นิยายแฟนตาซีเรื่อง Conflict Before The Beginning มันเกิดก่อนเริ่ม [ตอนที่ 1 ทางลัดสู่ตอนจบ] ปรับปรุง

สารบัญ https://pantip.com/topic/39358562

              “หือออ...!!! นี่มันคืออะไรกัน!?” เขาอึ้งซะจนต้องเปรยขึ้นมาเบา ๆ โดยอุณหภูมิรอบ ๆ ตัวเกือบจะถึงจุดศูนย์องศาสัมบูรณ์
               พอพยุงตัวนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งเสร็จ จากท่วงท่าเดิมที่เอนลงมามาก จนอยู่ห่างพื้นราบแค่คืบเดียว จึงมิต้องหกล้มให้หน้าคะมำ ตอนนี้กำลังมองดูช่วงแขนของตนเองอย่างพิจารณา ครั้นเพิ่งจะรับทราบถึงการคงอยู่ของด้ายไหมเงิน ซึ่งเชื่อมโยงข้อต่อทั่วร่าง ประหนึ่งตุ๊กตาหุ่นเชิดของใครสักคน 
              เขาเริ่มไล่สายตาตื่น ๆ มาที่ปลายนิ้ว ข้อมือ ศอกและหัวไหล่ เมื่อก้มหน้าลงเลยพบว่าช่วงล่างก็ปรากฏเช่นกัน ลมหายใจขาวได้บังเอิญล่องลอยไปโดนเข้า แต่มันกลับเสมือนเป็นภาพลวงตา ทำให้ต้องใช้มืออีกข้างหนึ่งเร่งฟันขวาง เพื่อยืนยันความเป็นจริง 
              “...” แต่พอไม่โดนอะไร เขาเลยสุดสับสน พร้อมกับรีบเงยหน้าตามสายสู่ท้องฟ้ามืดอันมีเมฆครึ้ม ร้องอึมครึมและไฟแลบเปรี้ยงปร้างเป็นเส้นสาย ราวกับเหล่าอสรพิษอสนีบาต
              (ที่หน้าผากของข้าด้วยรึ?) ทำให้ตื่นตกใจมิใช่น้อย ทว่า ณ พิกัดนี้กลับโดนกระตุกให้หลุดออกจากกัน มันสะบัดขึ้นเหวี่ยงไปมาอย่างไร้ทิศทาง 
              “อาาา...!!!” เขาถึงกับต้องสะท้านเฮือก เมื่อข้อมูลซึ่งปิดผนึกเอาไว้ในสมองได้ปลดปล่อยทันที จนสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ร่วมกับเธอ แล้วทุกเส้นเอ็นทั่วร่างพลันขาดผึงและเร่งคืนสู่ที่มาแบบไม่รู้สึกตัว 
              “ไม่มีสิ่งใดหรอก XXXXX ข้าแค่เกลียดชังเจ้าเท่านั้นเอง” หญิงสาวอายุ 20 ปีปลาย ๆ หันมายิ้มหวานและกล่าวตรง ๆ ขณะนอนหลังหนุนหมอนอยู่ที่เตียงภายในห้องสีขาว เรือนร่างงามระหงสวมใส่ชุดคนป่วย
              ข้อพับแขนขวามีหลอดใสสอดเข้าไปด้วย ครั้นต่อกับถุงพลาสติกบางอย่างซึ่งแขวนบนเสาสูงข้างกาย สีหน้าซูบเซียวดูท่าจะอมโรคมานาน โดยความสะคราญโฉมมิได้เลือนหาย ผมยาวดำสลวยเป็นประกายพาดหัวไหล่ซ้ายลงมากองที่ตัก ผ้าห่มคลุมทับแค่ส่วนนี้จากสองปลายเท้า 
