...........( รักซ้อน ซ่อนพิษ )..........
ตอนเดิมครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนที่ ๑
https://pantip.com/topic/38986500
ตอนที่ ๒
https://pantip.com/topic/39004238
ตอนที่ ๓
..........การประกาศเรื่องต่าง ๆ ในยุคนี้ มีทางเลือกให้หลายทาง ทั้งเว็บข่าว ไลน์กลุ่ม และเพจต่าง ๆ ในเฟซบุ๊ก แต่สังคมที่เจริญไปด้วยวัตถุ ขณะที่จิตใจของคนเจริญตามไม่ทัน ปัญหาต่าง ๆ จึงแชร์ลงมามากมาย ทั้งตามคนหาย ตามผู้ร้าย รถโดนขโมย ในแต่ละวันโพสจึงตกไปอยู่ล่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่มีใครตั้งใจหาเรื่องนั้น ๆ หรือ ไม่บังเอิญจริง ๆ โอกาสผ่านตาก็มีไม่มาก
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นภายในบ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง หญิงสาวผิวขาว ร่างเล็ก หน้าตามีแววอิดโรย ชำเลืองมองชื่อก่อน กด รับ
“อุ้มเหรอ มีใครติดต่อมาหรือยังอุ้ม” น้ำเสียงจากอีกฝั่งแสดงถึงความห่วงใย
“ยังเลยต้อย.......” เธอสะอื้นขึ้นมาทำให้คำพูดขาดหาย “จะครบอาทิตย์อยู่แล้วนะ ยังไม่มีวี่แววเลย”
“น่า อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก เด็ก ๆ ล่ะ” ต้อยถามหาลูก ๆ ของเพื่อนสาว
“ต้นไปโรงเรียนแล้ว ปิ่นอยู่นี่เมื่อคืนแทบไม่นอนมองหาพ่อทั้งคืน”
เธอเก็บน้ำตาไว้ไม่อยู่จริง ๆ คราวนี้ จึงปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นึกถึงเด็กชายวัยสามขวบกำลังซน ถามหาพ่อตลอด จะกินข้าวก็รอพ่อ อาบน้ำก็รอพ่อ ลูกสาวตัวน้อยที่เพิ่งขวบครึ่งก็เช่นกัน ไม่มีพ่องอแงจะไม่นอน แกติดพ่อทั้งคู่ เพื่อนรักที่คุยอยู่ด้วยได้ยินเสียงร้องไห้ชัด ทำเอาตัวเองเกือบจะร้องไปด้วยอีกคน
“เดี๋ยวเย็นเลิกงานเราไปหานะ ดูว่าจะทำอะไรได้มั่ง” ต้อยปลอบใจเพื่อนสาว “เราทำงานก่อนนะ เดี๋ยวเย็นเจอกัน” อุ้มตอบรับเพื่อนรักแผ่ว ๆ ก่อนกดวาง
บ้านหลังน้อยกะทัดรัด ด้านหน้ามีคลองเล็ก ๆ ชายตลิ่งเขียวชอุ่มด้วยไม้นานาพรรณ ทั้งพืชสวนครัว และที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ แนวรั้วไม้ร่มรื่นด้วยไม้ประดับลานตา ดูมีความสุขถ้าอยู่พร้อมหน้าทั้งครอบครัว แต่ตอนนี้บรรยากาศโดยรอบมีแต่ความเงียบเหงา เมื่อสมาชิกในบ้านขาดไปหนึ่งคน
การตายจากกันของคนเรา สร้างความเสียใจให้กับคนที่รักอย่างมาก แต่เวลาที่ผ่านไปความรู้สึกนั้นก็ค่อยเบาบางลง จนกระทั่งจางหายถ้านานเป็นปี
คนที่พลัดพรากกันทั้งที่ยังมีลมหายใจทรมานยิ่งกว่า เป็นตายร้ายดีอย่างไรข่าวไม่มีให้ได้ยิน ยิ่งนานวันยิ่งกลุ้ม ความห่วงหาอาวรณ์ทำให้คิดไปต่าง ๆ นานา โดยมากจะคิดในแง่ร้าย จึงบั่นทอนกำลังใจของตัวเอง และคนรอบข้างไปมากทีเดียว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง หน้าจอแสดงชื่อร้อยเวรที่หญิงสาวบันทึกไว้ เธอกดรับด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
