สายหลวงปู่มั่นสอนเหมือนกันหมด คือ ใช้คำบริกรรม “พุทโธ ๆ ๆ” เพื่อรวบรวมจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน จิตค่อย ๆ สงบเป็นสมาธิขั้นต้น (ปฐมฌาน) ยังอาศัย “พุทโธ” เป็นอารมณ์
เมื่อจิตรวมแน่วแน่ → เห็นลมหายใจละเอียด เมื่อ พุทโธ ทำงานจนจิตตั้งมั่นพอแล้ว คำบริกรรมค่อย ๆ จางไปเอง จิตหันมารับรู้อารมณ์ที่ละเอียดกว่า คือ ลมหายใจเข้า–ออก คือ ทุติยฌาน (ฌาน ๒): ความสงบแน่วแน่ จิตเป็นเอกัคคตา ไม่ฟุ้งซ่าน มีความสุขสงบ
เมื่อจิตสงบมากขึ้น → ลมหายใจและกายหายไป เมื่อสมาธิแก่กล้า ลมหายใจแทบไม่มี กายเหมือนหายไปจิตเหลือแต่ ความตั้งมั่นและอุเบกขา
จตุตถฌาน (ฌาน ๔): ไม่มีสุข–ทุกข์ มีแต่ อุเบกขาและจิตอันบริสุทธิ์
ใช้กำลังของฌาน ๔ ทำวิปัสสนา เมื่อจิตมีพลังมั่นคง ไม่หวั่นไหว จึงใช้พลังนี้ พิจารณาขันธ์ ๕
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เห็นตามความจริงว่า ไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ (ทุกขัง) เป็นอนัตตา (อนัตตา)
การพิจารณานี้เรียกว่า วิปัสสนาญาณ เป็นหนทางไปสู่ จิตวิมุตติ–หลุดพ้น
สรุปแนวสายหลวงปู่มั่น:
เริ่มพุทโธ → ลมหายใจ → ความว่าง → กำลังฌาน → วิปัสสนา
เป็นการเดินจากสมถะเข้าสู่วิปัสสนาโดยใช้กำลังสมาธิสูงสุด (ฌาน ๔) มาหนุนให้ปัญญาแทงตลอด
๑. พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยทุติยฌานบ้าง … ตติยฌานบ้าง … จตุตถฌานบ้าง”
ความหมาย:
พระองค์ยืนยันว่าฐานของสมาธิ (โดยเฉพาะฌาน ๒, ๓, ๔) สามารถใช้เป็นบาทฐาน เพื่อน้อมจิตไปสู่วิปัสสนาและการสิ้นอาสวะได้
๒. ภิกษุผู้บรรลุจตุตถฌาน
“บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่”
ความหมาย:
จิตในจตุตถฌานเป็นจิตที่สงบประณีตที่สุดในรูปฌาน
ไม่มีความสุขหรือทุกข์หยาบ ๆ
มีแต่ อุเบกขา และ สติผ่องใส
๓. การพิจารณาในฌาน
“เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ … โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา”
ความหมาย:
ภิกษุใช้กำลังของฌาน ๔ มาพิจารณาขันธ์ ๕
เห็นอย่างแจ้งว่า ไม่เที่ยง → เป็นทุกข์ → ไม่ใช่ตัวตน
นี่คือการเอาฌานเป็นบาทฐานของวิปัสสนา
๔. การน้อมจิตไปสู่นิพพาน
“ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต … นิพพาน”
ความหมาย:
หลังจากเห็นความจริงของขันธ์ ๕ แล้ว
ภิกษุน้อมจิตไปสู่ อมตธาตุ (คือ นิพพาน) อันสงบประณีต
จิตตั้งมั่นในอารมณ์นั้น
๕. ผลลัพธ์
ถ้าอาสวะสิ้นไปทันที → เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้
ถ้ายังไม่สิ้นอาสวะทั้งหมด → ด้วยกำลังฌานและปัญญาที่บรรลุแล้ว จะได้เป็น อุปปาติกะ (ผู้ไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส)
จะบรรลุพระอรหันต์ในภพนั้น
และจะ ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ถูกทำลายสิ้นแล้ว
๖. อุปมา “นายขมังธนู”
เปรียบภิกษุที่ฝึกฌานจนชำนาญ เหมือนนายธนูที่ยิงแม่น ยิงไกล และทำลายเป้าใหญ่ได้
คือการฝึกจิตในฌานจนสามารถพิจารณาธรรม และใช้เป็นเครื่องทำลายอวิชชาได้
๗. สรุป
ฌาน ๔ เป็นฐานให้ปัญญาแทงตลอดขันธ์ ๕
เมื่อพิจารณาเห็นไม่เที่ยง ทุกข์ อนัตตา แล้วน้อมไปสู่นิพพาน → ย่อมสิ้นอาสวะ
ถ้าสิ้นอาสวะทันที → บรรลุพระอรหันต์
ถ้ายังไม่สิ้น → ย่อมไปเกิดในพรหมโลกสุทธาวาส และบรรลุพระอรหันต์ที่นั่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยทุติยฌานบ้าง ฯลฯ เพราะอาศัยตติยฌานบ้าง ฯลฯ เพราะ
อาศัยจตุตถฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับ
โสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เธอย่อมพิจารณา
เห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะ
แห่งจตุตถฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่า เป็น
อนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่อ
อมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ...