              “...” เขาที่ยืนถือดอกไม้ช่อโต ๆ ว่าจะยื่นให้ด้วยความยินดี ถึงกับต้องกลืนมิเข้าคายไม่ออกเชียวล่ะ นี่คือหนึ่งในบรรดาความทรงจำซึ่งถูกทำเป็นมิเคยเกิดขึ้น
              (ว่ายังไงล่ะ ผู้กล้าเอ๋ย! หึ ๆ นี่อยากให้ข้าช่วยจัดการแทนไหม?) ตัดมาเมื่อสักครู่นี้ คลื่นโทรจิตซึ่งเคยสดับฟังแค่ไม่กี่ครั้งในวัฏจักรชีวิตอันยาวนานของเขา มันได้บุกรุกกระแทกดวงวิญญาณอย่างกะทันหัน
              (บ้าน่า!?) ทำให้ต้องชะงักงันโดยอัตโนมัติ 
              ความพลาดพลั้งเลยได้ปรากฏขึ้นแก่สายตาของเหล่าศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งกำลังทยอยเคลื่อนพลเข้าหาอย่างช้า ๆ จากทุกทิศทางประหนึ่งจะโอ้อวดแสนยานุภาพ ในจังหวะที่ฝ่าเท้าซ้ายจะระเบิดพลังเวทย์ลงบนพื้นราบ เพื่อเปิดฉากจู่โจมก่อน ทั้ง ๆ ที่มีกำลังเพียงลำพัง ณ โลกอันสิ้นแสงใบนี้
              “เหวอออ...!!!” คำอุทานจึงหลุดออกจากปาก ขณะที่กำลังถลามาข้างหน้าสุดตัว
              “... ฮา ๆ ความมืดมิดเอ๋ย! ยอมแพ้เถอะน่า เพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่า ๆ ของพวกเรา ข้าจะจัดการส่งเจ้าให้ไปสบายดี ๆ เอง” ทาง [แสงสว่าง] ผู้เป็นคู่อริที่สุดก็ต้องป่าวประกาศดัง ๆ ณ เบื้องหน้า เมื่อเสียจริตนิดหน่อย เพราะอุตสาห์หยุดกึกลงกลางคัน เพื่อตั้งท่าต่อสู้รอดูท่าทีแล้วแท้ ๆ แต่อีกฝ่ายกลับกระทำตัวเปิ่น ๆ แทนซะนี่ 
              จากนั้นเลยเดินนำหน้าเข้าหาคู่กรณีต่อ เนื่องจากยังมีระยะห่างอยู่ไม่น้อย เขาจึงหมุนลำแขนด้วยความเร็วสูงไปพลาง ๆ ก่อน ซึ่งได้พลังงานสีขาวมาเครือบกำปั้นขวาให้หนา ๆ เข้าไว้ มือซ้ายที่ว่างจัดก็ยึดจับหัวไหล่ด้านตรงข้ามตามความถนัด
              “....”
              (ทำไมข้าถึงไม่ล้มลงล่ะ? แล้วคนผู้นั้นต้องการสิ่งใด?) กระนั้น [ความมืดมิด] กลับยังมิคิดอะไรนอกเหนือจากนี้
              “เอ๊ะ!” กาลต่อมาก็กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่กล่าวไปแล้ว ณ ตอนต้นนั่นเอง
              “...”  