“ฮัลโหล ค่ะ”
“ครับผม คุณรัตติยาครับ”
“ค่ะผู้กอง ได้ข่าว วสันต์แล้วเหรอคะ” หญิงสาวภาวนาในใจให้เป็นข่าวดี
“ครับผม ที่คุณรัตติยาบอกว่า ครั้งสุดท้าย คุณวสันต์ ติดต่อมาจากจังหวัดเชียงราย ผมได้ขอความช่วยเหลือไปทางรุ่นพี่ที่นั่น” ผู้กองหนุ่มบอกเล่าความคืบหน้า เธอแทบรอฟังไม่ไหว
“แล้วเจอมั้ยคะ”
“เราเจอกระเป๋าเสื้อผ้า ที่ห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง ส่วนคุณวสันต์ เรายังไม่พบครับ” หญิงสาวทรุดนั่งลงกับเก้าอี้อย่างอ่อนแรง น้ำตาเอ่อออกมา ใจหวิวคล้ายจะเป็นลม
“กระเป๋าส่งมาแล้วน่าจะถึงประมาณเที่ยง เชิญคุณรัตติยามาดูด้วยกันนะครับ เผื่อมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติม” เธอนั่งฟังตาเหม่อลอย ตอบรับแผ่วเบา วางสายแล้วหันมากอดลูกน้อยที่เดินเตาะแตะเข้ามาหา
“ป่าป๊า ป่าป๊า” มือป้อม ๆ ชี้ไปที่โทรศัพท์เหมือนย้ำความห่วงหาให้ยิ่งขึ้นไป เธอปล่อยโฮออกมาอย่างดัง........
..........“หิวหรือยังจ๊ะเชิด” หม้ายสาวเพิ่งนึกออกถามขึ้นมาเมื่อเห็นนาฬิกาใกล้บ่ายโมง ทั้งคู่ช่วยกันขายของหน้าร้าน วิ่งเข้าวิ่งออกจนลืมเวลา ลูกค้าก็เวียนกันมาไม่ขาดระยะ ดูแล้วน่าสงสัยว่าเค้าตั้งใจมาซื้อของ หรืออยากรู้อะไร
แต่เจ๊แตงไม่ได้สนใจ เพลินเพลินกับงานรอบตัว มีความสุขที่ได้รับเงินมาตั้งแต่เช้า และที่สำคัญ มีคนอยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา ชายหนุ่มทำอะไรคล่องมากหลังจากผ่านไปได้หนึ่งอาทิตย์ อาการปวดหัวน้อยลงจนเกือบหายสนิท จะมีแต่ความมึนงงเป็นบางครั้งที่พอเป็นแล้วแค่ได้นั่งพักสักนิดก็ทุเลาลง
หม้ายสาวเดินมานั่งที่โต๊ะบัญชี หลังจากลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้านไป อ่านบนจอคอมซ้ำอีกครั้ง เกี่ยวกับเรื่องโรคลืมชั่วคราว ปัจจุบันยังระบุสาเหตุ ได้ไม่แน่ชัด แต่กลุ่มเสี่ยงได้แก่ กลุ่มโรคลมชัก ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว และโรคไมเกรน เป็นต้น อุบัติเหตุหัวกระแทกจะเกี่ยวด้วยไหมนะ เธอคิด และเมื่ออ่านมาถึงระยะเวลาที่จะหายเป็นปกติ ข้อความนี้ทำเอาเธอนั่งซึม ประมาณ ๒๔ ชั่วโมง ที่คนส่วนใหญ่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
สภาพร่างกายของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน แต่บวกลบคูณหารในใจแล้ว ไม่น่าเกินสามวันข้างหน้าความจำของชายหนุ่มน่าจะค่อย ๆ กลับคืนมา อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น เธอไม่อยากนึกถึงมันเลย
“นั่งใจลอยอะไรพี่แตง” เขาย่องเข้ามาตอนไหนไม่รู้ ก้มลงโอบคอเธอจากด้านหลังเบา ๆ จมูกคลอเคลียข้างใบหูทำเอาขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“ทำไรน่ะเชิด ใครเห็นเข้าอายเขานะ” พูดกลั้วหัวเราะกุมมือชายหนุ่มไว้ทั้งสองข้าง
“ช่างประไร ใครเห็นก็ช่าง” ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ใบหน้าซุกไซร้ไล่ลงไปถึงลำคอ หม้ายสาวหัวเราะร่วน ส่ายหน้าไปมาหลบการจู่โจมของชายหนุ่ม
“พอเลยพ่อคุณ เดี๋ยวไม่ได้ขายกันแล้วของเขิงน่ะ”
ชายหนุ่มปล่อยมือแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ มองยิ้มกรุ้มกริ่มทำหม้ายสาวหน้าแดง
“เชิดเนี่ย ชักดื้อใหญ่แล้วนะยิ่งพูดยิ่งทำ”
“ทำอะไรเหรอพี่”พูดพลางจ้องมองจนหน้าชิดแก้มหม้ายสาว เธอหัวเราะพลางถอยหลบแบบไม่จริงจัง
“ถามว่าหิวมั้ยก็ไม่ตอบ มัวเล่นอยู่นั่นแหละ”
“อ้าว ผมบอกพี่ไปแล้วพี่ลืมรึไง” เขาจ้องหน้ายิ้มกว้าง เธอมองตอบ ไม่หลบสายตา
ตอนนั้นคงคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ เลยไม่ทันได้ยิน เธอมองหน้าเขาถอนใจเบา ๆ
“พี่เป็นไรเหรอ ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มสังเกตเห็นสีหน้ากังวลจึงเอ่ยถามขึ้น
“เปล่าหรอกเชิด พี่แค่...” เขาจับมือเธอบีบเบา ๆ
“พี่กำลังคิดว่า ถ้าเชิดหายดีจะเป็นยังไงต่อไป”
ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ แล้วก้มมองพื้นนิ่งอยู่ครู่นึงจึงเงยขึ้นมา
“ใครจะเป็นยังไงผมไม่รู้ ผมรู้แค่ว่า ผมจะรักพี่แตงตลอดไป” เจ๊แตงมองหน้าเขาอย่างชั่งใจ
“แต่เราเพิ่งคบกันได้ไม่นานนะ เชิดแน่ใจแล้วเหรอ ว่าพี่เป็นคนที่ใช่สำหรับเธอ”
เขาอึ้งไปมองหม้ายสาวนิ่ง ก่อนพูดเบา ๆ
“สำคัญตรงเรื่องที่ซ่อนอยู่ในหัวผมนี่ ที่ผมไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ หรือมีใครเกี่ยวข้องกับผมมั่ง” เธอสบตายิ้มฝืน ๆ
“แล้วเธอคิดยังไงล่ะ” เขาลูบแก้มเธอเบา ๆ พูดช้า ๆ
“เราไปดูกัน ผมเองก็อยากรู้ความจริงทั้งหมด จะได้หายคาใจ ว่าแต่ว่า พี่เจอผมที่ไหนนะ เราจะได้เริ่มจากตรงนั้น”
หม้ายสาวมองหน้าเขา ถอนใจอีกครั้ง เอาเถอะน่ายังไงความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ จะหนีไปไหนพ้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะกักขังเขาไว้แบบนี้
“ไปสิ พรุ่งนี้เราไปกันแต่เช้า ว่าแต่ว่า เชิดจำที่ ๆ เชิดอยู่ครั้งสุดท้ายไม่ได้จริง ๆ เหรอ” เขาส่ายหน้า
“ไม่รู้จริง ๆ พี่ มันคือที่ไหนครับ” เธอสบตามองหน้าเขาพูดเสียงเบาเหมือนละเมอ
“เชียงราย”.......................@@
จบตอนที่ ๓
ลุงแผน
๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๒
............ขอบพระคุณ กำลังใจจากทุกท่าน ที่มีให้เสมอมา ทั้งที่อยู่เบื้องหน้า และเบื้องหลังทุกท่าน ขอบคุณมาก ๆ ครับ............
