มีพระบาลีซึ่งพระพุทธโฆษาจารย์รจนาไว้ว่า:
“นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส นตฺถิ ปญฺญา อฌายิโน,
ยมฺหิ ฌานญฺจ ปญฺญาจ นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก”
แปลว่า
“ฌานย่อมไม่มีในผู้ที่ไม่มีปัญญา
ปัญญาย่อมไม่มีในผู้ที่ไม่มีฌาน
ผู้ที่มีทั้งฌานและปัญญา
จึงจะอยู่ใกล้นิพพาน”
นั่นก็คือ
เมื่อยกจิตขึ้นเพ่งดูอารมณ์ในสติปัฏฐาน๔ (ฌาน)
จนจิตเป็นสมาธิ ปัญญาย่อมเกิดขึ้นพร้อมกัน
ทำหน้าที่ปล่อยวางอารมณ์และอาการของจิต
ที่เนื่องด้วยอารมณ์ตามลำดับ จน
จิตหลุดพ้นจากการครอบงำปรุงแต่งของอารมณ์ต่างๆ
ได้อย่างสิ้นเชิงในที่สุด เป็นจิตบริสุทธิ์
ซึ่งสภาพจิตที่บริสุทธิ์นี้ เรียกว่า พระนิพพาน นั่นเอง.
สติปัฏฐาน๔ คือฌาน
“นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส นตฺถิ ปญฺญา อฌายิโน,
ยมฺหิ ฌานญฺจ ปญฺญาจ นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก”
แปลว่า
“ฌานย่อมไม่มีในผู้ที่ไม่มีปัญญา
ปัญญาย่อมไม่มีในผู้ที่ไม่มีฌาน
ผู้ที่มีทั้งฌานและปัญญา
จึงจะอยู่ใกล้นิพพาน”
นั่นก็คือ
เมื่อยกจิตขึ้นเพ่งดูอารมณ์ในสติปัฏฐาน๔ (ฌาน)
จนจิตเป็นสมาธิ ปัญญาย่อมเกิดขึ้นพร้อมกัน
ทำหน้าที่ปล่อยวางอารมณ์และอาการของจิต
ที่เนื่องด้วยอารมณ์ตามลำดับ จน
จิตหลุดพ้นจากการครอบงำปรุงแต่งของอารมณ์ต่างๆ
ได้อย่างสิ้นเชิงในที่สุด เป็นจิตบริสุทธิ์
ซึ่งสภาพจิตที่บริสุทธิ์นี้ เรียกว่า พระนิพพาน นั่นเอง.