              “ความมืดมิด! เจ้าต้องรู้ถึงจุดยืนของตนเองได้สักที โอ้! ข้าน่าจะจบเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว” [อำนาจเร้นลับ] ซึ่งเดินส่ายหน้าเลยต้องเอ่ยปากอย่างเอือมระอา พอพบเห็นสภาพที่อีกฝ่ายแหงนหน้าขึ้นฟ้าเข้า
              เขานำเป็นอันดับสองจากทั้งคณะ หน้ากากบนใบหน้าแปรรูปลักษณ์ให้ดูดุร้ายหมายขวัญ ทั่วร่างก๊าซเพรียว ๆ แผ่ออร่าสีรุ้งปะปนกันมั่ว เส้นรยางค์มากสายที่มิใช่ขาแข้งก็สั่นพริ้วไปทางด้านหลัง สามง่ามด้ามยาวซึ่งติดไม้ติดมือมาด้วยเลยต้องกระชับมั่น ในท่วงท่าเตรียมจะพุ่งหลาว ณ ตอนต่อมา คมศาสตราจึงเปล่งรังสีพิสดารเอาไว้คอยท่าแล้ว 
              “แกล้งปัญญาอ่อนเลยรึ? หึ! จงยอมรับชะตากรรมซะเถิด ว่าจะต้องรับโทษเยี่ยงไรกันบ้าง?” [ความยุติธรรม] ก็กรอกดวงตาขึ้นบนแบบมีน้ำโห ทั้งสองกำลังไล่ตามหลังของ [แสงสว่าง] มาโดยมิห่างกันเท่าไรนัก 
              ท่านนี้อยู่เยื้องหลังไปทางขวานิดหน่อย การแต่งกายราวกับยมราชของจีน รูปร่างสูงท้วมให้มั่นคงปานภูผา เขาจงใจลากแส้หนามพู่หนึ่งให้ครูดขีดกับพื้น จนเกิดประกายไฟแปลบปลาบ ปลายลิ้นแหลม ๆ ตวัดสูงเกินขอบดวงตา เมื่อปาดโลหิตบนแก้มขวา แล้วมาเลียกระจับปากต่อ เพื่อแต้มสีชาดที่เริ่มจืดจาง
              “ส่วนข้าที่เป็นสหายสนิทแล้ว ก็จะแข็งใจลงทัณฑ์เจ้าเอง ฮา ๆ” [ความอุตสาหะ] เลยอดร่วมวงด้วยมิได้ ทั้งที่มิใช่แนวหน้า โดยตะโกนดัง ๆ แทรกเข้ามา หลังจากดัดลำคอแน่นปึ๊กดังกร๊อบแกร๊บมาตั้งหลาย ๆ หน 
              มารใบหน้าโฉดชั่วสีดำ กะคมเขี้ยวโง้งเป็นตับในปาก โดยมีสองคู่บนเหงือกด้านล่างแสดงความป่าเถื่อนเหนือธรรมดา ท่าทางขี้เหล้าก็หายไปอย่างสิ้นซากแล้ว กายาทองแดงแสนล่ำบึกจึงเข้าสมทบตาม เขาโพสท่าโชว์กล้ามเนื้อแขนทั้งสองข้างเต็มแม็กซ์ เมื่อรักษาความเร็วให้เกาะกลาง ๆ กลุ่มเข้าไว้
              “ฮา ๆ ๆ ๆ ขอบคุณที่ทำให้ข้าจดจำเรื่องในครานั้นได้” ณ จังหวะนี้ [ความมืดมิด] เลยหัวเราะและตะโกนออกมาด้วยความคลุ้มคลั่ง
              “หวังว่าสิ่งนี้จะกระตุ้นให้เจ้าคิดเป็นได้บ้างนะ จงรับนี่ไปซะ!” ขณะที่อาวุธหลุดจากปลายมือของ [อำนาจเร้นลับ]  สำเนียงกรีดฟ้าจึงดังสนั่นขึ้นมาในทันใด
              “เฮ้ยยย...!!! ข้าเพิ่งจะรู้แจ้งเองนะ เจ้าขี้โกงเอ้ย!” เนื่องจากเป้าหมายรู้สึกตัวก่อนโดนชำแรกเข้า เขาเลยสามารถโยกหลบการขว้างปาสุดความสามารถ มันเร่งโบยบินมาถึงที่ ณ ชั่วอึดใจเดียว ออร่าควงสว่านสามแฉกจึงได้ผ่านพ้นไปแล้ว 
