอีกฝ่ายแบบต่อเนื่อง ถึงขั้นใช้มือข้างที่ว่างอยู่ตบหัวเข่าลั่น 
         [ความอุตสาหะ] มีรูปลักษณ์เป็นผู้ชายวัยสามสิบเศษ อารมณ์ดีมาก สูงประมาณ 2.1 เมตร ผิวทองแดงและหน้าคมดั่งชาวลาติน แต่ยังคงความไร้เดียสาเอาไว้ตามวัยกำดัด ร่างใหญ่โตเต็มไปด้วยรอยสักสไตล์แนว ๆ ทั้งยังบึกหนาราวกับนักเพาะกายมืออาชีพ ผมเผ้ายาวประบ่า กะหนวดเคราสั้น ๆ สีน้ำตาลทึมปนประกายทอง
         ด้วยสภาพมิใส่เสื้อท่อนบน เพื่อโชว์กล้ามเนื้อหน้าอกแน่นและขับเน้นพุงโลโต ๆ แต่กลับผูกเอาไว้ที่เอวแทน ด้วยผ้าคลุมขนนกสีขาว ทั้งยังแขวนเศียรโต ๆ ของอสูรดึกดำบรรพ์แถมมาด้วย ณ ข้าง ๆ น่ะ กางเกงขายาวซึ่งสวมอยู่คล้ายผ้ายีนส์รัดติ้ว แนวเซอร์ขาดกะรุ่งกะริ่ง เท้าหยาบใหญ่เปลือยเปล่า บนนิ้วมือปรากฏแหวนประดับอัญมณีหลายวง ลำคอมีสร้อยโซ่ข้อต่อใหญ่ ๆ อีกหลายเส้น ส่วนสีหน้าท่าที ณ ตอนนี้น่ะรึ? ก็ตาปรือเล็กน้อย เพราะกำลังกรึ่ม ๆ ทีเดียว 
         “ท่านเล่า? กลิ่นโชยฮึ่มเชียวนะ แต่นึกครึ้มมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันล่ะ?” [ความมืดมิด] จึงต้องชักสีหน้าใส่ในชั่วพริบตา จากนั้นเลยรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยความฉับไว 
         “หืม!” กระนั้นกลับนึกขึ้นถึงความเป็นไปได้หนึ่ง ทำให้เขาต้องใช้ฝ่ามือมาตบหน้าผากแรง ๆ ทันควัน
         “เริ่มปวดนิด ๆ แล้ว ที่นี่น่าจะมีโถเตรียมเอาไว้นะ อา! แย่จริงเชียว รู้สึกว่าจะอยู่เบื้องล่างนานไปหน่อย ข้าเลยติดนิสัยแบบนี้มาน่ะ” ซึ่งอีกฝ่ายกำลังหันซ้ายหันขวา เพื่อมองหาภาชนะรับรองเยี่ยวของตนเอง ต้นขาก็หนีบเข้าหากันเล็กน้อยแล้วด้วย
         “นี่หรือว่า? ท่านเพิ่งจะเข้าสิงร่างของชาวบ้าน เพื่อหาความสำราญอีกแล้วใช่ไหม? คงมันส์สุด ๆ ไปเลย ถึงได้โดนพลังของข้าดึงมาด้วยเนี่ย ถามจริง ๆ เถอะ ไม่อับอายบ้างรึไงกัน?” ดังนั้น [ความมืดมิด] จึง-ดันอีกฝ่ายตรง ๆ ด้วยแรงโทสะ เพราะในตอนนี้เขารู้สึกเคร่งเครียดมากกว่าเดิมตั้งหลายเท่า
         “เอื๊อก ๆ ๆ อะไร? ... อ้อ! นี่ข้าเป็นถึงตัวแทนแห่งความขยันขันแข็งเชียวนะ” เมื่อรู้ตัวว่าถูกถามอย่างจริงจัง [ความอุตสาหะ] จึงต้องใช้น้ำเสียงอันน่าภาคภูมิใจ 
         ชี้ใบหน้าของตนเองด้วย หลังจากกระดกสุราเข้าปากไปอีกหลาย ๆ กรึ๊บ พร้อมทั้งยังรีบลอยเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อใช้ฝ่ามือใหญ่ ๆ ปานไม้พายมาตบไหล่ของสหาย เร่าร้อนจัดจนไฟลุกพรึ่บทีเดียว [ความมืดมิด] ที่หลบมิพ้นเลยต้องตัวโยกตาม ถึงสองครากว่าดับสนิทลงได้ 
