นิยายแฟนตาซีเรื่อง Conflict Before The Beginning มันเกิดก่อนเริ่ม [ตอนที่ 2 ตรอกน้อยย่านนางโลม]

บทนำ     https://pantip.com/topic/39330773    
ตอนที่ 1  https://pantip.com/topic/39331305

         “อา! เหม็นไอเหล้านัก” มีศีรษะเล็ก ๆ โผล่ออกมาจากเคราสีขาวที่รกรุงรัง ซึ่งจัดเตรียมให้เป็นรังนกกลาย ๆ ท่ามกลางความมืดสลัว ณ ยามค่ำคืนที่มีเฉพาะแสงไฟในถนนเส้นหลักซึ่งห่างไกลพอสมควร
         ขนาดเศียรใหญ่กว่านิ้วโป้งอยู่หน่อย เส้นผมเป็นสีเขียวเข้มเห็นได้ก่อน ตามมาด้วยดวงตาครามคู่หนึ่งและใบหน้าจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู ผิวขาวโปร่งแสง หูยาว ๆ แบบเอลฟ์ซึ่งข้างซ้ายแหว่งหายไปเล็กน้อย ทว่ามีห่วงสีทองเจาะเอาไว้แก้ขัด โดยเหลือบมองซ้ายมองขวาก่อน เพื่อดูว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยหรือไม่?
          “คร๊อกกก...!!! ๆ ๆ ๆ ... ๆ” แต่เพื่อนผู้ชราใต้ร่างน้อยยังคงนอนกรนอย่างหนักข้าง ๆ ถังขยะอยู่เลย สถานที่นี้เป็นตรอกแคบ ๆ แนบระหว่างสิ่งปลูกสร้างสูงเท่าตึกสามชั้น ในย่านโคมแดงซึ่งมีผับสังสรรค์และร้านร่วมประเวณีกันทั้งแถบ
          “มาดิช สหายของข้าเอ๋ย! เจ้านี่ช่างเหลวแหลกจริง ๆ” ภูตตัวเล็กหันหลังมามองผู้นิทรารมณ์ แล้วก็ต้องส่ายหน้า ไปรอบหนึ่ง เมื่อผุดขึ้นทั้งตัวและสยายปีกออก เพื่อบินเหนือที่มาแค่คืบเดียว จึงสามารถเห็นว่าเป็นแฟรี่ตนหนึ่ง 
         “รีบได้สติสักทีสิ ข้าจะทนไม่ไหวแล้วนะ” เขาลอยเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อเตะปลายคางของอีกฝ่ายแบบเต็มข้อ
         ด้วยรูปกายมิสามารถระบุเพศได้ ร่างเพรียวบาง สูงแค่ 12 เซนติเมตร ทรงผมยาวตรงซึ่งรวบเอาไว้กลางหลัง สวมใส่ชุดทอจากเนื้อเยื่อไม้โทนทึบ ๆ เสื้อคอวีเว้าลึกแขนย้วนและกางเกงขากุด ใช้รากหนามแทนสันปก ตะเข็ดและเข็มขัด เท้าเปลือยเปล่า ทว่าปีกกลับเป็นของปักษาสีสันดั่งน้ำทะเล
         “อา! ดิวทรา ขอข้างีบต่ออีกสักพักน่า ฟู่! ห้ามเพิ่งมารบกวนตอนนี้” เฒ่าผู้นอนหลังอิงฝาถังขยะและเหยียดขาทั้งสองข้างจนสุดรีบกล่าวขึ้น มือว่าจะปัดแทนไม้ตีแมลงวัน แต่ก็ไม่ โดยเป่าลมหายใจแรง ๆ แทนซึ่งมีกลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งรมใส่อีกฝ่ายเป็นการแก้เผ็ด
         “มาดิช! ปากของเจ้าสะอาดพอ ๆ กับถังขยะเบื้องหลังเลยนะ ข้าแทบจะคลื่นเหียนเชียวล่ะ” ดิวทราถึงกับต้องนำมือขวาขึ้นมาบี้จมูก หลังจากที่ร่างต้องปลิวออกไปในระยะสั้น  
         มาดิชเป็นชายชราร่างใหญ่ สูง 1.9 เมตรเข้าไปแล้ว ผมเผ้าที่ไว้ทรงเดดล็อกชี้ทั้งหัว คิ้วหนาและเคราแนวเซอร์สุด ๆ ก็ยาวเฟื้อยเช่นกัน สีเฉดเดียวกับผิวกายหยาบ ริ้วรอยตามใบหน้าแสดงว่าผ่านพ้นความรันทดมาเยอะแน่ หูใหญ่ซึ่งติ่งย้อยยานจนถึงหัวไหล่ ดวงตาสีดำล้ำลึก เขาแต่งกายด้วยชุดชาวเผ่าพื้นเมืองอันมีเอกลักษณ์สูงสุดแห่งทิศเหนือ กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลย นอกจากพวกเดียวกัน
         “... ชิ! ความผิดพลาดช่วงชีวิต เมื่อหลายสิบปีก่อน ข้าไม่น่าทำสัญญาโลหิตกับเจ้านี่เลย” ภูตน้อยได้แต่ทำสีหน้าห่อเหี่ยวใจ คอจึงต้องตกตามไปด้วย จากนั้นจึงร่ายมนตราใส่ตนเอง จนประกายสีเขียวฟุ้งทั่วร่างกาย เพื่อป้องกันกลิ่นโสโครกติดตัว
         “หืม! แย่แล้ว” แต่อยู่ ๆ ดิวทราก็เร่งบินกลับ เพื่อมุดเข้าไปซ่อนในพุ่มเคราขาวทันที
         “...” 
