ตัวอย่างของความสุดโต่งของผู้ปฏิบัติ เช่น ทำสมถะ กับวิปัสสนา บางคนทำสมถะก็สมถะจริงๆ ทำแต่สมถะ จนติดสมถะ หลงคิดว่าสมาธิที่เกิดจากสมถะเป็นนิพพาน นี้มีมาก
บางคนก็บอกว่า สมถะไม่ต้องทำ เจริญวิปัสสนาไปเลย เดี๋ยวสมถะเกิดตามเอง ก็ใช้วิธีคิดพิจารณาอย่างเดียว ประเภทนี้ เวลาทำไปมากๆ จิตจะฟุ้งซ่าน แยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือปัญญา อะไรคือจิตสังขารทำงาน ซึ่งในความเป็นจริง หากไม่มีบาทฐานจากความสงบของจิต การพิจารณานั้นล้วนแต่เป็นจิตสังขารทำงานล้วนๆ ไม่ได้ทำให้เกิดปัญญาเห็นตามจริงของทุกขอริยสัจ หรือทุกขสัจ จนจางคลายหรือละ ราคะโทสะ โมหะได้
จริงๆแล้วสมถะและวิปัสสนานั้น ต้องทำควบคู่กันไป ให้เจริญขึ้นไปพร้อมๆกัน จะขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้ และต้องมีความสมดุลย์อยู่ในตัว ไม่ใช่มีอย่างใดอย่างหนึ่งมากว่า มาก ซึ่งในความเป็นจริง ส่วนที่มากเกินไปนั้นจะไม่อาจใช้ประโยชน์ได้ ในการลดละตัณหา และทิฏฐิ
คนไหนจิตไม่นิ่ง ไม่สงบจริง แล้วบอกมีปัญญาเป็นเลิศกว่าใคร แต่พอเจอผัสสะแรงๆ ควบคุมจิตให้นิ่งไม่ได้ แสดงว่า ไม่มีทั้งปัญญาคือปัญญาวิปัสสนา และไม่มีกระทั่งสมถะ หรือตบะบารมี ที่จะข่มบังคับจิต ให้รักษาศีลเอาไว้ได้ นี่เป็นอุทาหรณ์สอนใจแต่ละคน ว่าอย่าได้ประมาทว่าเรานั้นเก่งแล้ว ดีแล้ว คนอื่นภาวนาไม่ดีเท่าเรา แต่หารู้ตัวไม่ว่าเรานั้นกำลังถูกกิเลสไสหัวอยู่ เพื่อนจะทักอย่างไรก็ไม่ฟัง ทำตัวเหมือนd-o-gบ้า เพราะถูกกิเลสครอบงำ แล้วไม่รู้ตัว ดูๆก็น่าสงสาร แต่ก็สุดที่จะช่วย ได้แต่หนีให้ห่างๆไว้ สำหรับคนประเภทนี้
บางทีการที่เพื่อนปล่อยให้คนประเภทนี้พูดไป ไม่คอยทักท้วงแต่แรกหรือคอยตามทักท้วงเป็นระยะๆ แบบต่างคนต่างอยู่ก็เลยทำให้ได้ใจ คิดว่าคนอื่นไม่มีปัญญาทักทวง เลยยิ่งหลงหนักเข้าไปเรื่อยๆ มิสู้ตีกันทะเลาะกันให้ตบะแตกไปเสียแต่เนิ่นๆ จะไม่เจ็บตัวมาก นี่ก็น่าคิด
และจริงๆแล้วการคุยกันแลกเปลี่ยนความเห็นต่างกัน เป็นระยะๆ นี่ก็มีข้อดี ทำให้เกิดการตรวจสอบ การภาวนาของแต่ละคน ผมถึงบอกว่าลานนี้เป็นครู เป็นแบบฝึกหัด ให้กับทุกคนที่เข้ามาแสดงความเห็นเข้ามาแปะ เพราะพร้อมจะเกิดความเห็นต่าง ทำอย่างไรเราจะใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้มาพัฒนาตัวเรา ปิดจุดอ่อน ดูดซับสิ่งดีๆข้อคิดดีๆ ในบางแง่ที่เราอาจมองข้ามไปหรือคิดไม่ถึง
ลานธรรมนั้น มีภาพพจน์ที่ดีอย่างคือเราศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎก เอาปิฎกมาเป็นเกณฑ์ตัดสินความเห็นต่าง และพยายามทำความเข้าใจคำสอนที่ถ่ายทอดผ่านพระไตรปิฎก เป็นความรู้เชิงปริยัติ ส่วนการปฏิบัตินั่นแต่ละคนก็ต่างไปทำกันเอง ปฏิบัติอย่างไรเมื่อเอามาเล่าสู่หริอแลกเปลี่ยน ก็จะมีเพื่อนