นิยายแฟนตาซีเรื่อง Conflict Before The Beginning มันเกิดก่อนเริ่ม [ตอนที่ 4 วิถีที่แตกต่าง]

บทนำ     https://pantip.com/topic/39330773    ตอนที่ 1  https://pantip.com/topic/39331305
ตอนที่ 2  https://pantip.com/topic/39332020    ตอนที่ 3  https://pantip.com/topic/39333626

         “โอ้! ท่านเพียวดาร์ก เทพเจ้าแห่งความมืดผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดสงสารประทานพรให้ด้วยเถิด พวกข้าล้วนโง่งมนักที่มิเชื่อถือในคำพยากรณ์ พอมารู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว หากมิอาจรอดพ้นจากมหาภัยคราวนี้ คงจะสูญสิ้นทุกเผ่าพันธุ์เป็นแน่แท้” ผู้นำนักบวชของคณะมากเชื้อสายกำลังคุกเข่าวิงวอนสุดชีวิต ณ แถวหน้าภายในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์
         “ตึง! ๆ ๆ ๆ ... ๆ” ถึงขั้นต้องโขกศีรษะกับพื้นไม่นับถ้วน หน้าผากเลยเลือดไหลซิบ เพื่อแสดงความจริงใจ จากนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้น เพื่อใช้ส่งสายตาน่าเวทนาแด่พระผู้ช่วย
         “ความเอื้อเฟื้อของท่านจะถูกเล่าขานไปชั่วกัลปาวสาน ขอสาบานจากแก่นแท้ของดวงวิญญาณ ว่าจะเป็นเหล่าทาสทุก ๆ ชาติไป หากประสงค์ในสิ่งใด ขอเพียงแค่เอ่ยปากบอก พวกข้าก็สรรหามาสังเวยให้ทุก ๆ อย่างด้วยความซื่อสัตย์ภักดีไม่เสื่อมคลาย” คนอื่น ๆ จึงอ้อนวอนพร้อม ๆ กันด้วยเสียงกังวาน 
         “อืมมม...!!! ว่ายังไงดีนะ? ฮา ๆ มันไม่ใช่บทบาทที่สมควรกระทำเลย” อีกฝ่ายในรูปแบบกึ่งมนุษย์กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์สีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งยกระดับขึ้นจากพื้น สองฟากฝั่งมีสตรีสาวสะคราญในชุดบางเบากำลังโบกพัดขนนกก้านยาว ๆ ไปมา 
         “อ้ามมม...!!!” โดยเขาอ้าปากกว้าง ๆ ให้เด็กหญิงโลลิที่นั่งอยู่บนตักป้อนองุ่นผลึกม่วงพวงหนึ่ง แล้วเคี้ยว ๆ สักประเดี๋ยว ก่อนจะกลืนกินลง
         “... ฮึ่ม! อย่ามาเนียนจัด แล้วอุตริตั้งนามให้ดื้อ ๆ กันเช่นนี้นะ นี่มันคือการละเมิดเบื้องสูงขั้นร้ายแรงแล้วชัด ๆ อยากพังพินาศกันมากนักใช่ไหม?” ทว่ากลับบันดาลโทสะขึ้นมา เลยต้องบีบที่เท้าแขนให้แหลกลาญ พร้อมกับผุดลุกขึ้นทันที ทำให้เด็กหญิงต้องก้นกระทบกับขั้นบันไดสูงชัน ทั้งยังกลิ้งลงมาอย่างน่าสงสาร
         “ได้! เดี๋ยวข้าจะเป็นคนลงทัณฑ์พวกเจ้าเอง” พื้นที่รอบ ๆ จึงสิ้นแสงสว่างลงอย่างกะทันหัน ผู้ให้บริการต่างโดนพลังอันเกรี้ยวกราดดีดเข้าหาฝูงชน เสื้อผ้าขาดกระจายทีเดียว