              “บ้าชิบ!” ทว่ามหาภัยด้ามนี้เพิ่งจะเฉือนช่วงหัวไหล่ซ้ายไปแถบหนึ่ง อนุภาคทมิฬภายในร่างเลยรั่วไหลออกมาก 
              “จงคืนสู่ข้า!” จากนั้นอาวุธร้ายก็แวบกลับมาอยู่ในมือของ [อำนาจเร้นลับ] ดั่งเดิม  
              “อา! เป็นไงเป็นกันสิ ข้ามิสนใจอะไรอีกแล้ว” เมื่อรีบกระชากก้อนเนื้อหยุ่น ๆ สีดำ ๆ ซึ่งเกือบหลุดเข้ามานาบปิดบาดแผลได้ ที่เหลือก็ปล่อยให้ธรรมชาติสานต่อเอง [ความมืดมิด] จึงเร่งมุ่งไปข้างหน้าอย่างกับพยัคฆ์ไว้ลาย 
              "ลุยกันเถอะ เจ้าเพื่อนยาก!” โดยมิลืมเรียกอาวุธคู่กายให้ปรากฏขึ้นด้วย 
              “กี๊...!!!” คาตานะเปลือยเล่มหนึ่งเลยแหวกท่อนแขนขวาออกมาอย่างฉับไว ควันทะมึนก็พวยพุ่งควบคู่ คมประกายเงาและเสียงหวีดร้อง ณ ปากปีศาจบนสันดาบสื่อถึงความรู้สึกแสนอันตราย
              “จงเบิกทางให้ข้าซะ คร่าวิญญาณ!” พอแสดงลวดลายสีแดงระเรื่อที่ใบดาบเสร็จ ด้ามจับก็เลื่อนมาถึงฝ่ามือพอดี [ความมืดมิด] เลยคว้าหมับ กะฟาดฟันลงไปโดยมิรั้งรอ แถบพลังขนาดมหึมาจึงได้ทะลักออกจากรอยตัดอย่างสุดเกรี้ยวกราด
              “คราวนี้ล่ะ! ข้าจะต้องตัดสินเจ้าให้ได้/วื๊ดดด...!!!” มีเสียงตะโกนคุ้น ๆ ดังขึ้นมาจากฝั่งตรงข้ามและสำเนียงของอนุภาคถูกเร่งเกินกว่าค่าวิกฤตพร้อม ๆ กัน 
              “นี่ยังกล้ามาเสนอหน้าอีกรึ? เจ้าขี้แพ้เอ้ย!” 
              “ฮา ๆ จะมีต่ออีกแน่ ตราบใดที่ใจของข้ายังต้องการต่อสู้ด้วย” แล้วเสี้ยวจันทร์ทมิฬของ [ความมืดมิด] ได้พันตูกับลำแสงหมัดพิฆาตจาก [แสงสว่าง] แบบสูสีก้ำกึ่ง ณ ระหว่างกลาง ทำให้สภาวะสะเทือนเลือนลั่นจริง ๆ ก่อนจะเบนเบี่ยงให้ลัดขอบฟ้าไปคนละทิศทาง
              “เริ่มพิพากษาได้” [อำนาจเร้นลับ] จึงรีบออกคำสั่งรบ พร้อมกับขว้างสามง่ามขึ้นไปบนฟากฟ้าอีกครั้ง มันแยกออกเป็นมากจำนวน เพื่อระดมปูพรมต่อ [ความมืดมิด] แบบเต็มอัตราศึก ทำให้เหล่าผู้จู่โจมระลอกแรกรอบด้านต้องเร่งชิงบุกออกมาก่อน 
              “ไปให้พ้น ถ้าอยากลุยกับข้านัก ก็เข้ามาตรง ๆ เลยสิ อย่ามากลีลาน่า” [ความมืดมิด] ประกาศขึ้นอย่างแข็งกร้าวขณะที่ทะยานร่างกวัดแกว่งคมดาบ เพื่อปัดซ้ายป่ายขวาเหล่าสามง่ามจากเบื้องบน ทำให้เกิดการระเบิดตูมตามทั่วทั้งบริเวณ
              “นี่คือลิขิตของฟ้าดิน! เจ้ามีแต่ต้องคล้อยตามเท่านั้น” [แสงสว่าง] คือรายแรกสุดที่จะต้องเข้าโรมรันกัน เขาวาร์ปมาเฉียง ๆ อย่างเร่งรวด พอการจู่โจมด้วยสามง่ามบินหมดสิ้น โดยประกบฝ่ามือทั้งคู่เหนือศีรษะ พลังงานสีขาวจึงพรวดพุ่งสู่ฟากฟ้าอันดำมืด แล้วแหวกเมฆากวาดลงมาด้วยความดุดัน
