สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
IF ไม่ใช่หนทางที่ทำให้น้ำหนักลดครับ มันเป็นวิถีการกินที่คุณจะเลือกกินกับอดเป็นช่วงเวลา (เหมือนกับวิถีการกินอย่างคีโต หรือวิถีการกินอย่างวีแกน) ดังนั้นเราตัด IF ออกไปจากสมการการลดน้ำหนักได้เลย
สิ่งเดียวที่ทำให้ "น้ำหนัก" ลดคือ พลังงานเข้าน้อยกว่าพลังงานออก
ถ้าคุณพบว่าคุณเจอน้ำหนักตัน ลงต่อไม่ได้ และอยากน้ำหนักลงต่อ ก็ต้องไปดูว่าปกติแล้วคนเจอปัญหาอะไรบ้างในการลดน้ำหนัก
เช่น หลายคนก็จะบอกว่าอย่ากินต่ำเกิน BMR อะไรแบบนั้น แล้วที่คุณกินนั้นเท่าไหร่ ต่ำกว่า BMR ไหม ถ้าไม่ต่ำเกินข้อนี้ก็อาจจะผ่านไป
หรือคุณกินไม่น้อยพอ ตอนนี้คุณกินอยู่ในจุดรักษาน้ำหนักของร่างกายตนเอง แบบนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ต้องกินให้น้อยลงอีกเป็นต้น
คิดว่าข้อแรกผมตอบไปแล้ว
ส่วนข้อสองผมไม่ได้ทำ IF แบบนับเป็นกิจลักษณะ หมายถึงว่าผมไม่ได้เช็คเวลาอย่างจริงจัง และไม่ได้ตั้งใจที่จะทำ แต่ช่วง feed กับ fast ของผมนั้นคล้ายคลึงกับ IF เพราะมันเป็น routine
ช่วงกินของผมก็คือตั้งแต่ตื่นจนหลังออกกำลังเสร็จ เป็นช่วงเวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง ตื่นมาก็อัดอาหารเข้าไปเลย กินก่อนออกกำลังกาย แล้วออกกำลังกายเสร็จก็กินอีกรอบ จึงไม่มีการกดดันตัวเอง
ส่วนข้อสาม ประเด็นหลักอันหนึ่งของ IF คือเรื่องฮอร์โมนครับ การที่ลดช่วง feed มาเหลือกรอบสั้นๆ ก็เพื่อให้อินซูลินออกมารอบเดียว หรือแค่ช่วงสั้นๆ แล้วหลังจากนั้นร่างกายจะได้ใช้ไขมันมาเป็นพลังงาน
น้ำหวาน หรือน้ำตาล เป็นอาหารที่มี Glycemic Index สูง มันทำให้ อินซูลินพุ่ง ซึ่งทำให้ร่างกายหันมาใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตส่วนนี้แทน ก็เรียกได้ว่าขัดกับหนทางของ IF ที่ต้องการจำกัดการออกมาของอินซูลิน
ดังนั้นหากถามผม ผมก็คิดว่าถ้าคุณเลือกจะทำ IF แล้ว ก็ควรงดอาหารที่มี Glycemic Index สูงด้วย เพื่อให้ทุกอย่างมันเป็นไปในทางเดียวกัน ไม่ขัดแข้งขัดขากันเอง
ผมเองแม้ไม่ได้ทำ IF แต่ก็มุ่งหวังให้ไม่เกิดการพุ่งของอินซูลินเหมือนกัน ก็เลยพยายามเลือกอาหารที่มี Glycemic Index ต่ำ