         “โอ้! เจ้าเองรึเนี่ย? มาได้ยังไงล่ะ?” มาดิชก็ต้องลืมตาขึ้นและเปล่งพลังเวทย์ออกมาทางเนตรอย่างกะทันหัน ณ ท่วงท่าเดิม แต่สีหน้าเปลี่ยนแปลงเป็นคนละเรื่องทีเดียว
         “... ท่านมาดิช! เพราะอะไรกัน?” เบื้องขวาของเขาซึ่งเป็นหัวมุม ณ ซอยแยกพลันปรากฏสำเนียงไถ่ถามขึ้น มันเปล่งมาจากร่างเงาหนึ่งที่กำลังยืนเยื้องกำแพงและหลบอยู่ภายใน
         “ฮา ๆ ไม่พานพบกันมา 10 กว่าปี นี่เป็นคำถามแรกที่เจ้าเอ่ยถึงหรือ? จิตใจช่างจืดจางนัก” เขาเลยต้องหัวเราะอย่างขบขัน เพราะคำนึงถึงความสัมพันธ์เก่า ๆ ขณะที่ดิวทราซึ่งกำลังหลบภัยอยู่ได้เอามืออังใบหู เพื่อรับฟังทุกรายละเอียด
         “... พอเถอะ นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว ทำไมท่านถึงต้องปล่อยข่าวเยี่ยงนี้? ข้าต้องการรู้เพียงแค่นั้น” ร่างเงากล่าวด้วยเสียงอันเย็นชา มือของเขาบีบสันกำแพง จนส่วนที่โดนกระทำแหลกเป็นผงธุลี
         “เรื่องนี้น่ะ ในเมื่อก็รู้ดีอยู่แล้ว ยังจะมาไต่ถามอันใดอีก ความคิดของข้า มันเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลงนั่นแหละ ทว่าเจ้าสิ ที่ไม่เหมือนแต่เก่าก่อน อา! ช่างน่าสงสารฟาลารี่จริง ๆ” มาดิชเอ่ยปากพูดอย่างเศร้า ๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นฟ้าอย่างมากอารมณ์
         “อย่าเอ่ยถึงมารดาของข้านะ ท่านจะล้ำเส้นเกินไปแล้ว” ทำให้เสียงของร่างเงาเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารในทันใด
         ณ จังหวะนั้นเอง ห้าวงเวทย์โบราณก็ปรากฏขึ้นภายในตรอกน้อยอย่างกระจัดกระจาย สีเงินสาดแสงให้เด่นชัด โดยสองอันประกบชายชราอยู่สักระยะ ซ้ายกะขวา เพื่อปิดเส้นทางหลบหนี อีกหนึ่งที่หัวมุมซอยแยก เยื้องขึ้นไปประมาณ 5 เมตร ทางขวามือมีตรงกำแพงด้านข้าง ฝั่งตรงข้ามเลื่อนลงมาหน่อยก็กำเนิดตามด้วย
         สิ่งที่อัญเชิญออกมาเป็นก้อนของเหลวสีดำ คล้ายสไลม์ แต่โหดเหี้ยมกว่า ร่างใหญ่สักสองเมตร เนตรดวงเดียวโต ๆ ลืมแนวตั้งฉากกับตัว นัยน์ตาสีแดงส่องแสงภายในความมืด ขอบมีเขี้ยวโง้งรายล้อมรอบซึ่งยาวโค้งราว 2 ฟุต รยางค์มากสายยื่นออกมาเต็มไปหมด ขนาดเท่าแขนผู้ใหญ่ ส่วนปลายปานมือจับ ในขณะนี้ส่วนหนึ่งได้จิกรั้งพื้นสัมผัสสุดกำลัง เพราะเตรียมจะบุกเข้าขย้ำอีกฝ่าย 
         “เฮ้อออ...!!! เจ้ากล้าแข็งแล้วนะเนี่ย ถึงได้ชดเชยบุญคุณกับข้าเยี่ยงนี้” มาดิชต้องถอนหายใจยาว ๆ พร้อมกับใช้หางตาเหล่ดูตำแหน่งซ่อนกายของฝั่งตรงข้าม แล้วเขาก็ควักแส้อ่อนยาว ซึ่งสร้างด้วยใยทองเหลืองสานออกมาจากข้างเอวซ้าย เพื่อต่อสู้กันสักตั้ง