              “นั่นข้าจะเป็นคนตัดใจสินเอง” [ความมืดมิด] เลยต้องดีดกายเตรียมโต้ตอบ สองมือเร่งกวาดตัวดาบขึ้นด้วยความเฉียบคม พลังเวทย์ควบแน่นจัด ครั้นปะทะโดนกัน ทำให้มิติช่วงนั้นต้องบิดเบี้ยวและยุบเข้าหากันทั้งสองด้าน
              มือซ้ายของ [แสงสว่าง] จึงยื่นฝ่าคลื่นสะท้อน เพื่อเข้าคว้าจับปลายดาบทมิฬ ส่วนอีกข้างก็เงื้อมขึ้นและปล่อยหมัดควงสว่านทะลวงเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายอย่างหนักหน่วงที่สุด พลังงานพุ่งออกเป็นเลเซอร์ลำใหญ่ ๆ วาดเลี้ยวตามวิถีกำปั้น 
              “ลองเจอกับกระบวนท่านี้ซะ” ทาง [ความมืดมิด] ก็เบี่ยงศีรษะหลบประหนึ่งไร้กระดูกต้นคอ อาวุธร้ายในมือเลยบิดเป็นวงแคบ ๆ ปาดฝั่งตรงข้ามและเปล่งรังสีสังหารให้สลัดหลุดจากการยึดกุม แล้วก็เร่งแทงตีโต้เข้าไปที่หน้าอกของคู่อริตลอดกาล 
              “เจ้าพ่ายแพ้แน่ ความมืดมิดเอ๋ย!” [แสงสว่าง] กล่าวขึ้นทันทีแบบเหนือชั้น ก่อนสลายตัวเป็นอนุภาคอันยิบย่อย แล้วล่าถอยออกมาระยะหนึ่งที่เบื้องล่าง พร้อมกับก่อรูปร่างใหม่
              “อย่าดีแต่ปากไปเลย” [ความมืดมิด] ก็เหวี่ยงดาบขึ้นฟ้าด้วยสองมือ จนด้ามจับมาอยู่ด้านหลังศีรษะ ระหว่างรีบทะยานเข้าหาอีกฝ่าย เพื่อตามมาปิดบัญชีด้วยในพริบตาเดียว 
              “ย๊ากกก...!!!”x13 นอกจากตัวละครที่เคยกล่าวถึงไปแล้ว 
              สารพันศาสตราเวทย์เท่าที่นึกออกได้ควงด้วยความเชี่ยวชาญ เช่น หอกทวนศึก เคียวโง้งสังหาร ห่วงกงจักรและค้อนหัวยักษ์ ครั้นพวกเขากำลังกระโจนใส่ [ความมืดมิด] กลางอากาศครือ ๆ กันนั่นแหละ เพดานบินก็สูง ๆ ต่ำ ๆ ด้วยความพร้อมเพรียง
              แนวรบชุดที่สองซึ่งไล่ตามมาติด ๆ ปริมาณก็เท่ากันกำลังเข้าร่วมประสานทางภาคพื้นดินพร้อม ๆ กันกับกลุ่มแรก โดยเร่งความเร็วอย่างฉับไว ขณะที่ [แสงสว่าง] และ [ความมืดมิด] ยังซัดกันนัวเนียอยู่กับที่ แล้วพวกแถวถัด ๆ ไปเลยจู่โจมด้วยมนตราจากระยะไกล ปานเทกระจาดในทุก ๆ ด้านจึงเป็นอันจบเทิร์น 
              “วันนี้แหละ พวกเจ้าต้องจดจำชื่อของข้าเอาไว้” [ความมืดมิด] ได้คำรามขึ้นสุดเสียงด้วยปากกว้าง ๆ 
              “อั่ก!” พอเปล่งพลังดาบผลักดันหมัดขวาของ [แสงสว่าง] ให้พ้นทาง 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่