ไม่รู้ว่าเพราะอาหารอันนี้หรือเปล่า ผมเลยไม่ค่อยอยากอาหารหวานเท่าไหร่ มื้อแรกของวันหลังจากผมตื่นขึ้นมามันคือ นม full fat 500 มิลลิลิตร + กล้วยหอมพร้อมเปลือกหนึ่งลูก + โปรตีนผงเพื่อความสะดวก เอาไปปั่นรวมกันแล้วโรยด้วยกราโนล่าแบบลดน้ำตาล(สาเหตุหลักที่กินกราโนล่าด้วยเพราะว่าแบรนด์นี้ที่ผมซื้อกินมีไฟเบอร์สูงครับ) ทั้งหมดนี่ประมาณ 800-900 แคลอรี่แล้วแต่วัน (ซึ่งอันที่จริงแคลอรี่สูงกว่าน้ำหวานทั้งหลายเยอะครับ แต่มันมีสัดส่วนของสารอาหารอย่างอื่นด้วยนอกจากน้ำตาล อีกทั้งกล้วยที่เอามาใช้แทนน้ำตาลในที่นี้เองก็เป็นอาหารที่มี Glycemic Index ต่ำ)
ซึ่งรสชาติก็ไม่ต่างกับกินขนมหรือน้ำปั่น น้ำชง น้ำหวานต่างๆเลยครับ แล้วก็มี texture กรอบๆให้เคี้ยวด้วย
ไม่รู้ว่าเพราะอันนี้หรือเปล่าทำให้ผมไม่กินน้ำหวานอื่น
---------
เพิ่มเติม ลืมเขียนไปครับ ถ้ารู้สึกกังวลเรื่องน้ำตาล ผมคิดว่าลองพิจารณาเรื่องใช้สารเพิ่มความหวานแทนน้ำตาลดูครับ มันไม่แย่นักหรอก และมันไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป
ป.ล. 6 สัปดาห์ 10 กิโลกรัมนี่ค่อนข้างเยอะทีเดียวครับ แต่น้ำหนักช่วงแรกที่พุ่งลงเป็นไปได้ว่าส่วนมากมาจากการที่คุณกินน้อยลง ไม่ใช่น้ำหนักของไขมัน หรือกล้ามเนื้อที่หายไป
(พอกินน้อยลง มวลอาหารในตัวก็น้อยลง น้ำหนักก็เลยน้อยลง แล้วก็พอกินน้อยลงก็เป็นไปได้ว่ากินคาร์โบไฮเดรตน้อยลง พอคาร์โบไฮเดรตน้อยลงแล้วไกลโคเจนก็น้อยลง ไกลโคเจนมันติดกับน้ำ ก็ทำให้น้ำในตัวคุณน้อยลงด้วย ทำให้รู้สึกลีนขึ้น ผอมลง)
สิ่งเดียวที่ทำให้ "น้ำหนัก" ลดคือ พลังงานเข้าน้อยกว่าพลังงานออก
ถ้าคุณพบว่าคุณเจอน้ำหนักตัน ลงต่อไม่ได้ และอยากน้ำหนักลงต่อ ก็ต้องไปดูว่าปกติแล้วคนเจอปัญหาอะไรบ้างในการลดน้ำหนัก
เช่น หลายคนก็จะบอกว่าอย่ากินต่ำเกิน BMR อะไรแบบนั้น แล้วที่คุณกินนั้นเท่าไหร่ ต่ำกว่า BMR ไหม ถ้าไม่ต่ำเกินข้อนี้ก็อาจจะผ่านไป
หรือคุณกินไม่น้อยพอ ตอนนี้คุณกินอยู่ในจุดรักษาน้ำหนักของร่างกายตนเอง แบบนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ต้องกินให้น้อยลงอีกเป็นต้น
คิดว่าข้อแรกผมตอบไปแล้ว
ส่วนข้อสองผมไม่ได้ทำ IF แบบนับเป็นกิจลักษณะ หมายถึงว่าผมไม่ได้เช็คเวลาอย่างจริงจัง และไม่ได้ตั้งใจที่จะทำ แต่ช่วง feed กับ fast ของผมนั้นคล้ายคลึงกับ IF เพราะมันเป็น routine
ช่วงกินของผมก็คือตั้งแต่ตื่นจนหลังออกกำลังเสร็จ เป็นช่วงเวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง ตื่นมาก็อัดอาหารเข้าไปเลย กินก่อนออกกำลังกาย แล้วออกกำลังกายเสร็จก็กินอีกรอบ จึงไม่มีการกดดันตัวเอง
