หัวใจซ่อนรัก บทที่ 8






ขอบคุณปกจากพี่ออม(รัชต์สารินท์)ด้วยนะคะ
ออกแบบมาให้สองแบบเลย ชอบมากค่ะ^^


**********



บทที่ 8


งานศพพี่เดชจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ที่วัดแห่งหนึ่ง ในงานวันแรกมีคนมาร่วมงานบางตา ทราบมาว่าเป็นญาติพี่น้องทางฝั่งน้ากานดาด้วยกันทั้งสิ้น และมีเพื่อนสนิทของพี่เดชอีกสามคนมาช่วยงานส่วนสามีน้ากานดา พ่อเล่าให้ฟังว่า ได้เลิกรากับน้ากานดาไปหลายเดือนแล้ว

ฉัน พ่อ แม่ และพี่โอม มางานศพตั้งแต่เช้า เพราะพ่อตั้งใจจะมาช่วยงาน ทันทีที่น้ากานดาเห็นพวกเรา ท่านก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับ ด้วยใบหน้าที่ยังมีคราบน้ำตา ดวงตาแดงก่ำซึ่งบ่งบอกได้ชัดว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง ความเศร้าเสียใจ คงกัดกร่อนน้ากานดาไปมากทีเดียว

จากร่างกายที่ผายผอมอยู่แล้ว ในวันที่ฉันเจอน้ากานดาครั้งแรก เมื่อสองอาทิตย์ก่อน มาวันนี้น้ากานดาดูซูบผอมลงกว่าเดิมอีกเท่าตัว ผอมมากจนน่าเป็นห่วง ขนาดพ่อยังต้องเอ่ยบอกน้ากานดาให้หาข้าว หาปลากินก่อน น้ากานดาได้แต่พยักหน้า แล้วบอกว่ายังไม่หิว

แม่จึงเดินเข้าไปลูบแขน จับมือน้ากานดา

"เสียใจด้วยนะดา" แม่พูดขึ้น ฉันมองดูอยู่ใกล้ ๆ สัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยระหว่างแม่กับน้ากานดา เหมือนพวกท่านต่างรู้จักกันมาก่อน

น้ากานดาน้ำตาไหลพราก แล้วโผเข้ากอดแม่ แม่กอดตอบ และลูบหลังน้ากานดา น้ำเสียงแผ่วเบาของแม่คอยปลอบประโลมน้ากานดาด้วยความเป็นห่วง

พ่อยืนมองด้วยใบหน้านิ่งเฉย แต่ฉันรู้ว่าพ่อเจ็บปวด และเสียใจไม่ต่างจากน้ากานดา แต่พ่อเลือกที่จะร้องไห้ในใจไม่ให้ใครเห็น และแสดงผ่านความเสียใจด้วยความเงียบขรึม

พ่อกับพี่โอมเดินเข้าไปในงาน จุดธูปไหว้ศพ แล้วรีบไปช่วยจัดโต๊ะ เก้าอี้ ให้แขกที่จะมาร่วมงานสวดอธิธรรมในช่วงตอนเย็นได้นั่ง ซึ่งทุกอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทางเท่าไหร่ ศาลาที่ใช้ตั้งศพ ยังขาดเก้าอี้อีกมาก ที่ฉันเห็นคงมีสักสิบตัวมั้ง ได้ยินเสียงพ่อพูดกับคุณลุงคนหนึ่งว่ามีโต๊ะเก้าอี้อีกไหม แล้วพ่อกับพี่โอมก็เดินตามคุณลุงคนนั้นไป

"ไปกินข้าวก่อนเถอะดา เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไป" แม่พูดกับน้ากานดา

"ฉันกินไม่ลงหรอกเพ็ญ ยังไม่หิวด้วย เดี๋ยวต้องไปทำอาหารไว้รับแขก เธอกับหนูแอมเข้าไปนั่งก่อนเถอะ"

น้ากานดาพูดไปก็ยกมือปาดน้ำตาไป แม่จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าถือส่งให้น้ากานดา

"เดี๋ยวฉันช่วยอีกแรง แอมก็มาช่วยเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำแขกนะลูก...แล้วครัวอยู่ตรงไหนล่ะ"

แม่รู้ว่าพ่อเสียใจกับเรื่องราวของลูกชายที่ตนไม่เคยรู้มาก่อน พอรู้อีกทีลูกก็จากไปเสียแล้ว แม่ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากคอยปลอบและให้กำลังใจพ่อ และสิ่งที่แม่อยากช่วยในงานศพคงเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยพ่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เศร้าโศกนี้ไปได้

