💫🕛💫🚀 แดนศิวิไลซ์ ( หลงกาล ภาค 2 ) ตอนที่ 18 🚀💫🕛💫

กระทู้คำถาม

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทั้งจักรพรรดิเนรอส และเทพพยากรณ์ออเรเคิลต้องหัวเสียอย่างหนัก เมื่อพบว่าในที่สุด กัปตันวันชนะและสองสามีภรรยา แซมและจอย หนีจากไปได้อีก

"พวกเจ้าควบคุมดูแลกันเยี่ยงไร ถึงได้ปล่อยให้พวกมันหนีไปได้อีก น่าโมโหจริงๆ!"  จักรพรรดิเนรอสตรัสด้วยความหงุดหงิดบนบัลลังก์ในท้องพระโรง โดยมีเทพพยากรณ์และเลโอนีดาสยืนก้มหน้าต่อเบื้องพระพักตร์ ส่วนบรรดาผู้มีพลังจิตทั้ง 8 และข้าราชบริพารคนอื่นๆ ยืนอยู่ด้านหลังอีกที

"ขอพระราชทานอภัยโทษด้วยเพคะ ฝ่าบาท เป็นความประมาทเลินเล่อของหม่อมฉันเองเพคะ" ออเรเคิลทูลออกรับความผิดแทนบริวารทุกคน

"เจ้าประมาทเลินเล่ออย่างไรกันเล่า ออร่า ?" จักรพรรดิตรัสถามนางด้วยพระสุรเสียงอ่อนลง และแววพระเนตรก็ดูอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด แถมยังทรงตรัสเรียกชื่อนางสั้นๆ อย่างเป็นกันเองว่า "ออร่า" เสียด้วย !

ปรากฏการณ์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่คนในวังหลายคนได้เห็นประจักษ์ในช่วงหลังๆ มานี้ จนมีเสียงแอบซุบซิบร่ำลือกันว่า บางที จักรพรรดิอาจทรงลุ่มหลงเทพพยากรณ์เข้าแล้ว และเนื่องจากพระองค์ยังมิได้ทรงอภิเษกสมรส จักรวรรดิแอตแลนติสใต้มีแต่จักรพรรดิ ยังไม่มีจักรพรรดินี ถึงแม้ว่าจักรพรรดิจะทรงโปรดการเสพเมถุนและมีนางสนมเป็นอันมากก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครโดดเด่นและมีความเหมาะสมเพียงพอสำหรับตำแหน่งคู่พระบารมี ดังนั้นจึงมีสตรีรูปงามหลายคนเป็นที่คาดหมายว่าอาจโชคดีได้เป็นสตรีอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน แต่คนที่โดดเด่นมากที่สุดในขณะนี้คือ เทพพยากรณ์ ออเรเคิล! บางคนก็นินทานางว่า นางเป็นทั้งเทพพยากรณ์และจอมเวทยมนต์ บางทีนางอาจใช้วิชามนต์เสน่ห์ผูกมัดพระทัยองค์จักรพรรดิก็เป็นได้! ฉะนั้น การที่พระองค์จะมีพระสุรเสียงอ่อนลง และทอดพระเนตรนางด้วยสายพระเนตรอันอ่อนโยนหลังจากสดับคำทูลขอพระราชทานอภัยโทษของนาง จึงไม่แปลกอะไร!

"ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันประมาทมากไปจริงๆเพคะ คือว่า วันชนะ และบริวารชายหญิงสองคนนั้น มีกำไลประหลาดสวมอยู่ กำไลนั้นไม่มีผู้ใดสามารถแย่งชิงถอดเอามาได้ พวกเขาน่าจะหนีไปได้โดยใช้กำไลนั้นเป็นเครื่องมือ ก็อาจเป็นได้เพคะ"

"เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ ?" เนรอสตรัสถามด้วยความฉงนฉงาย "มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ?"

"ทูลฝ่าบาท มีวิทยาการอย่างหนึ่งซึ่งสามารถส่งวัตถุสิ่งของ หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิต จากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งได้ วิทยาการนี้ ยานบินของชาวแอตแลนติสเราก็มีใช้อยู่นะเพคะ บางที พวกของวันชนะ ก็อาจประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือที่ทำเช่นนี้ได้ ก็อาจเป็นได้นะเพคะ"

"ถ้าพวกมันทำได้ นั่นแสดงว่าดินแดนมาตุภูมิที่พวกมันจากมา ต้องมีอารยธรรมเจริญรุดหน้าเฉกเช่นอารยธรรมแอตแลนติสน่ะสิ! แต่ข้ามองไม่เห็นว่าจะมีดินแดนใดในโลกนี้ที่จะมีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมเราเลยสักแห่งเดียว! มีแต่พวกด้อยพัฒนาทั้งนั้น!"

"ถ้าเป็นในช่วงเวลาปัจจุบัน ก็ไม่มีที่ใดในโลกเจริญทัดเทียมเราอย่างแน่นอนเพคะ อย่าว่าแต่ทัดเทียมเลย ต่อให้เศษหนึ่งส่วนร้อยก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ!"

เนรอสทรงสะดุดพระกรรณทันทีกับคำพูดของนาง

"เจ้าบอกว่า 'ถ้าเป็นในช่วงเวลาปัจจุบัน' อย่างนั้นหรือ ?"

"ใช่เพคะ ฝ่าบาท"

"เจ้าหมายความว่า..."

"หม่อมฉันหมายความว่า บางที พวกเขา อาจจะมิใช่คนในสมัยปัจจุบัน เพคะ ฝ่าบาท!"

"มิใช่คนในสมัยปัจจุบัน !!???" จักรพรรดิทรงทวนคำของนาง "ถ้าไม่ใช่คนในปัจจุบัน ก็ต้องเป็นผู้มาจากอนาคต!!"

"ถูกต้องเพคะ ฝ่าบาท"

จักรพรรดิเนรอสทรงเครียดขึ้นมาทันที

"หากพวกนั้นมาจากอนาคตจริง การที่พวกมันไปเข้าพวกกับฝ่ายสหพันธรัฐ ย่อมไม่เป็นผลดีแก่เราอย่างแน่นอน!"

"แต่ก็ยังดีนะเพคะ ที่พวกเขาไปแต่ตัว ทิ้งสิ่งที่มีค่าของพวกเขาเอาไว้ให้เรา"

"เจ้าหมายถึง ยานบินขนาดยักษ์ลำนั้น ?"

"ใช่แล้วเพคะ ฝ่าบาท วิทยาการแห่งโลกอนาคต มีอยู่กับยานลำนั้นอย่างแน่นอนเพคะ"

เนรอสทรงดีดนิ้วพระหัตถ์ดังเป๊าะ

"ถ้าเช่นนั้น อย่ามัวชักช้า เลโอนีดาส!" ทรงตรัสเรียกอดีตขัณฑีหลวง

"พระเจ้าข้า ฝ่าบาท" เขารีบน้อมกายคารวะ รอรับพระบัญชา

"เจ้าก็เป็นหนึ่งในวิศวกรผู้ชำนาญในวิทยาการยานยนต์ จงรวบรวมสมัครพรรคพวก ตั้งคณะวิศวกรพิเศษ ร่วมกันทำการชำแหละยานลำนั้น ศึกษามันให้ละเอียดถี่ถ้วน คุณสมบัติอันใดที่ยานใหม่ของเจ้าซึ่งกำลังสร้างไม่มี ก็จงทำให้มันมี ให้ทัดเทียมกับยานลำนั้นให้จงได้ ไปจัดการระดมพลวิศวกร และเริ่มงานโดยพลัน!"

"น้อมรับพระบัญชา พระเจ้าข้า ไปเดี๋ยวนี้แหละพระเจ้าข้า!"

หลังจากเลโอนีดาสทูลลาออกจากท้องพระโรงไปแล้ว จักรพรรดิเนรอสมีรับสั่งให้เทพพยากรณ์ไปเข้าเฝ้า ณ พระตำหนักฤดูหนาวส่วนพระองค์

"ข้ามีเรื่องสำคัญจะหารือกับเจ้า"

"เพคะ ฝ่าบาท" ออเรเคิลทูลตอบรับ และยิ้มให้พระองค์นิดหนึ่ง

ครั้นถึงพระตำหนักฤดูหนาว จักรพรรดิรับสั่งให้เทพพยากรณ์ตามพระองค์เข้าไปข้างใน แล้วทรงปิดประตู จากนั้นทรงเกาะกุมมือทั้งสองของนางไว้แล้วตรัสเผยความในพระทัย

"ออร่า...ยิ่งนานวัน ข้ายิ่งเห็นความงดงามในตัวเจ้ามากขึ้นทุกที..."