ส่วนข้อสาม ประเด็นหลักอันหนึ่งของ IF คือเรื่องฮอร์โมนครับ การที่ลดช่วง feed มาเหลือกรอบสั้นๆ ก็เพื่อให้อินซูลินออกมารอบเดียว หรือแค่ช่วงสั้นๆ แล้วหลังจากนั้นร่างกายจะได้ใช้ไขมันมาเป็นพลังงาน
น้ำหวาน หรือน้ำตาล เป็นอาหารที่มี Glycemic Index สูง มันทำให้ อินซูลินพุ่ง ซึ่งทำให้ร่างกายหันมาใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตส่วนนี้แทน ก็เรียกได้ว่าขัดกับหนทางของ IF ที่ต้องการจำกัดการออกมาของอินซูลิน
ดังนั้นหากถามผม ผมก็คิดว่าถ้าคุณเลือกจะทำ IF แล้ว ก็ควรงดอาหารที่มี Glycemic Index สูงด้วย เพื่อให้ทุกอย่างมันเป็นไปในทางเดียวกัน ไม่ขัดแข้งขัดขากันเอง
ผมเองแม้ไม่ได้ทำ IF แต่ก็มุ่งหวังให้ไม่เกิดการพุ่งของอินซูลินเหมือนกัน ก็เลยพยายามเลือกอาหารที่มี Glycemic Index ต่ำ
ไม่รู้ว่าเพราะอาหารอันนี้หรือเปล่า ผมเลยไม่ค่อยอยากอาหารหวานเท่าไหร่ มื้อแรกของวันหลังจากผมตื่นขึ้นมามันคือ นม full fat 500 มิลลิลิตร + กล้วยหอมพร้อมเปลือกหนึ่งลูก + โปรตีนผงเพื่อความสะดวก เอาไปปั่นรวมกันแล้วโรยด้วยกราโนล่าแบบลดน้ำตาล(สาเหตุหลักที่กินกราโนล่าด้วยเพราะว่าแบรนด์นี้ที่ผมซื้อกินมีไฟเบอร์สูงครับ) ทั้งหมดนี่ประมาณ 800-900 แคลอรี่แล้วแต่วัน (ซึ่งอันที่จริงแคลอรี่สูงกว่าน้ำหวานทั้งหลายเยอะครับ แต่มันมีสัดส่วนของสารอาหารอย่างอื่นด้วยนอกจากน้ำตาล อีกทั้งกล้วยที่เอามาใช้แทนน้ำตาลในที่นี้เองก็เป็นอาหารที่มี Glycemic Index ต่ำ)
ซึ่งรสชาติก็ไม่ต่างกับกินขนมหรือน้ำปั่น น้ำชง น้ำหวานต่างๆเลยครับ แล้วก็มี texture กรอบๆให้เคี้ยวด้วย
ไม่รู้ว่าเพราะอันนี้หรือเปล่าทำให้ผมไม่กินน้ำหวานอื่น
---------
เพิ่มเติม ลืมเขียนไปครับ ถ้ารู้สึกกังวลเรื่องน้ำตาล ผมคิดว่าลองพิจารณาเรื่องใช้สารเพิ่มความหวานแทนน้ำตาลดูครับ มันไม่แย่นักหรอก และมันไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป
ป.ล. 6 สัปดาห์ 10 กิโลกรัมนี่ค่อนข้างเยอะทีเดียวครับ แต่น้ำหนักช่วงแรกที่พุ่งลงเป็นไปได้ว่าส่วนมากมาจากการที่คุณกินน้อยลง ไม่ใช่น้ำหนักของไขมัน หรือกล้ามเนื้อที่หายไป
(พอกินน้อยลง มวลอาหารในตัวก็น้อยลง น้ำหนักก็เลยน้อยลง แล้วก็พอกินน้อยลงก็เป็นไปได้ว่ากินคาร์โบไฮเดรตน้อยลง พอคาร์โบไฮเดรตน้อยลงแล้วไกลโคเจนก็น้อยลง ไกลโคเจนมันติดกับน้ำ ก็ทำให้น้ำในตัวคุณน้อยลงด้วย ทำให้รู้สึกลีนขึ้น ผอมลง)
แสดงความคิดเห็น
การทำ IF ไปนาน ๆ ร่างกายจะชินและไม่เผาผลาญจริงหรือไม่
สรุป
- ผมมีน้ำหนักเริ่มต้นที่ 123.7 กิโลกรัม ทำ IF 18/6 เวลา 12.00 - 18.00 น.