         “กี๊...!!!”x4 ทำให้อสูรร้ายสี่ตนพุ่งเข้ามาใส่เป็นปฏิกิริยาตอบสนอง อีกตัวที่ยังนิ่งเฉยอยู่ เพราะปกปักความปลอดภัยของผู้ร่ายคาถา 
         แส้อ่อนของมาดิชหมุนเป็นหลายวงด้วยความเร็วสูง เพื่อไปฟาดคู่ถังขยะเหล็ก พวกมันสูงประมาณ 1 เมตร ซึ่งเขากำลังเอนหลังอยู่ให้กระเด็นกระดอนขึ้น โดยควบคุมปลายอาวุธเข้าคว้าจับใบหนึ่ง เพื่อเหวี่ยงใส่เจ้าอสูรร้ายทางขวามือ แล้วก็ตวัดกลับไปหาวัตถุอันที่สอง ขณะกำลังลอยกระเท่เร่ เมื่อโดนเฆี่ยนตรงฐานคราหนึ่ง มันจึงพุ่งสู่เบื้องบนทันที
         “กี๊...!!!” เจ้าอสูรทางขวามือซึ่งกระโจนเข้ามาถูกถังขยะใบแรกปะทะชนอย่างจัง ณ กลางอากาศ 
ของเสียภายในเลยทะลักขึ้นฟ้าตามไปด้วย มันเลยต้องลอยถอยไปช่วงหนึ่งทีเดียว กว่าจะตกลงบนพื้น ส่วนเป้าหมายอีกตนได้หลบเลี่ยงการโจมตีด้วยถังเหล็กที่เร่งหมุนคว้างพ้น เมื่อแขนรยางค์แกว่งไกวไปโดนกำแพง เพื่อเปลี่ยนแนวตกกระทบอย่างกะทันหัน
         ครั้นมาดิชเด้งร่างขึ้นมากลางหาว โดยใช้มือที่ว่างตบเบื้องล่างเต็มกำลัง แล้วจัดท่าให้นอนหงายหนุนแขนดั่งเดิม แส้อ่อนถูกหวดออกไปทางซ้าย เพื่อผนึกเจ้าอสูรตำแหน่งนั้นเอาไว้ได้พอดี มันวิ่งเลียบพื้นด้วยความมุทะลุดุดัน เขี้ยวโง้งกางสุดปานกระดูกซี่โครงอ้าและกำลังจะเข้าประชิดอยู่แล้ว 
         “เจ้าคงจะเหงา เดี๋ยวข้าจะพาไปหาเพื่อนให้ ฮา ๆ” พอรัดพันเรียบร้อย เขาจึงเร่งตวัดมันขึ้นบน เพื่อให้สกัดกั้นตนที่หลีกได้ เมื่อประสานงากันแล้ว พวกมันก็ดีดไปทิศตรงกันข้าม เข้ากะออกในตรอกน้อย
         “กี๊...!!!” ตอนนี้จึงมีแต่อสูรร้ายด้านบนอีกตัวที่ฝ่าการป้องกันของมาดิชมาได้ มันพุ่งลงมาเฉียง ๆ ทางขวามือ รยางค์แขนทุกเส้นทั่วร่างได้ม้วนเข้าตะครุบเหยื่อ ขณะที่เขามิได้มีมาตรการรับมืออะไรเลย 
         “เมล็ดพันธุ์ที่ข้าเฝ้าฟูมฟักเอ้ย! จงเติบโตเป็นแมกไม้ใหญ่ด้วยเถิด” ถึงคราวที่ดิวทราต้องออกโรงแล้ว เขาผุดร่างท่อนบนออกมาจากเคราขาว เพื่อยิงเกาทัณฑ์จิ๋วเข้าใส่อีกฝ่าย
         เมื่อต้นกล้าอ่อนงอกเงยจากเมล็ดพันธุ์ซึ่งเป็นหัวลูกศร โดยมีไอมนตราสีเขียวเรืองรองคลุมครอบอยู่ มันเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ รากก็ขยายชอกไชลงพื้น จนแตกระแหงไปทั่ว ยอดไม้จึงมากสาขาและสุดสูงชันอย่างเร่งรวด ณ เบื้องหน้าของดวงตาขนาดใหญ่ กิ่งก้านเลยแทงทะลุร่าง พร้อมทั้งถูกดันพรวดตามความสูงทันที