         “หึ ๆ จะพักเบรกสักปีทั้งที ต้องให้มันเอาจริงเอาจังสุด ๆ แบบนี้ เดี๋ยวข้าจะถูกกฏระเบียบสวรรค์แจ้งเตือนเอาได้” จากนั้น [ความอุตสาหะ] จึงกล่าวต่ออย่างเปี่ยมสุข รอยยิ้มจึงเบ่งบานดีราวกับดอกไม้พุ่มใหญ่จริง ๆ 
         “กรอด! รีบไสหัวไปจากโลกของข้า ที่แห่งนี้ไม่ได้มีเอาไว้ เพื่อเทพขี้เหล้าอย่างเจ้า” ก็พอสดับฟังจบ [ความมืดมิด] จึงเหลืออดสุด ๆ แล้ว เขาจึงยกมือเฉดหัวเพื่อนไปด้วย
         (ดูมันทำเข้าสิ ทั้ง ๆ ที่ข้ากำลังพยายามทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นนะเนี่ย) แถมยังแอบอิจฉาในใจ 
         “ฮะ! เจ้านั่นแหละที่บ้า ขืนข้าทำหน้าที่ตลอดเวลา ผู้คนก็คงจะขาดใจตายไปหมดแล้ว ฮา ๆ เวลาพักน่ะ ก็ต้องรู้จักใช้ด้วย เพราะชีวิตจำเป็นต้องมีสีสันกันบ้างยังไงล่ะ” [ความอุตสาหะ] ถึงกับต้องแบะปากพูดออกมา
         เหล่ารอยปูดสีขาวคล้ายเส้นเลือดจึงผุดขึ้นบนศีรษะโล้น ๆ ของ [ความมืดมิด] จะอนุมานว่ากำลังงอกเงย ตามเนื้อตัว เช่น หัวไหล่ ข้อศอก กำปั้นและอื่น ๆ หนามแหลมสีดำยาว ๆ แนวฮาร์ดคอร์ดต้องเริ่มโผล่ออกมาตามระดับแห่งความวิกฤต
         “เป็นอะไรไปล่ะ? อยู่ ๆ เขาก็โง้งซะได้ มา! เดี๋ยวข้าเจียดให้นะ เหม่งพอเหมาะให้ตบอีกแน่ ฮา ๆ” [ความอุตสาหะ] เลยรีบยื่นมือขึ้นลูบเศียรของอีกฝ่าย ส่วนเกินจึงต้องสลายเป็นขี้เถ้าตาม
         “ถือดีอย่างไรกัน? เจ้าเทพบ้าเอ้ย! จงเจอนี่ไปซะ การโทษทัณฑ์จากข้าผู้นี้” ฝ่าเท้าขวาของ [ความมืดมิด] เลยยันหน้าท้องของอีกฝ่ายอย่างหนักหน่วง พร้อมกับพูดไล่แขกกลับด้วยอารมณ์ที่เดือดดาล 
         “โอ๊ยยย...!!! เกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกเนี่ย?” หลังจากถูกเล่นงานแรง ๆ [ความอุตสาหะ] เลยต้องจุกเสียดไปซะแล้ว ลำตัวของเขาจึงต้องถดถอยและโค้งงออยู่สักพัก มือซึ่งกำลังใช้หิ้วขวดเหล้าเลยเข้าทาบทับตรงบริเวณหน้าท้อง ส่วนอีกด้านก็ยกขึ้นมาปิดปากด้วย เพราะเกือบจะอั้นอ้วกเอาไว้ไม่ไหวแล้ว
         “แค่ก ๆ ๆ เจ้าบ้าเอ้ย! อยู่ ๆ ก็ถีบส่งมาได้ ดีนะที่เป็นแค่ความรู้สึกปลอม ๆ ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตจริง ๆ ป่านนี้ปัสสาวะคงจะรดกางเกงไปแล้ว” นี่คือคำบ่นจัดของผู้โดนดี ด้วยสีหน้าพะอืดพะอมยิ่งนัก
         “เอาอีกสักทีไหมล่ะ? ฮะ! จะได้สำนึกกันไปเลย” [ความมืดมิด] จึงพูดข่มขวัญต่อ 
         “เออ ๆ ข้ายอมแพ้แล้วก็ได้ อารมณ์ของเจ้าจะขึ้นอะไรกันนักหนา? ใจเย็น ๆ ก่อนนะ” เมื่อปาดคราบน้ำลายเสร็จและเหลือบตามามองคู่กรณี [ความอุตสาหะ] จึงต้องรีบตกปากรับคำตามสถานการณ์บังคับ เพราะท่าทีของ [ความมืดมิด] ในตอนนี้เอาเรื่องมากนี่นา