- ผ่านไปประมาณ 1 เดือน กับอีก 2 สัปดาห์ น้ำหนักช่วง 1 เดือนแรกลดลงไป 7.9 กิโลกรม
- ช่วงสัปดาห์ที่ 2 ลดลงไป 2 กิโลกรัม รวมแล้วประมาณ 10 กิโลกรัม เหลือ 113.8 กิโลกรม
- ในระหว่างการลดน้ำหนัก ผมมีการออกกำลังกายบ้างนิดหน่อย (เวท + คาดิโอ) แต่ผมยังกินน้ำหวาน (ชาเย็น) อยู่ครับ (โอ้ยยย อดไม่ได้เนี่ย)
- ช่วงหลังจากวันที่ 3 พ.ย. รู้สึกว่าน้ำหนักสวิง ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ และนิ่ง ๆ ยังไม่มีการลดลงไปต่ำกว่า 113.8 กิโลกรัม
- โดยผมทำ IF ทุกวัน ในช่วงเวลาเดิมคือ 12.00 - 18.00 น. ถึงแม้ว่าบางวันจะกินเลทไปบ้าง เช่น 12.30 หรือ 13.30
- แต่ถ้าหมดเวลากินคือ 18.00 น. ผมจะปิดรอบบบบ ทันทีเลย โดยไม่มีการต่อเวลา
- มีคนบอกว่าถ้าทำ IF ไปนาน ๆ ร่างกายมันจะชิน เข้าสู่ Safe mode จะไม่เผาผลาญ เลยทำให้น้ำหนักเราคงที่
- ต้องแก้ไขโดยการกลับมากินปกติบ้าง เพื่อหลอกร่างกาย ให้กลับมาเผาผลาญอีกครั้ง แล้วค่อยทำ IF ต่อ
(ผมกลัวไม่กล้าลองทำ กลัวว่าถ้าเราทำแบบนั้น น้ำหนักมันก็จะกลับมาขึ้น อุตส่าห์ทำลงแสนจะยากเย็น)
คำถาม :
1. การทำ IF ไปนาน ๆ ร่างกายจะชินและไม่เผาผลาญเป็นความจริงหรือไม่ แก้ไขปัญหาอย่างไร
2. ท่านใดที่ทำ IF อยากรบกวนแชร์ให้ฟังหน่อยครับ ท่านมีความกดดันตัวเองหรือไม่ มีเทคนิคอย่างไรให้ได้ผล
(เช่น งดของทด และขนมต่าง ๆ ร่วมกับการทำ IF / เน้นเวลากินช่วงเวลาเช้า เป็นต้น)
3. ในช่วงทำ IF ลดน้ำหวานกันหรือไม่ครับ มีเทคนิคในการลด ละ เลิก น้ำหวาน อย่างไร
(ผมอยากหลอกตัวเองให้ไม่กินน้ำหวานได้จัง อดข้าวยังง่ายกว่าอดน้ำเลยครับ ><)
ขอบคุณครับ
---------------------------------------------------------------------------------------------
รายละเอียด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้