น้ากานดาจึงพาฉันกับแม่มายังจุดที่ใช้ทำอาหาร มันเป็นศาลาเล็ก ๆ ที่ดัดแปลงมาเป็นห้องครัวของวัด อยู่ถัดจากศาลาตั้งศพไม่ไกลมากนัก

ห้องครัววัดขนาดกระทัดรัด มีซี่กรงเหล็กกั้นรอบศาลาป้องกันหมาแมวไม่ให้เข้ามาคุ้ยเขี่ยหาของกิน พื้นปูนที่ฉาบไม่ละเอียด แต่ดูสะอาดสะอ้าน ภายในศาลามีลังน้ำเแข็งสองลัง ข้าง ๆ มีโต๊ะพับสำหรับวางแก้วน้ำ และขวดน้ำดื่ม ถัดจากลังน้ำแข็ง มีแคร่ไม้ไผ่สองแคร่ บนแคร่มีพวกถ้วยชามหม้ออุปกรณ์ทำอาหาร และอีกแคร่หนึ่งวางพวกผัก เนื้อ เครื่องปรุง

มีเสื่อปูอยู่ด้านข้างแคร่ หญิงสาวอายุอานามน่าจะมากกว่าฉันหลายปี กำลังนั่งหั่นต้นหอมอยู่บนเสื่อ และมีหญิงสูงวัยสองคนนั่งอยู่ข้าง ๆ คนหนึ่งกำลังสับเนื้อ อีกคนกำลังปรุงเครื่องปรุงลงหม้อที่ตั้งอยู่บนเตาถ่าน และอีกหม้อตั้งอยู่บนเตาแก๊ส

น้ากานดาแนะนำให้รู้จัก หญิงสูงวัยสองคนนั้นคือพี่สาวน้ากานดา ส่วนหญิงสาวนั้นเป็นลูกของพี่สาวคนโต ชื่อหนึ่ง อายุมากกว่าฉันสี่ปี

แล้วน้ากานดาก็แนะนำฉันกับแม่ว่าเป็นใคร ฉันยกมือไหว้พวกท่านทุกคน และเดินมานั่งข้างพี่หนึ่ง เอ่ยปากของช่วยงาน พี่หนึ่งจึงบอกให้ฉันนำผักที่อยู่ในถุงไปล้าง

พี่หนึ่งเป็นคนรูปร่างอวบ ดวงตากลมโต คิ้วดำเข้มเรียว เรียงตัวสวยงามโดยไม่ต้องเขียวคิ้วก็ดูสวยเป็นธรรมชาติ ผิวสีน้ำตาล เวลาพูดน้ำเสียงจะค่อนข้างเบา ดูเป็นคนเรียบร้อย อ่อนหวานมาก

ระหว่างช่วยงาน ฉันอยากรู้เรื่องพี่เดช จึงเอ่ยถามพี่หนึ่งอยู่หลายเรื่อง อาทิเช่นว่า พี่เดชเป็นคนยังไง มีแฟนหรือยัง เรียนที่ไหน บางเรื่องพี่หนึ่งก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะอยู่กันคนละอำเภอนาน ๆ จะได้เจอกันที อย่างเรื่องแฟน พี่หนึ่งโบกมือพัลวันบอกว่าไม่รู้เลย

ส่วนเรื่องนิสัย พี่เดชเป็นคนขี้อาย พูดน้อย แต่เรื่องมีน้ำจิตน้ำใจกับเพื่อนฝูงนี่มาที่หนึ่งเสมอ อย่างที่ต้องมาเจ็บหนักจนตาย ก็เพราะไปช่วยเพื่อน พี่หนึ่งหยุดเล่าแล้วเช็ดน้ำตา ฉันจึงไม่เอ่ยถามอะไรอีก นั่งก้มหน้าก้มตาจัดผักใส่จาน

"เดชเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคน่ะ มีเพื่อนเยอะทีเดียว ช่วงเย็นพวกเพื่อน ๆ คงพากันมางานศพกันเยอะ"

พี่หนึ่งพูดขึ้นหลังจากปล่อยให้ความเงียบงัน ช่วยบรรเทาความเสียใจออกไปบ้างแล้ว ฉันหันมายิ้มและพยักหน้า

"ถ้าเดชรู้ว่ามีน้องสาวที่น่ารักอย่างน้องแอม เขาคงดีใจมากแน่ ๆ " และพี่หนึ่งก็พูดต่อ ในขณะที่มือง่วนอยู่กับการจัดจานอาหารวางใส่ถาด ก่อนจะขอตัวยกถาดอาหารไปให้ คนที่มาช่วยงานในศาลาตั้งศพ