"อุ๊ย! ฝ่าบาท...จะทรงกระทำอันใดเพคะ ?" ออเรเคิลทำอาการขัดขืนนิดๆ

"ข้า...ต้องการเจ้า!" เนรอสตรัสด้วยน้ำเสียงกระเส่า "ออร่า...เจ้า เป็นของข้าเถิดนะ แล้วข้าจะให้เจ้าอภิเษกกับข้า เจ้าจะได้เป็นจักรพรรดินี!" ตรัสจบ เนรอสก็ทรงยื่นพระพักตรเข้าหานาง ทรงใช้พระนาสิกดมดอมหอมแก้มและซอกคอของนาง สองหัตถ์รวบกอดร่างของนางกระชับแน่น!

ออเรเคิลแอบยิ้ม แล้วค่อยๆ ผลักไสพระองค์พลางทูลบอก ได้ยินเสียงพระองค์หายใจฟืดฟาดด้วยความร้อนรุ่ม และสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความทรงกระสันรัญจวนพระทัย!

"ฝ่าบาท...ตอนนี้ ยังไม่ได้เพคะ ได้โปรดทรงอดพระทัยรอก่อน"

"ไยจึงยังไม่ได้เล่า ?" เนรอสตรัสถาม และยังคงทรงซุกไซ้ซอกคอนางอยู่ "กลิ่นกายเจ้าหอมเหลือเกิน ยิ่งกว่าสตรีใดๆที่ข้าเคยพานพบ!"

ออเรเคิลค่อยๆ ผลักพระอุระของพระองค์ออกห่างแล้วทูลบอก

"ได้โปรดทรงสดับคำพูดของหม่อมฉันก่อนนะเพคะ ฝ่าบาท...หากทรงสดับแล้ว ฝ่าบาทจะยังคงทรงยืนยันที่จะทรงกระทำกับหม่อมฉันต่อ หม่อมฉันก็จะไม่ขัดพระทัยฝ่าบาทแล้วหละเพคะ!"

"ได้สิ! ว่าที่จักรพรรดินีของข้า ว่ามาเลย" เนรอสทรงหยุดยั้งการโลมเล้า

"ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันสุดแสนปลาบปลื้มยินดีที่พระองค์ทรงเผยความในพระทัย และหม่อมฉันก็ไม่ขัดข้องเพคะ หม่อมฉันยินดีเป็นผู้อยู่เคียงข้างพระวรกายของพระองค์ตราบจนชีวิตจะหาไม่เพคะ เพียงแต่ว่า ฝ่าบาทจำเป็นต้องทรงอดเปรี้ยวไว้เสวยความหวานในภายหลัง หม่อมฉันรับประกันว่าจะทำให้ฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญอย่างสูงสุดทีเดียว! ฝ่าบาทเพคะ...ตอนนี้ เรามีงานใหญ่ต้องทำกันนะเพคะ หม่อมฉันเป็นเทพพยากรณ์ได้อย่างไร เป็นผู้มีวิชาไสยเวทย์ได้อย่างไร ฝ่าบาทคงทรงทราบดีนะเพคะ ว่าหม่อมฉันจำเป็นต้องรักษาพรหมจรรย์ไว้ก่อน เพื่อให้มีพลังจิตกล้าแกร่งเหนือกว่าใครๆ และสรรพวิชาในตัวของหม่อมฉันก็จะทรงประสิทธิภาพ หากหม่อมฉันถวายพรหมจรรย์แด่ฝ่าบาทวันนี้ เทพพยากรณ์คนนี้ก็จักเสื่อมซึ่งมนตรา คาถาอาคมต่างๆ ก็จะเสื่อมความขลัง อ่อนอานุภาพไปนะเพคะ"