         “ทะ ท่านเทพเจ้า! กะ กรุณาลดเพลิงพิโรธลงด้วยเถิด ทะ ที่บังอาจกระทำไป ก็เพราะมีแรงศรัทธามากเกินเท่านั้นเอง พวกข้ามิกล้าจะประพฤติตนเยี่ยงนี้อีกแล้ว” หัวหน้ากลุ่มเลยมีสีหน้าซีดเซียวแวบหนึ่ง พอปั้นอารมณ์ได้ใหม่ เขาก็รีบประจบต่อด้วยความใสซื่อ
         “เมื่อสัมผัสกับรัศมีอันยิ่งใหญ่ เลยทำให้เผลอใจไปชั่วครู่ จนพลั้งปากกล่าวเรื่องที่มิควรแตะต้อง อา! บาปนี้หนาหนักเหลือเกิน เพื่อชดเชยความผิดพลาดครั้งที่แล้ว ๆ มา พวกข้าจะอบรมวินัยกันใหม่หมดอีกรอบหนึ่ง โอ้! ได้โปรดสงสารและกรุณาเปิดทางถอยด้วยเถิด” รองหัวหน้าที่เป็นนักบวชหญิงกล่าวเสริมด้วยความสง่างาม เธอคุกเข่าเยื้องอยู่ข้างหลัง 
         “ฮึ่ม! ไม่ต้องพูดดีเข้าตัวเลยนะ พวกเจ้าก็เอ่ยคำสรรเสริญเยี่ยงนี้แด่เทพเจ้าทุก ๆ องค์ที่ฝืนกฎเกณฑ์อัญเชิญมานั่นแหละ หาใช่มีแต่ข้าเพียงผู้เดียวไม่” [ความมืดมิด] เลยกวาดแขนออกด้านข้างอย่างเสียอารมณ์ คลื่นพลังสีดำทะมึนแผ่พุ่งแนวระนาบเข้าหาเหล่าผู้ร้องขอ พวกเขาเลยกระเด็นกันทั้งแถบ
         “ทีนี้จะมาเล่นลิ้นอะไรอีกล่ะ? ฮะ! ข้ามิหลงกลลูกไม้กระจอก ๆ หรอกน่า” การตะคอกเสียงดังจึงปรากฏขึ้นตาม เพื่อเยาะเย้ยอีกฝ่าย 
         “ท่านเทพเจ้า!” ซึ่งพวกเขาเร่งกุลีกุจอประคองร่างสู่ท่วงท่าเดิม
         “มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก หึ ๆ แต่ขอให้โชคดีก็แล้วกัน ถ้าสบโอกาสได้เสวนากันใหม่อีกครั้งนะ? ฮา ๆ ๆ” [ความมืดมิด] จึงตัดบทลงดื้อ ๆ พร้อมกับใช้หางตาเหลือบสูงจากเบื้องสูงอย่างเหยียดหยาม มือไม้เลยอวยพรด้วยนิ้วกลางแนว ๆ คู่หนึ่ง ครั้นจะก้าวเข้าสู่ประตูมิติเบื้องหลังบัลลังก์นั่นเอง มันเป็นกระจกหลากหลายสีสันบานใหญ่ ๆ 
         “ในอดีตกาล ท่านก็ประพฤติตนดีนี่นา เป็นแบบอย่างยอดเยี่ยมของพวกเรา เหล่าเทพเจ้า! ทำไมถึงเลือกกระทำการเยี่ยงนี้เล่า? ความมืดมิดเอ๋ย!” ครั้นข้ามเวลามาสู่ช่วงปัจจุบันแล้ว ตอนนี้มีแต่เสียงร้องอู้อี้ของผู้ถูกจองจำ [ความเร้นลับ] เลยอดกล่าวออกมาจากเบื้องหลังมิได้ ขณะที่กำลังประสานร่างไปด้วยกันกว่า 50% ของทั้งร่างผ่านสายโซ่ทองคำ เพื่อขโมยพลังเวทมนต์
         เขาคือกลุ่มก้อนพลังงานที่ยิ่งใหญ่ มีก๊าซสีรุ้งเป็นแก่นสาร บัดนี้กำลังคงร่างรูปแบบมนุษย์ครึ่งท่อน สองมือปรากฏ แต่กลับมิมีสองเท้า โดยแผ่รยางค์แห่งแสงสายยาว ๆ แทนให้สะบัดไปทั่ว หน้ากากโอเปร่าสีขาวที่จมูกแหลม ๆ พาดอยู่บนใบหน้า ลวดลายพิสดารอันปรับเปลี่ยนได้ถูกจารึกเอาไว้ด้วย เพราะใช้บ่งบอกอารมณ์
         “...”