         “เจ้าก็ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง รู้จักหาความสุขใส่ตัวซะบ้างเถอะ ไม่งั้นชีวิตจะมิสมดุลนะ สหายผู้ใจดำดั่งกายาเอ๋ย!” ผู้เสียหายจึงชี้หน้าจำเลยอย่างโกรธเคือง 
         “มันเป็นเรื่องของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์มาเกี่ยวข้องด้วย สนใจแต่ตัวเองไปเถอะ” [ความมืดมิด] เลยปิดโอกาสการปราศรัยต่อ พร้อมกับกอดอกแน่นเชิงเย่อหยิ่ง 
         “... เดี๋ยวให้เจ้านี่พูดได้รู้เรื่องก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาพบปะกันใหม่ เอื๊อก ๆ ในเร็ว ๆ นี้แหละ หึ ๆ ๆ” หลังจากมองดูอยู่สักระยะ [ความอุตสาหะ] จึงต้องกลับหลัง เพื่อแอบพึมพำลับ ๆ เบา ๆ มีการดื่มต่อให้แอลกอฮอล์ในเลือดเสถียรด้วยนะ เมื่อพลังเวทย์ของเขารักษาตัวถึงขั้นสมบูรณ์ 
         “งั้นก็ลาก่อนล่ะ เจ้าบ้าอำนาจเอ้ย! อะ! ...” แต่เมื่อเริ่มออกเดินทาง เขากลับหยุดไปดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่ยื่นมือแผ่พลังมนตราออกมาเรียบร้อยแล้วนะ จนเกิดรอยยับยู่ยี่บนอากาศ ครั้นลดลำแขนลง สภาพนี้จึงสูญสลายเป็นอนุภาคยิบย่อยในบัดดล
         “นี่จะเปิดประตูเอง? หรือจะให้แหวกมิติอันมืดมนของท่านออกไปแทนกันล่ะ? รีบ ๆ ตัดสินใจด้วยนะ ข้าอยากกลับไปสังสรรค์ต่อ ในตอนที่ยังมีอารมณ์อยู่” แล้วเขาจึงต้องรีบหันหน้ามาบอกกล่าว
         “...”
         “เร็ว ๆ เข้าสิ นี่ข้ารีบจะแย่อยู่แล้วนะ เห็นบ้างไหม?” พอเห็นว่าชักช้ามิทันใจ [ความอุตสาหะ] เลยเร่งรัดต่ออย่างเสียเซลฟ์มาก 
         “เอ้า! รีบออกไปซะ แล้วอย่าปากสว่างบอกเรื่องนี้กับใครล่ะ ไม่งั้น! ถึงเจ้าจะเป็นเพื่อนซี้ของข้า ก็ต้องรับผลกรรมที่ตามมาด้วยตนเอง” [ความมืดมิด] จึงมีน้ำโหขึ้นอีกรอบ แต่ต้องจัดการเปิดประตูมิติขึ้นตามคำร้อง โดยดีดนิ้วมีเสียงดัง แถมยังกำชับให้จอมเสเพลปกปิดการกระทำของตน
         “แบบนี้ยังไงล่ะ นี่ทำจริงแน่ ไม่ใช่แค่คำพูดเฉย ๆ นะ” เขาทำหน้าโหด เมื่อเสกเงื่อนสีดำเส้นใหญ่ ๆ ขึ้นมา แล้วผูกคอตายจริง ๆ เป็นเยี่ยงอย่างให้ทัศนากัน
         “นะ นี่ท่านเห็นข้าเป็นเทพเจ้าเยี่ยงไรกันแน่เนี่ย? เรื่องของสหายน่ะ ถึงจะต้องแตกดับ ก็มิปริปากบอกอะไรหรอกน่า รับรองได้เลย ฮา ๆ ๆ” พอยกมือขึ้นมาโบกไหว ๆ เพื่อปฏิเสธทันควัน [ความอุตสาหะ] จึงก้าวเข้าไปในช่องว่างและหายสาบสูญไปตามลู่ทาง
         “...”