..................................................................
..........รักซ้อน ซ่อนพิษ........ตอนที่ ๓..........@@ โดย ลุงแผน
ตอนเดิมครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนที่ ๓
..........การประกาศเรื่องต่าง ๆ ในยุคนี้ มีทางเลือกให้หลายทาง ทั้งเว็บข่าว ไลน์กลุ่ม และเพจต่าง ๆ ในเฟซบุ๊ก แต่สังคมที่เจริญไปด้วยวัตถุ ขณะที่จิตใจของคนเจริญตามไม่ทัน ปัญหาต่าง ๆ จึงแชร์ลงมามากมาย ทั้งตามคนหาย ตามผู้ร้าย รถโดนขโมย ในแต่ละวันโพสจึงตกไปอยู่ล่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่มีใครตั้งใจหาเรื่องนั้น ๆ หรือ ไม่บังเอิญจริง ๆ โอกาสผ่านตาก็มีไม่มาก
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นภายในบ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง หญิงสาวผิวขาว ร่างเล็ก หน้าตามีแววอิดโรย ชำเลืองมองชื่อก่อน กด รับ
“อุ้มเหรอ มีใครติดต่อมาหรือยังอุ้ม” น้ำเสียงจากอีกฝั่งแสดงถึงความห่วงใย
“ยังเลยต้อย.......” เธอสะอื้นขึ้นมาทำให้คำพูดขาดหาย “จะครบอาทิตย์อยู่แล้วนะ ยังไม่มีวี่แววเลย”
“น่า อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก เด็ก ๆ ล่ะ” ต้อยถามหาลูก ๆ ของเพื่อนสาว
“ต้นไปโรงเรียนแล้ว ปิ่นอยู่นี่เมื่อคืนแทบไม่นอนมองหาพ่อทั้งคืน”
เธอเก็บน้ำตาไว้ไม่อยู่จริง ๆ คราวนี้ จึงปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นึกถึงเด็กชายวัยสามขวบกำลังซน ถามหาพ่อตลอด จะกินข้าวก็รอพ่อ อาบน้ำก็รอพ่อ ลูกสาวตัวน้อยที่เพิ่งขวบครึ่งก็เช่นกัน ไม่มีพ่องอแงจะไม่นอน แกติดพ่อทั้งคู่ เพื่อนรักที่คุยอยู่ด้วยได้ยินเสียงร้องไห้ชัด ทำเอาตัวเองเกือบจะร้องไปด้วยอีกคน
“เดี๋ยวเย็นเลิกงานเราไปหานะ ดูว่าจะทำอะไรได้มั่ง” ต้อยปลอบใจเพื่อนสาว “เราทำงานก่อนนะ เดี๋ยวเย็นเจอกัน” อุ้มตอบรับเพื่อนรักแผ่ว ๆ ก่อนกดวาง
บ้านหลังน้อยกะทัดรัด ด้านหน้ามีคลองเล็ก ๆ ชายตลิ่งเขียวชอุ่มด้วยไม้นานาพรรณ ทั้งพืชสวนครัว และที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ แนวรั้วไม้ร่มรื่นด้วยไม้ประดับลานตา ดูมีความสุขถ้าอยู่พร้อมหน้าทั้งครอบครัว แต่ตอนนี้บรรยากาศโดยรอบมีแต่ความเงียบเหงา เมื่อสมาชิกในบ้านขาดไปหนึ่งคน
การตายจากกันของคนเรา สร้างความเสียใจให้กับคนที่รักอย่างมาก แต่เวลาที่ผ่านไปความรู้สึกนั้นก็ค่อยเบาบางลง จนกระทั่งจางหายถ้านานเป็นปี
คนที่พลัดพรากกันทั้งที่ยังมีลมหายใจทรมานยิ่งกว่า เป็นตายร้ายดีอย่างไรข่าวไม่มีให้ได้ยิน ยิ่งนานวันยิ่งกลุ้ม ความห่วงหาอาวรณ์ทำให้คิดไปต่าง ๆ นานา โดยมากจะคิดในแง่ร้าย จึงบั่นทอนกำลังใจของตัวเอง และคนรอบข้างไปมากทีเดียว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง หน้าจอแสดงชื่อร้อยเวรที่หญิงสาวบันทึกไว้ เธอกดรับด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