         (ข้าถึงได้เสียใจภายหลังมาตลอดยังไงล่ะ) ความมืดมิดที่ถูกพันธนาการแน่นนึกในใจ ขณะนี้เขาเริ่มจะอ่อนเปลี้ย 
         แขนทั้งสองข้างโดนจับกางออกคนละด้าน ถึงพยายามอาละวาดแทบตาย กระนั้นเหล่าโซ่ทองคำก็ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย พอบังคับร่างกายให้มีหมุดหนามแหลมคมโผล่ออกมาจากภายในทั่ว ๆ กลับไม่อาจทะลวงผ่านไปสัมผัสอากาศได้เลย แถมยังมิสามารถเปล่งพลังแข็งขืนด้วย
         “โธ่! ท่านจะให้โอกาสกลับตัวต่อพวกมันไปทำไมกัน? กับพวกบัดซบเยี่ยงนี้น่ะ ฮา ๆ” จู่ ๆ ก็มีเสียงร่าเริงแทรกเข้ามา ณ เบื้องหน้า โดยมีจอภาพกรอบหลากหลายปรากฏขึ้นแบบฉับพลัน นี่เป็นมอนิเตอร์วงรีซึ่งเลยซ้ายไปนิดหน่อย
         “แกร๊ก!” ครั้นคำ-ดันกระทบโสตประสาท [ความมืดมิด] ก็ต้องของขึ้นทันที 
         เรี่ยวแรงมหาศาลถึงกับกำเนิดออกมาเอง จนสามารถใช้ฟันขาวภายในปากกัดสายโซ่ที่คาดอยู่ขาดสะบั้นได้ จากนั้นก็กระชากปลายและเขมือบลงสู่ท้อง เพื่อฟื้นฟูกำลังบ้าง แรงสูดรุนแรงจัด ทำให้เส้นอื่น ๆ ซึ่งรัดพัดรอบศีรษะถูกดูดเข้าช่องลำคอไปด้วย
         “ย๊ากกก...!!! ทำไมกันล่ะ? ถึงได้มิลงมือจัดการกับสิ่งใดเลย แล้วการคงอยู่ของเทพเจ้าอย่างพวกเรา มันจะมีความหมายอะไรเล่า? หากปล่อยเอาไว้เยี่ยงนี้น่ะ” พอความสามารถด้านการสื่อสารกลับคืน เขาจึงตะโกนลั่นด้วยความห้าวหาญ สีหน้าก็จริงจังถึงสุดขีด
         “เจ้าด้วย ความอุตสาหะ ไอ้เทพขี้เหล้าจอมสับปลับเอ้ย! กล้าดียังไง? ถึงได้มาคืนคำต่อข้า” จากนั้นจึงต้องจับจ้องบุคคลในจอภาพเขม็ง เนื่องจากโมโหมาก ส่วนอันนอกเหนือก็ยังดำมืดซ่า ๆ อยู่
         “ฮา ๆ อาจจะไม่น่าเชื่อก็ได้ แต่ขอบอกเอาไว้ก่อนนะ ว่าเรื่องราวหนนี้ ข้ามิได้เป็นคนเริ่มต้น” ทำให้ [ความอุตสาหะ] ถึงกับหัวเราะเฮฮาออกมา 
         “ฮึ่ม! น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะ ก็ได้แต่หลอกลวงผู้อื่นไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ” [ความมืดมิด] เลยต้องตะคอกกลับอย่างเดือดดาลจริง ๆ ในเวลานี้เอง จอภาพรอบ ๆ ด้านจึงเปิดพรึ่บพร้อมกันทันที
         ในขณะนั้นเอง ณ ที่ราบลุ่มริมแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ณ ยามค่ำคืน สายลมพัดเอื่อย ๆ ทำให้ยอดหญ้ากระดิกตามอยู่บ้าง แต่ก็เย็นสบายพอดี เพราะใกล้แหล่งอุปโภคหลัก ซึ่งปกติเหล่าสัตว์เวทย์ต่างชักชวนพวกพ้องพามาดื่มกินกันเป็นกิจวัตรประจำวัน