         “ฮา ๆ ข้าไปก่อนล่ะ เจ้าก็คิดให้ดี ๆ ก็แล้วกัน ว่าจะเลือกอยู่ข้างไหนกันแน่?” มาดิชตะโกนลั่น โดยส่งไปในตำแหน่งหัวมุมซึ่งมีอสูรร้ายยืนอารักขาอยู่ พร้อมกับเอื้อมไปคว้าลำต้นไม้ใหญ่ที่กำลังเจริญเติบโตมิหยุด เพื่อเกาะยึดขึ้นไปด้วย 
         “ท่านมาดิชก็ยังสะเพร่าอยู่เช่นเดิม งั้นจงตายไปซะเถอะ” แต่กลับปรากฏชายร่างสูงสวมหน้ากากคนหนึ่งขึ้นมาขวางทางซะก่อน เขากระโดดลงมาจากดาดฟ้าฝั่งขวามือ
         เสื้อกาวน์สีขาวโบกสะบัดตามสายลม ณ เบื้องบน แขนทั้งสองข้างชูขึ้นฟ้า พลังงานสีเงินดั่งปรอทก่อกำเนิดระหว่างกึ่งกลาง โดยผนึกเป็นทรงกลมขนาดสามเมตร แล้วจึงทุ่มใส่มาดิชอย่างมั่นใจ ครั้นต้นไม้ใหญ่ก็สูงตะหง่านมิเลิก จนโดดเด่นเหนือทุกสถานที่ในย่านโคมแดง รอบ ๆ ขนาดยี่ห้าสิบคนโอบแล้ว
         “ฮึ่ม! ยังไม่เคี่ยวพอนะ แล้วโรคระวังตัวเกินไปก็ยังไม่แก้ไขอีกรึ? น่าขายหน้าจริง ๆ” มาดิชซึ่งเงยหน้าขึ้นไปมองแล้ว เขาจึงต้องเอ่ยปากอย่างเหนือกว่า มือที่เกาะอยู่ตรงลำต้นไม้เรืองแสงสีน้ำตาลออกมา จากนั้นเลยผิวปากคลอไปด้วย
         “อั่ก!” ณ ด้านข้างของชายสวมหน้ากาก ลำต้นไม้ในระดับเดียวกันได้แปรสภาพเป็นกำปั้นยักษ์ โดยพุ่งออกมาจู่โจมทีเผลอ อีกฝ่ายจึงถูกกระแทกช่วงเอวให้กระเด็นโค้งลงไปเบื้องล่างแล้ว 
         “ก๊ากกก...!!!” ส่วนพลังงานสีเงินลูกใหญ่ ๆ ที่กำลังจะเข้าโจมตีมาดิชอยู่แล้ว มันกลับถูกหัวของกิ้งก่ายักษ์เขมือบลงท้องไปในทันควัน ซึ่งแหวกทะลุออกมาจากลำต้นไม้
         “กี๊...!!!” ส่วนอสูรร้ายรายสุดท้ายที่ภาคพื้น มันจึงมิรอช้าพุ่งร่างสู่กลางอากาศ เพื่อเป็นฐานเหยียบของเจ้านาย
         “อูปา! รีบไปกันเถอะ” พอสัตว์อัญเชิญออกมาหมดทั้งตัวแล้ว ซึ่งยาวกว่า 5 เมตร รูปลักษณ์แข็งแกร่ง สีสันสดใสเน้นโทนเหลืองเป็นพื้นกำกับ เฒ่ามาดิชก็ยื่นมือคว้าที่ยึดตรงอาน เพื่อเกาะหลังของสัตว์เลื้อยคลานตัวเขื่อง 
         “ก๊ากกก...!!!” อูปาเลยเอี่ยวตัวกลับทิศลงด้านล่าง ฝ่าเท้าทั้งสี่กระแทกกับต้นไม้ใหญ่พรักพร้อมกัน เพื่อทิ้งร่างลงบนดาดฟ้าของตึกข้าง ๆ แล้วก็ออกเดินทางตามที่สูงอย่างรวดเร็ว
         “ช้าก่อน! ...” โดยให้คู่อริที่ยืมแรงกระโดดขึ้นมาเพียงลำพังได้แต่เฝ้ามอง เพื่อดูเงาหลังเท่านั้นเอง 
         “อยากให้ข้าตามไปไหม?” พรรคพวกร่างโย่งเอ่ยปากถามขึ้น เมื่อเขาเพิ่งจะมาหยุดยืนอยู่เคียงข้าง
         “... ไม่ต้องไล่ ถึงมาดิชจะเป็นไอนากะที่มิสมบูรณ์แบบ แต่เรื่องหลบหนี เขาเป็นอันดับหนึ่งเสมอมา” หลังขบคิดอยู่สักครู่ ชายใส่หน้ากากก็ต้องส่ายหน้าตอบอย่างจำยอมจริง ๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่