นิพพาน เธอตั้งอยู่ในจตุตถฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้า
ยังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพาน
ในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบ
เหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงธนูไปยังรูปหุ่นที่ทำด้วย
หญ้าหรือกองดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆ
ได้ แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล บรรลุจตุตถฌาน
ฯลฯ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา ฯลฯ มีอันไม่กลับ
มาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความ
สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยจตุตถฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้
กล่าวแล้ว ฯ
สายหลวงปู่มั่นสอนเหมือนกันหมด คือ ใช้คำบริกรรม “พุทโธ ๆ ๆ”
เมื่อจิตรวมแน่วแน่ → เห็นลมหายใจละเอียด เมื่อ พุทโธ ทำงานจนจิตตั้งมั่นพอแล้ว คำบริกรรมค่อย ๆ จางไปเอง จิตหันมารับรู้อารมณ์ที่ละเอียดกว่า คือ ลมหายใจเข้า–ออก คือ ทุติยฌาน (ฌาน ๒): ความสงบแน่วแน่ จิตเป็นเอกัคคตา ไม่ฟุ้งซ่าน มีความสุขสงบ
เมื่อจิตสงบมากขึ้น → ลมหายใจและกายหายไป เมื่อสมาธิแก่กล้า ลมหายใจแทบไม่มี กายเหมือนหายไปจิตเหลือแต่ ความตั้งมั่นและอุเบกขา
จตุตถฌาน (ฌาน ๔): ไม่มีสุข–ทุกข์ มีแต่ อุเบกขาและจิตอันบริสุทธิ์
ใช้กำลังของฌาน ๔ ทำวิปัสสนา เมื่อจิตมีพลังมั่นคง ไม่หวั่นไหว จึงใช้พลังนี้ พิจารณาขันธ์ ๕
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เห็นตามความจริงว่า ไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ (ทุกขัง) เป็นอนัตตา (อนัตตา)
การพิจารณานี้เรียกว่า วิปัสสนาญาณ เป็นหนทางไปสู่ จิตวิมุตติ–หลุดพ้น
สรุปแนวสายหลวงปู่มั่น:
เริ่มพุทโธ → ลมหายใจ → ความว่าง → กำลังฌาน → วิปัสสนา
เป็นการเดินจากสมถะเข้าสู่วิปัสสนาโดยใช้กำลังสมาธิสูงสุด (ฌาน ๔) มาหนุนให้ปัญญาแทงตลอด
๑. พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยทุติยฌานบ้าง … ตติยฌานบ้าง … จตุตถฌานบ้าง”
ความหมาย:
พระองค์ยืนยันว่าฐานของสมาธิ (โดยเฉพาะฌาน ๒, ๓, ๔) สามารถใช้เป็นบาทฐาน เพื่อน้อมจิตไปสู่วิปัสสนาและการสิ้นอาสวะได้
๒. ภิกษุผู้บรรลุจตุตถฌาน
“บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่”
ความหมาย:
จิตในจตุตถฌานเป็นจิตที่สงบประณีตที่สุดในรูปฌาน
ไม่มีความสุขหรือทุกข์หยาบ ๆ
มีแต่ อุเบกขา และ สติผ่องใส
๓. การพิจารณาในฌาน
“เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ … โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา”
ความหมาย:
ภิกษุใช้กำลังของฌาน ๔ มาพิจารณาขันธ์ ๕
เห็นอย่างแจ้งว่า ไม่เที่ยง → เป็นทุกข์ → ไม่ใช่ตัวตน
นี่คือการเอาฌานเป็นบาทฐานของวิปัสสนา
๔. การน้อมจิตไปสู่นิพพาน
“ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต … นิพพาน”
ความหมาย:
หลังจากเห็นความจริงของขันธ์ ๕ แล้ว
ภิกษุน้อมจิตไปสู่ อมตธาตุ (คือ นิพพาน) อันสงบประณีต
จิตตั้งมั่นในอารมณ์นั้น
๕. ผลลัพธ์
ถ้าอาสวะสิ้นไปทันที → เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้
ถ้ายังไม่สิ้นอาสวะทั้งหมด → ด้วยกำลังฌานและปัญญาที่บรรลุแล้ว จะได้เป็น อุปปาติกะ (ผู้ไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส)
จะบรรลุพระอรหันต์ในภพนั้น
และจะ ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ถูกทำลายสิ้นแล้ว
๖. อุปมา “นายขมังธนู”
เปรียบภิกษุที่ฝึกฌานจนชำนาญ เหมือนนายธนูที่ยิงแม่น ยิงไกล และทำลายเป้าใหญ่ได้
คือการฝึกจิตในฌานจนสามารถพิจารณาธรรม และใช้เป็นเครื่องทำลายอวิชชาได้
๗. สรุป
ฌาน ๔ เป็นฐานให้ปัญญาแทงตลอดขันธ์ ๕
เมื่อพิจารณาเห็นไม่เที่ยง ทุกข์ อนัตตา แล้วน้อมไปสู่นิพพาน → ย่อมสิ้นอาสวะ
ถ้าสิ้นอาสวะทันที → บรรลุพระอรหันต์
ถ้ายังไม่สิ้น → ย่อมไปเกิดในพรหมโลกสุทธาวาส และบรรลุพระอรหันต์ที่นั่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยทุติยฌานบ้าง ฯลฯ เพราะอาศัยตติยฌานบ้าง ฯลฯ เพราะ
อาศัยจตุตถฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับ
โสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เธอย่อมพิจารณา
เห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะ
แห่งจตุตถฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่า เป็น
อนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่อ
อมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ...
นิพพาน เธอตั้งอยู่ในจตุตถฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้า
ยังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพาน
ในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบ
เหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงธนูไปยังรูปหุ่นที่ทำด้วย
หญ้าหรือกองดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆ
ได้ แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล บรรลุจตุตถฌาน
ฯลฯ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา ฯลฯ มีอันไม่กลับ
มาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความ
สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยจตุตถฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้
กล่าวแล้ว ฯ