"โอ! มันมีผลเสียหายร้ายแรงถึงเพียงนั้นเทียวรึ ?" เนรอสทรงเบิกพระเนตรกว้าง

"เพคะ ฝ่าบาท...เหตุฉะนั้น หม่อมฉันจึงจำเป็นต้องขัดขืน ขัดพระทัย ยับยั้งฝ่าบาทไว้ก่อน รอให้งานของเราสำเร็จ สร้างยานบินที่มีคุณสมบัติทัดเทียมกับยานของวันชนะลำนั้นได้ครบร้อยลำ และบุกโจมตี ยึดสหพันธรัฐ ผนวกดินแดนเป็นจักรวรรดิแอตแลนติสเพียงหนึ่งเดียวได้เมื่อใด เมื่อนั้น หม่อมฉันจะถวายตัวแด่ฝ่าบาทอย่างแน่นอน จะตามพระทัยฝ่าบาท ทุกท่วงท่า ทุกลีลา ให้ฝ่าบาททรงสุขสำราญทุกทิวาราตรีเลยเพคะ!"

เนรอสทอดถอนพระทัย ก่อนจะทรงพยักพระพักตรตรัสยินยอม

"ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จำยอม ตกลงตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน"

ออเรเคิลยิ้มหวานให้ แล้วจุมพิตที่พระปรางหนึ่งที จากนั้นกระซิบบอกพระองค์เบาๆ

"ฝ่าบาท ยังทรงรุ่มร้อนพระวรกายอยู่ โดยเฉพาะ....ตรงส่วนนั้น! คงต้องทรงใช้บริการจากนางสนมสวยๆ สักนางหนึ่งแล้วหละเพคะ หม่อมฉันทูลลาเพคะ!"

พูดจบ เทพพยากรณ์ก็ย่อกายลงคำนับ แล้วกลับหลังหันเดินไปที่ประตู เปิดออก เดินจากไปด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น!

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เนรอสรับสั่งเรียกหานางผู้ละม้ายคล้ายคลึงกับ "ออเรร่า" ให้เข้าเฝ้า และจัดการกับนางถึงสามครั้งสามครา!!

วันต่อมา......

เลโอนีดาส รวบรวมเหล่าวิศวกรได้จำนวนยี่สิบกว่าคน ร่วมกันตั้งทีมงานเฉพาะกิจเพื่อศึกษายาน THE FUGITIVE

ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า จำเป็นต้องชำแหละ แยกชิ้นส่วนของยาน แล้วแบ่งกันทำการศึกษาวิจัย

แต่ทว่า...พอถึงเวลาทำการชำแหละ แต่ละคนๆ ล้วนทำหน้าเบ้ ส่ายหัวดิก!

เพราะ THE FUGITIVE ล็อกตัวเองแน่นหนา ปิดประตูทางเข้าสนิท พร้อมกับเปิดระบบป้องกันตัวเองด้วยม่านบาเรีย! ซึ่งได้พลังงานจากแสงสว่าง ตราบใดที่ยังมีแสงสว่าง มันก็จะได้พลังงานชาร์จอยู่ตลอดเวลา...

ไม่มีใครเข้าไปสัมผัสยานได้เลย พอมีใครเอื้อมมือเข้าไปหา ก็จะถูกพลังกระแสไฟฟ้าจากม่านบาเรียสะท้อนและช็อตหงายหลังไปตามๆ กัน!

THE FUGITIVE หาใช่เป็นแค่ยานบินธรรมดาๆ ที่จอดนิ่งรอให้ใครๆ ชำแหละแยกชิ้นส่วนได้ตามใจชอบไม่!

มันเป็นเหมือน "หุ่นยนต์ขนาดยักษ์" ตัวหนึ่งดีๆ นี่เอง!

ใครหน้าไหนก็อย่าแหยม ยกเว้น กัปตันวันชนะผู้เป็นเจ้าของ และเหล่าสมาชิก เท่านั้น!!


**************************************************************

ศูนย์วิทยาศาสตร์และฐานปฏิบัติการแห่งโลโคเทีย สหพันธรัฐแอตแลนติสเหนือ...