“ฮัลโหล ค่ะ”
“ครับผม คุณรัตติยาครับ”
“ค่ะผู้กอง ได้ข่าว วสันต์แล้วเหรอคะ” หญิงสาวภาวนาในใจให้เป็นข่าวดี
“ครับผม ที่คุณรัตติยาบอกว่า ครั้งสุดท้าย คุณวสันต์ ติดต่อมาจากจังหวัดเชียงราย ผมได้ขอความช่วยเหลือไปทางรุ่นพี่ที่นั่น” ผู้กองหนุ่มบอกเล่าความคืบหน้า เธอแทบรอฟังไม่ไหว
“แล้วเจอมั้ยคะ”
“เราเจอกระเป๋าเสื้อผ้า ที่ห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง ส่วนคุณวสันต์ เรายังไม่พบครับ” หญิงสาวทรุดนั่งลงกับเก้าอี้อย่างอ่อนแรง น้ำตาเอ่อออกมา ใจหวิวคล้ายจะเป็นลม
“กระเป๋าส่งมาแล้วน่าจะถึงประมาณเที่ยง เชิญคุณรัตติยามาดูด้วยกันนะครับ เผื่อมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติม” เธอนั่งฟังตาเหม่อลอย ตอบรับแผ่วเบา วางสายแล้วหันมากอดลูกน้อยที่เดินเตาะแตะเข้ามาหา
“ป่าป๊า ป่าป๊า” มือป้อม ๆ ชี้ไปที่โทรศัพท์เหมือนย้ำความห่วงหาให้ยิ่งขึ้นไป เธอปล่อยโฮออกมาอย่างดัง........
..........“หิวหรือยังจ๊ะเชิด” หม้ายสาวเพิ่งนึกออกถามขึ้นมาเมื่อเห็นนาฬิกาใกล้บ่ายโมง ทั้งคู่ช่วยกันขายของหน้าร้าน วิ่งเข้าวิ่งออกจนลืมเวลา ลูกค้าก็เวียนกันมาไม่ขาดระยะ ดูแล้วน่าสงสัยว่าเค้าตั้งใจมาซื้อของ หรืออยากรู้อะไร
แต่เจ๊แตงไม่ได้สนใจ เพลินเพลินกับงานรอบตัว มีความสุขที่ได้รับเงินมาตั้งแต่เช้า และที่สำคัญ มีคนอยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา ชายหนุ่มทำอะไรคล่องมากหลังจากผ่านไปได้หนึ่งอาทิตย์ อาการปวดหัวน้อยลงจนเกือบหายสนิท จะมีแต่ความมึนงงเป็นบางครั้งที่พอเป็นแล้วแค่ได้นั่งพักสักนิดก็ทุเลาลง
หม้ายสาวเดินมานั่งที่โต๊ะบัญชี หลังจากลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้านไป อ่านบนจอคอมซ้ำอีกครั้ง เกี่ยวกับเรื่องโรคลืมชั่วคราว ปัจจุบันยังระบุสาเหตุ ได้ไม่แน่ชัด แต่กลุ่มเสี่ยงได้แก่ กลุ่มโรคลมชัก ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว และโรคไมเกรน เป็นต้น อุบัติเหตุหัวกระแทกจะเกี่ยวด้วยไหมนะ เธอคิด และเมื่ออ่านมาถึงระยะเวลาที่จะหายเป็นปกติ ข้อความนี้ทำเอาเธอนั่งซึม ประมาณ ๒๔ ชั่วโมง ที่คนส่วนใหญ่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
สภาพร่างกายของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน แต่บวกลบคูณหารในใจแล้ว ไม่น่าเกินสามวันข้างหน้าความจำของชายหนุ่มน่าจะค่อย ๆ กลับคืนมา อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น เธอไม่อยากนึกถึงมันเลย
