..........รักซ้อน ซ่อนพิษ........ตอนที่ ๑๓..........@@ โดย ลุงแผน

กระทู้สนทนา

                                                                                 ..........( รักซ้อน ซ่อนพิษ )..........

       ตอนเดิมครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

       ตอนที่ ๑๓

..........การเผชิญหน้ากันของคนสองฝั่ง จำนวนคน มีความสำคัญ แต่ต้องเป็นไปตามความเหมาะสม พอดีกับสถานการณ์ ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป บางครั้งการโหมกำลังมหาศาล ไปยังฝ่ายตรงข้ามที่มีจำนวนน้อยนิด ก็สามารถเอาชนะได้อย่างเด็ดขาด ในเวลาอันรวดเร็ว

       หลักการง่าย ๆ เมื่อมีกำลังมากกว่า ก็บุกตะลุยเข้าไป อย่าให้อีกฝ่ายตั้งตัว แค่นี้ก็เกินพอที่จะกำชัยชนะได้ แต่ ข้อเสียของฝ่ายที่คนมาก คือถ้าไม่ได้ฝึกฝน หรือซักซ้อมกันมาก่อน ความโกรธแค้น ความห่าม ความดิบ จะออกไปในทางฮึกเหิมแบบคึกคะนอง คือแข่งขันกัน ตามล่าฝ่ายตรงข้ามเพื่อโอ้อวดกัน ใช้กำลังทุ่มเข้าไป ด้วยย่ามใจว่าได้เปรียบหลายเท่าตัว ขาดไตร่ตรองไปทีละขั้นตอน ใช้แต่กำลังเพียงอย่างเดียว จึงไม่แน่นักว่าจะชนะเสมอไป ดังจะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ มากมายหลายเรื่องราว ที่ฝ่ายมีกำลังมากกว่า พ่ายแพ้ให้แก่คนเพียงหยิบมือเดียว

       ส่วนด้านที่มีกำลังน้อย เมื่อเข้าปะทะตรง ๆ ย่อมเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นการใช้ยุทธวิธีซุ่มโจมตี ตัดกำลังฝ่ายตรงข้ามทีละนิด จึงเป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ในกรณีที่เป็นฝ่ายคืบคลานเข้าหาศัตรู และได้รับชัยชนะมาแล้วอย่างมากมาย แต่ ถ้ามีน้อยกว่าหลายเท่าตัว และมั่นใจว่า ไม่มีกำลังเสริมคอยสนับสนุนอย่างแน่นอน สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ ออกจากจุดปะทะให้เร็วที่สุด ซึ่งในครั้งนี้ ทั้ง เสือเลิศ และ ผู้กองหนุ่ม คงต้องทำอย่างนั้น เพราะคนแค่สองคน จะต้านคนของฝ่ายตรงข้าม ที่หนุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน

       เสียงรถคำรามใกล้เข้ามาทุกขณะ ทั้งสองหลบอยู่ในความมืดสลัวข้างทาง ห่างจากถนนประมาณสิบเมตร เลิศ หันมองผู้กองที่กำลังมองมา และทำสัญญาณชี้ที่หน้าอกตัวเอง แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นหนึ่งนิ้ว เข้าใจได้ทันทีว่า ผู้กองหนุ่ม จะจัดการกับรถคันแรก จากนั้น เขาชี้มือมาทางหนุ่มใหญ่ แล้วชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว เป็นอันรู้กัน ว่าเลิศจัดการคันที่สอง

       รถคันแรกผ่านหน้าเลิศไป คนขับจ้องไปยังตึกแถวข้างหน้าด้านซ้ายมือ ชะลอความเร็วลง แต่รถยังคงพุ่งไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ตามแรงที่ส่งมาแต่แรก ด้านหลังกระบะมีคนอยู่สามคน ตอนนี้พากันไปอยู่ขอบกระบะด้านซ้ายกันหมด ตั้งท่ามั่นคง นั่งย่อตัวมั่ง คุกเข่ามั่ง ถือปืนเตรียมพร้อม มองหาเป้าหมาย ขยับปืนในมือด้วยความฮึกเหิม ถ้ามีเงาใครสักคนแวบเข้ามาตอนนี้น่าจะไม่เหลือชิ้นดีแน่นอน

       เมื่อผู้กองหนุ่มมีมุมยิงด้านหน้าของรถที่แล่นเข้ามาอย่างถนัด ก็มองไปที่คนขับวางศูนย์เลยหัวนิด คิดไว้ก่อนหน้าแล้วว่า ถ้าซัดเข้าไปตรง ๆ ก็ได้ ระยะแค่สิบเมตรหน่อย ๆ ไม่ยาก แต่ข้างหลังอีกกี่คนยังมองไม่เห็น เมื่อคนขับฟุบลง แล้วรถเสียหลักพลิกลงไป ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารถไม่คว่ำ กลับกลายเป็นหยุดสนิท น่าจะยุ่ง เจ้าพวกนั้นคงพากันกรูลงมาแน่ ๆ เขาจึงคิดว่า ทำแบบนี้แน่นอนกว่า