         “เฮ้อออ...!!! แม้แต่พวกพ้องของข้าก็ยังทำตัวเหลวแหลก แล้วจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ไหมเนี่ย?” พอไปสักหนึ่งครู่ [ความมืดมิด] ถึงกับต้องถอนหายใจยาว ๆ มือทั้งสองข้างเลยพร้อมใจกันยกขึ้นมากุมศีรษะแน่น 
         “อืม! ไม่เลว นี่ก็พอช่วยได้นิดหน่อย” จากนั้นเขาก็นวดขมับต่อสักระยะหนึ่งเลยทีเดียว 
         “หวังว่าพวกเขาคงไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมกันนะ” เมื่อเพ่งไปมองดูผู้ที่เบื้องหลัง ซึ่งได้ผ่านพ้นความยากลำบากมาแล้ว สีสันในร่างวิญญาณเริ่มกลับมา สีหน้าท่าทีดูสดใสมากทีเดียว
         “...” ครั้นเมื่อภารกิจครั้งนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว 
         “ฮึบ! ยื่นมือต่อ ๆ ให้แน่น ๆ นะ เดี๋ยวข้าจะเบิกทางก่อนเอง แล้วพวกเจ้าค่อย ๆ หย่อนตัวตามลงมาทีละคน ระวังตัวด้วย/ฝ่ายที่ดูอย่างเดียวน่ะ ก็ส่งกำลังใจเข้าไปเยอะ ๆ ซะ แต่หลีกหน่อยเถอะ มันเกะกะการทำงาน/แข็งใจกันต่อเถิด เกือบได้เรื่องอยู่แล้ว เอาล่ะ ฮุยเลฮุย ๆ ๆ/ฮาาา...!!! คราวนี้แหละ เอาจริงทั้งหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ จะไม่ยอมพ่ายแพ้ให้กับอะไรอีกแน่/ฯลฯ” 
         นิมิตดี ๆ เรื่องราวหนึ่งเลยบังเกิดขึ้นมาภายใต้จิตสำนึกของ [ความมืดมิด] เนื้อหาก็มีอยู่ว่าพวกเขากำลังร่วมแรงร่วมใจกัน เพื่ออะไรสักอย่างที่สำคัญมาก ณ โลกแห่งนี้ ครั้นสภาพจิตใจของแต่ละรายประสานเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ทำให้คนดูพลอยฮึกเหิมและต้องกระทำตามอย่าง
         “ซ่าาา...!!! ...” แต่พอระบบป้องกันเริ่มทำการต่อต้านแล้ว ทำให้ภาพดี ๆ ต้องแตกซ่านลงทีละพิกเซลและเลือนหายไปในที่สุด
         “... ความฝันยังงั้นรึ? นี่ก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เจ้านั่นจะมาอวยพรให้ข้าได้อย่างไรเล่า? ดูท่าคงจะเคร่งเครียดเกินไปหน่อยแล้ว” มือซ้ายของ [ความมืดมิด] เลยต้องยกขึ้นเกาศีรษะสักสามครา พร้อมทั้งสีหน้ากับรอยยิ้มเจื่อน ๆ ที่ปรากฏขึ้นตามอย่างเข้าขากันเอง
         “นี่ข้าหวังสูงเกินไปหรือเปล่า? ก็เจ้าพวกนี้น่ะ ยิ่งเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้อยู่ซะด้วยสิ” กระนั้นคำถามเดิมก็วนเวียนกลับมาใหม่อีกรอบ เนื่องจากเขากำลังจะปลดปล่อยทั้งหมด เพื่อกลับคืนสู่ความเป็นจริง
         “...”
         “ฮึ่มมม...!!! นี่มันบ้าไปแล้ว ตาของข้าไม่ได้ฝาดอยู่ใช่ไหมเนี่ย?” แต่ [ความมืดมิด] กลับต้องรู้สึกคาดไม่ถึงเต็ม ๆ ครั้นผ่านอีกช่วงครู่ เมื่อมองมารอบ ๆ ข้าง เพราะมรสุมแห่งความสิ้นหวังก็กำลังตั้งเค้าอยู่หลัด ๆ เพื่อจะถล่มเข้าใส่อย่างมืดฟ้ามัวดิน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่