“นั่งใจลอยอะไรพี่แตง” เขาย่องเข้ามาตอนไหนไม่รู้ ก้มลงโอบคอเธอจากด้านหลังเบา ๆ จมูกคลอเคลียข้างใบหูทำเอาขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“ทำไรน่ะเชิด ใครเห็นเข้าอายเขานะ” พูดกลั้วหัวเราะกุมมือชายหนุ่มไว้ทั้งสองข้าง
“ช่างประไร ใครเห็นก็ช่าง” ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ใบหน้าซุกไซร้ไล่ลงไปถึงลำคอ หม้ายสาวหัวเราะร่วน ส่ายหน้าไปมาหลบการจู่โจมของชายหนุ่ม
“พอเลยพ่อคุณ เดี๋ยวไม่ได้ขายกันแล้วของเขิงน่ะ”
ชายหนุ่มปล่อยมือแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ มองยิ้มกรุ้มกริ่มทำหม้ายสาวหน้าแดง
“เชิดเนี่ย ชักดื้อใหญ่แล้วนะยิ่งพูดยิ่งทำ”
“ทำอะไรเหรอพี่”พูดพลางจ้องมองจนหน้าชิดแก้มหม้ายสาว เธอหัวเราะพลางถอยหลบแบบไม่จริงจัง
“ถามว่าหิวมั้ยก็ไม่ตอบ มัวเล่นอยู่นั่นแหละ”
“อ้าว ผมบอกพี่ไปแล้วพี่ลืมรึไง” เขาจ้องหน้ายิ้มกว้าง เธอมองตอบ ไม่หลบสายตา
ตอนนั้นคงคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ เลยไม่ทันได้ยิน เธอมองหน้าเขาถอนใจเบา ๆ
“พี่เป็นไรเหรอ ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มสังเกตเห็นสีหน้ากังวลจึงเอ่ยถามขึ้น
“เปล่าหรอกเชิด พี่แค่...” เขาจับมือเธอบีบเบา ๆ
“พี่กำลังคิดว่า ถ้าเชิดหายดีจะเป็นยังไงต่อไป”
ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ แล้วก้มมองพื้นนิ่งอยู่ครู่นึงจึงเงยขึ้นมา
“ใครจะเป็นยังไงผมไม่รู้ ผมรู้แค่ว่า ผมจะรักพี่แตงตลอดไป” เจ๊แตงมองหน้าเขาอย่างชั่งใจ
“แต่เราเพิ่งคบกันได้ไม่นานนะ เชิดแน่ใจแล้วเหรอ ว่าพี่เป็นคนที่ใช่สำหรับเธอ”
เขาอึ้งไปมองหม้ายสาวนิ่ง ก่อนพูดเบา ๆ
“สำคัญตรงเรื่องที่ซ่อนอยู่ในหัวผมนี่ ที่ผมไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ หรือมีใครเกี่ยวข้องกับผมมั่ง” เธอสบตายิ้มฝืน ๆ
“แล้วเธอคิดยังไงล่ะ” เขาลูบแก้มเธอเบา ๆ พูดช้า ๆ
“เราไปดูกัน ผมเองก็อยากรู้ความจริงทั้งหมด จะได้หายคาใจ ว่าแต่ว่า พี่เจอผมที่ไหนนะ เราจะได้เริ่มจากตรงนั้น”
หม้ายสาวมองหน้าเขา ถอนใจอีกครั้ง เอาเถอะน่ายังไงความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ จะหนีไปไหนพ้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะกักขังเขาไว้แบบนี้
“ไปสิ พรุ่งนี้เราไปกันแต่เช้า ว่าแต่ว่า เชิดจำที่ ๆ เชิดอยู่ครั้งสุดท้ายไม่ได้จริง ๆ เหรอ” เขาส่ายหน้า
“ไม่รู้จริง ๆ พี่ มันคือที่ไหนครับ” เธอสบตามองหน้าเขาพูดเสียงเบาเหมือนละเมอ
“เชียงราย”.......................@@
จบตอนที่ ๓
ลุงแผน
๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๒
............ขอบพระคุณ กำลังใจจากทุกท่าน ที่มีให้เสมอมา ทั้งที่อยู่เบื้องหน้า และเบื้องหลังทุกท่าน ขอบคุณมาก ๆ ครับ............