ครอบครัวฉันมาช่วยงานแค่ช่วงเช้าแล้วต้องขอตัวกลับ พ่อมีงานรออยู่ เราจะแวะมาอีกทีในช่วงตอนเย็น และแม่ตั้งใจจะแวะตลาดซื้อจำพวกเนื้อหมู ไก่ ไข่ และข้าวสาร มาให้น้ากานดาได้นำมาปรุงเป็นอาหารรับแขก เพราะแม่เห็นแล้วว่าของที่มีอยู่ในงานค่อนข้างน้อยคงไม่พร้อมสำหรับ งานที่จะจัดสามวัน

พวกเรามาส่งพ่อที่โรงพยายาล แล้วแม่ก็รับหน้าที่เป็นคนขับรถต่อจากพ่อ ภายในรถจึงเหลือฉัน แม่และพี่โอมที่ตอนนี้นั่งหลับคอพับคออ่อนไปแล้ว หมดแรงไปตามประสาคนนอนดึกตื่นเช้า

"แม่รู้จักน้ากานดาด้วยหรือคะ" ฉันซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังเอ่ยถามแม่เบา ๆ รู้สึกเกรงใจแม่เหมือนกันที่ถามถึงคนรักเก่าของพ่อ

"รู้จักจ๊ะ ดากับแม่เรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่คนละคณะ เคยร่วมทำกิจกรรมด้วยกันหลายครั้ง แต่ไม่ได้สนิทอะไรกันมากหรอกนะ ตอนนั้นพ่อกับดาคบกันเป็นแฟนอยู่...." แม่หยุดพูดไปเหมือนกำลังนึกอะไร

"แม่ชอบพ่อไหมคะ ตอนที่เห็นพ่อน่ะ"

"โอ้..ไม่เลยจ๊ะ แม่ไม่ถูกชะตากับพ่อเอามาก ๆ แม่คิดว่าพ่อไม่ใช่สเป็คแม่เลย ตอนเป็นวัยรุ่นน่ะ พ่อเราขี้เก๊กน่าดูเลย แม่เห็นทีไรหมั่นไส้สุด ๆ แต่ใครจะไปรู้ จากคนที่เราไม่คิดจะชอบ จู่ ๆ ก็ได้มาแต่งงานกันซะงั้น..."

แม่พูดไปก็หัวเราะเบา ๆ จากคำพูดของแม่ ทำให้ฉันคิดถึงนายต่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าของนายแว่น ขี้เล่น แล่นเข้ามาจู่โจมความรู้สึกของฉันให้สั่นไหว บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่าอยากเจอ อยากพูดคุยกับเขา เหมือนฉันกำลังคิดถึง แต่ไม่นะ ฉันจะไม่ใช้คำว่าคิดถึง มันอาจเป็นแค่ความรู้สึกอยากขอบคุณนายต่อเท่านั้นละมั้ง

ฉันถอนลมหายใจ เอนหลังพิงเบาะ ปล่อยให้ความคิดเลื่อนลอยออก แต่บ้าชะมัด ใบหน้าของนายแว่นโย่ง กลับเข้ามาในความคิดของฉัน นี่ฉันกำลังชอบนายนี่หรือไง ฉันสลัดหน้าไปมาเพื่อไล่ภาพนายต่อออกไปจากความคิด

"ไล่ใครออกจากหัวหรือครับ คุณน้องสาว" พี่โอมตื่นพอดี และดันหันมาเห็น อาการบ้าบอของฉัน

"ไล่ยุงค่ะ คุณพี่ชาย

"อ่อ..นึกว่าคิดถึงหนุ่มที่ไหนเสียอีก"

"บ้า แอมไม่ได้คิดถึงใครสักหน่อย"

"นั่นไง..ร้อนตัว"

"ร้อนตัวอะไรไอ้พี่บ้า"

ฉันโน้มตัวไปข้างหน้า เอามือไปตีแขนพี่โอมหลายที แล้วพี่โอมก็ขยี้ผมฉันจนผมพันกันยุ่งเหยิง ก่อนจะเขกหัวอีกหลายที แม่ได้แต่ตะโกนห้ามเล่นกันในรถ และฉันก็ต้องยอมแพ้ถอยออกมา เมื่อสู้แรงพี่โอมไม่ไหว