กัปตันวันชนะ แซม และสาวจอย ได้เดินทางมากับยาน SAVIOR FALCON ของสถาพร หลังจากที่สองสหายติดต่อกันได้ และบัดนี้ คณะของกัปตัน ซึ่งรวมทั้งกลุ่มของสถาพรด้วย จึงได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันครบทุกคนบนแผ่นดินทวีปแอตแลนติสเป็นครั้งแรก

แอนนาและเด็กชายแจ๊ค สองพี่น้องผู้ทรงพลังจิต ช่วยกันฝังตะกรุดของมหาเอกซึ่งผ่านการปลุกเสกมาแล้วไว้ใต้ผิวหนังบริเวณแขนของกัปตันวันชนะเป็นคนแรก แล้วต่อด้วยคนอื่นๆ ในคณะจนครบทุกคน เพื่อป้องกันการถูกสะกดจิตจากทางไกล

"ทันทีที่มีกระแสจิตใดๆ ส่งมาคุกคาม ตะกรุดจะส่งพลังพุทธคุณต้านมันไว้ ซึ่งผู้ส่งกระแสจิตต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำลายพุทธคุณได้ครับ" มหาเอกอธิบายสรรพคุณของตะกรุดซึ่งตนได้รับมาจากพระอาจารย์มานานแล้วพร้อมกับกรรมวิธีการสร้างเพิ่มและปลุกเสก

ทั้งสองฝ่ายซึ่งแยกกันแต่แรก ต่างเล่าเรื่องต่างๆ ที่ต่างฝ่ายต่างประสบมา แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ในบ้านพักหลังใหญ่กว้างขวางของกัปตันวันชนะซึ่งอิบิคัสผู้นำโลโคเทียสั่งจัดหาให้เป็นพิเศษ และเขากับเซบาสเต็นเพื่อนสนิทก็อยู่ร่วมวงสนทนาด้วย

"สรุปว่า ขณะนี้ ผู้อาวุโสไดโอเซนัส อาจารย์ของแม่หมอฟรีด้า ยังไม่ตาย และรอการรักษาอยู่บนเกาะนิรนาม" อิบิคัสกล่าวสรุปหลังจากได้ฟังเรื่องราวต่างๆจนครบ

"ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้นำชุมชน" สาวจอยตอบ

"ท่านหญิงและท่านแซม จำทางเข้าสู่เกาะแห่งนั้นได้ใช่ไหม ?" เซบาสเต็นถาม

"จำได้ขอรับ" แซมเป็นฝ่ายตอบ "แต่ว่า การจะกลับไปหาท่านผู้อาวุโสไดโอเซนัสนั้น ทางฝ่ายพวกกระผม จำเป็นต้องไปเพียงฝ่ายเดียวนะขอรับ ต้องไม่มีพวกท่านไปด้วย ไม่ว่าใครก็ตาม!"

"อ้าว!?" อิบิคัสอุทาน "เหตุไฉน จึงต้องเป็นเช่นนั้นเล่า ?"

"เพราะเป็นคำสั่งของท่านผู้อาวุโสไดโอเซนัสเจ้าค่ะ" สาวจอยไขข้อข้องใจผู้นำชุมชน "ท่านผู้อาวุโสสั่งกำชับไว้ ที่ท่านสั่งให้ทำเช่นนั้นก็เพราะว่า ท่านไม่ต้องการให้ชาวแอตแลนติสผู้ใดได้ล่วงรู้ถึงที่ตั้งแห่งเกาะนั้น ท่านต้องการปกปิดไว้เป็นความลับ และท่านต้องการอยู่ที่นั่นชั่วชีวิตเจ้าค่ะ"

"เข้าใจละ!" เซบาสเต็นพยักหน้า "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเรา ก็อย่าได้ขัดขืนฝืนใจท่านผู้อาวุโสไดโอเซนัสเลยนะ อิบิคัสสหายข้า"

"ตกลง! ข้าเข้าใจท่านผู้อาวุโส ว่าท่านต้องการความสงบวิเวก ถ้าอย่างนั้นพวกท่านก็ไปกันเองเถิด" อิบิคัสกล่าวกับสหายแล้วหันไปกล่าวกับกัปตันวันชนะ

"ได้ขอรับ แต่พวกกระผมจะไม่ไปกันหมดทุกคนดอกขอรับ เพราะพวกกระผมมีจำนวนมากเกินไป หากไปกันหมด เกรงว่าจะเป็นการรบกวนความสงบแก่ท่านผู้อาวุโสไดโอเซนัส ฉะนั้น จะมีเพียงบางคนเท่านั้นที่จะไปกับแซมและจอยขอรับ"

(ต่อครับ)[
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่