       ว่าแล้วผู้กองหนุ่มก็ปล่อยกระสุนออกไปสองนัด เฉี่ยวหัวเจ้าคนขับพอรู้สึกร้อน ๆ

       “ปังปัง”

       สัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ ยามคับขัน สิ่งแรกที่สมองสั่งงานคือ หลบ หรือ หนี ถ้ายืนอยู่ ต้องก้าวขาออกไปข้างหน้า หรือ ถอยหลัง โดยอัตโนมัติ ก้าวไปสองสามก้าว แล้วค่อยหันกลับมาตั้งท่าสู้ใหม่ แต่เจ้านี่ขับรถอยู่ ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้น พอกระสุนผ่านหัวใกล้ขนาดนั้น ตกใจเหยียบคันเร่ง ตามองที่สี่แยก ตั้งใจไปที่นั่นโดยไม่คิดอะไรอย่างอื่น

       รถวิ่งไปข้างหน้าอย่างเร็ว พอกระบะท้ายอยู่ตรงกับผู้กองหนุ่ม เจ้าคนท้ายสามคน มองเห็นเขาข้างตึกชัดเจน พร้อมใจกันยกปืนขึ้น กระชากยิ้มออกมาทำหน้าสะใจ ผู้กองหนุ่มรอจังหวะอยู่แล้ว ขณะรถวิ่งฉิวผ่านหน้า สบตาเจ้าคนท้ายยักคิ้วข้างเดียวให้ ก่อนมองลงระดับล้อรถ วางศูนย์ปืนที่ล้อหลัง และเหนี่ยวไก

       “ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” หกนัดสุดท้าย หมดแมกพอดี ลูกเลื่อนค้างอยู่อย่างนั้น พร้อมเสียง ยางรถระเบิด ตูม ทำตัวรถส่ายไปมาก่อนหมุนคว้าง เจ้าสามคนลอยลิ่วไปคนละทาง แหกปากร้องโวยวายปืนร่วงจากมือ ก่อนลำตัวหล่นลงกระแทกพื้นถนนคนละมุม

       เจ้าคนขับคันที่สองทำหน้าตื่น ยกเท้าขึ้นจากคันเร่งเตรียมแตะเบรก ขณะรถวิ่งผ่านหน้าเลิศ หนุ่มใหญ่ยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง ก่อนปล่อยกระสุนใส่ยางหน้า และหลัง แบ่งไปเท่า ๆ กัน

       “ปังปังปัง ปังปังปัง” เสียงดังต่อเนื่องตามจังหวะนิ้วที่ดึงเข้าหาตัว ระยะที่เลิศนั่งอยู่ ถึงตัวรถประมาณแปดเมตร เทียบกับความเร็วกว่า หนึ่งพันหนึ่งร้อยฟุตต่อวินาทีของกระสุนแล้ว ทำให้ไม่พลาดเป้าหมาย เสียงยางระเบิด ตูมตูม สองครั้งแทบพร้อมกัน รถส่ายไปมาอย่างควบคุมไม่อยู่ พุ่งใส่ด้านข้างคันแรกที่เพิ่งหยุดหมุน จอดนิ่งอยู่ยังไม่ถึงห้าวินาที เสียงดังสนั่น

       “โครม” เศษโลหะ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ปลิวไปทั่ว คนท้ายห้าคนลอยข้ามหลังคาไปตกเกะกะเกลื่อนตามพื้นถนน บางคนส่งเสียงร้องโอดโอย หลายคนนอนนิ่งสนิท รวมทั้งคนขับทั้งสองคันที่ฟุบกับพวงมาลัยรถไม่กระดุกกระดิก

       ผู้กองหนุ่มวิ่งเข้าไปที่รถ เปิดประตูขึ้นนั่งบนเบาะ สตาร์ทเครื่อง ถอยหลังยาวออกมาด้านหน้า ถอยเลี้ยวขึ้นถนนจนถึงตรงหน้าหนุ่มใหญ่ เลิศ ยกปืนขึ้นเล็งอย่างระวังไปที่รถทั้งสองคัน และคนที่นอนกระจัดกระจายอยู่ มองเห็นหลายคนไม่ไหวติง คนที่พอขยับได้ก็ยกแขนขาแทบไม่ไหว บางคนมีเลือดแดงทั่วตัว

       เมื่อเห็นดังนั้น เลิศ จึงก้าวยาว ๆ เข้าไปเปิดประตูรถ ขึ้นไปนั่งแล้วดึงประตูปิด สารวัตรหนุมออกรถช้า ๆ เลี้ยวหลบไปมา ผ่านลิ่วล้อของแม่เลี้ยง ที่นอนเกลื่อนกราดหมดสภาพตาม ๆ กัน เลิศกวาดสายตามองเจ้าคนที่นอนอยู่เจ็ดแปดคน พอรถผู้กองหนุ่ม ผ่านรถสองคันที่เกยกันอยู่ หนุ่มใหญ่พิจารณาคนขับทั้งคู่ ทั้งหมดในบริเวณนี้ไม่มีเจ้าเปี๊ยกแม้แต่เงา....

       ( มีต่อครับ )
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่