         “นี่มาดิช น่าจะจับเจ้าอูปาไปฝึกล่าเหยื่อใหม่ เอาแบบเดิมน่ะ ข้าอยากเห็นอะไรที่ตรงประเด็นหน่อย” ดิวทราหันหน้าและเอ่ยปากบ่นขึ้นค่อย ๆ แฟรี่ผู้มีปีกวิหคกำลังทำท่าหมอบต่ำ สองมือซึ่งข้อศอกยันกับพื้นก็ถือยอดไม้เล็ก ๆ มาบดบังศีรษะ เพื่ออำพรางตัว แสงจากจันทร์เสี้ยวบนฟ้านั้นอ่อนเกิน ทำให้การแอบซ่อนที่โหลยโท่ยเป็นผลสำเร็จ
         “แบบนี้แหละ ดีแล้ว ดิวทรา เจ้าก็น่าจะรับรู้ได้นี่นา ว่ามันคือวิถีแห่งไอนากะ” มาดิชก็ตอบโต้เบา ๆ เมื่อนอนคว่ำหน้าอยู่ข้าง ๆ คู่หูตัวน้อย หากแต่หลบภายในพุ่มไม้รกชัน ดวงตาได้เพ่งมองไปในทิศทางเดียวกัน โดยพิกัดไม่ห่างไกลจากแม่น้ำเท่าไรนัก 
         “มู!” ตำแหน่งที่สอดแนมกลับปรากฏแรดมีปีกกำลังต่อสู้กับศัตรูอย่างป่าเถื่อน บริเวณริมฝั่งระหว่างที่ดื่มน้ำแก้กระหาย เมื่อวิ่งย่ำน้ำพุ่งมาชนพลาดในย่านได้เปรียบของอีกฝ่าย มันจึงรีบโบยบินหนีบนฟ้าทันที
         นอมันก้าคือชื่อเรียกของสปีชีส์นี้ มีสี่ดวงตาเรียวใส ข้างละสองติดกัน นอใหญ่ประดุจหอกอัศวินขี่ม้า หนังทั่วร่างตัน ๆ หนามาก ลำตัวช่วงหน้าใหญ่และโหนกสูง กลางหลังมีปีกเล็กจิ๋ว คู่นี้กระพือได้แค่พักหนึ่งเลยบินได้ระยะสั้นเท่านั้น ตัวที่กำลังโดนจับตาสีเผือก ขนาดเกือบสามเมตร 
         “ก๊ากกก...!!!” ส่วนอริร้ายกำลังใช้ขากรรไกรอันแข็งแกร่งงาบช่วงคอเหยื่ออย่างจัง เพื่อฉุดลากลงแม่น้ำไปเป็นอาหาร เจ้าอัลลิเกเตอร์นั่นเอง 
เผ่าพันธุ์ของเจ้านี่มีนามว่าเจตโก้ดา ช่วงคอยาวจึงสะบัดได้รุนแรง ลำตัวเขื่องกว่า 5 เมตร ขาตีนเป็ดทั้งหกดีดขึ้นจากดินเลนใต้น้ำ เพื่อทะยานตามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ข้างหน้าสองคู่ ด้านหลังตามปกติ เงี่ยงกลางหลังสุดโดดเด่น จนคล้ายครีบฉลามเวลาว่ายที่ผิวน้ำ 
         ครั้นแรดเผือกถูกเหวี่ยงลงในน้ำตื้นอย่างดุดัน อัลลิเกเตอร์มากชั้นเชิงได้เบี่ยงตัวและฟาดหางขึ้นฟ้าเสริม เพื่อสร้างแรงเหวี่ยงตัวมาจับทุ่มเหยื่ออีกรอบหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ฟันแหลมเป็นตับยังล็อคลำคอของอีกฝ่ายอยู่เลย ทำให้เกิดความเสียหายยิ่งยวด นอมันก้าตนนี้ถึงกับร้องด้วยความเจ็บปวด ทว่ากระดูกสันหลังโดนบิดหัก มันเลยเสียท่าลง ขณะที่กำลังถูกกระชากออกจากริมฝั่งไปเรื่อย ๆ แล้ว
         “ก๊ากกก...!!!” ในตอนนั้นเอง หัวของอูปากิ้งก่ายักษ์ก็โผล่พรวดขึ้นมาจากผืนน้ำ เพื่อจู่โจมทีเผลอด้วยขนาดพอ ๆ กัน ปากอันใหญ่โตได้บุกเข้าขย้ำเจ้าเจตโก้ดาแล้ว ช่วงคอที่มันกำลังลากเหยื่ออยู่นั่นเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่