"แม่จอดให้ผมลงที่บ้านโจ้นะ เดี๋ยวตอนเย็น ผมจะไปงานศพเอง ไม่ต้องมารับ"

บ้านพี่โจ้อยู่ทางผ่านที่จะไปตลาดพอดี พี่โอมจึงขอลงก่อน

"ไม่คิดจะไปถือของช่วยกันเลย" ฉันบ่นอุบ ถ้าพี่โอมไม่ไปตลาดด้วย สงสัยต้องถือของหนักแน่

พี่โอมยกไหล่แล้ว เปิดประตูลงจากรถทันทีที่รถจอดสนิท


เมื่อฉันกับแม่ซื้อของที่ตลาดครบทุกอย่างแล้ว เรากลับเข้าบ้านเอาพวกของสดแช่ในตู้เย็น กะว่าตอนเย็นค่อยเอาไปให้ เพราะแม่ต้องแวะเข้าไปดูที่ร้าน เห็นผู้จัดการร้านโทร.มาบอกแม่ว่ารายการสินค้าที่สั่งซื้อไป ส่งมาไม่ครบ แถมบางชิ้นก็ไม่ตรงตามรายการสินค้า

ฉันรู้สึกดีใจที่ได้กลับมาบ้าน จะได้เจอนายต่อแล้ว แต่ตอนที่แม่เลี้ยวรถเข้ามาในซอย มองไปที่ร้านแม่นายต่อ ไม่เห็นเขาอยู่ที่ร้าน ปกติวันเสาร์อาทิตย์จะเห็นช่วยแม่ตลอด หายไปไหนนะ นึกแล้วก็ลองไปดูที่ร้านดีกว่า

ทันทีที่แม่ออกจากบ้าน ฉันใส่สายจูงให้เจ้าซูโม่ มันร้องโฮ่ง กระดิกหาง และยืนสองขา ใบหน้าและดวงตายิ้มแฉ่ง มันคงรู้ว่าจะได้ออกไปเดินเล่น เพราะตั้งแต่เปิดเทอมฉันไม่ค่อยมีเวลาได้พามันเดินเล่นบ่อยนัก อย่างมากก็ปล่อยให้มันออกไปวิ่งเล่นเองตัวเดียว ส่วนฉันยืนดูอยู่ห่าง ๆ

ฉันปิดประตูลงกลอน แล้วเดินจูงซูโม่ออกมา ระหว่างนั้น เห็นพี่มินเดินถือหมวกกันน็อตออกมาจากบ้านพอดี พี่มินใส่ชุดหนังสีดำ ฉันชอบดูเวลาพี่มินแต่งตัวทะมัดทะแมงแบบนี้ เท่ทีเดียวเชียวละ ไม่แปลกใจเลย ทำไม่พี่โอมถึงหลงเสน่ห์สาวมาดเท่อย่างพี่มิน

"น้องแอม" พี่มินเรียก และโบกมือ ฉันจึงพาเจ้าซูโม่เดินไปหาพี่มิน

"เสียใจด้วย เรื่องพี่ชายอีกคนน่ะ" พี่มินพูดขึ้น น้ำเสียงและแววตาบ่งบอกถึงความเสียใจตามที่พูด

"พี่มินรู้เหรอคะ" ฉันแปลกใจจนอดถามไม่ได้ นี่มันเรื่องในครอบครัวของฉัน พี่มินรู้ได้ไง พอคิดมาถึงตอนนี้ ฉันก็ถึงบางอ้อ เป็นพี่โอมแน่เลยที่บอกพี่มิน

เพราะตั้งแต่ที่พี่มินกับพี่โอมไปเรียนมหาวิทยาลัยที่เดียว ก็ดูเหมือนว่าพี่ทั้งสองจะสนิทกันมากขึ้น บ่อยครั้งที่ฉันเห็นพี่โอมโทร.หาพี่มิน และมีอยู่สองครั้งที่พี่โอม มาติวหนังสือที่บ้านพี่มิน สองคนนี้ชักยังไง ๆ อยู่นะ

"โอมเล่าให้พี่ฟังน่ะ"

แล้วสมมติฐานของฉันเป็นจริง เรื่องมาจากปากพี่โอมจริง ๆ ด้วย

"ขอบคุณค่ะพี่มิน...ต่ออยู่บ้านไหมคะ"

"ไม่อยู่จ๊ะ...น่าจะอยู่ร้านมั้ง น้องแอมลองไปดูที่ร้านดูนะ งั้นพี่ขอตัวไปทำงานก่อน แล้วเจอกันจ้ะ"


.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่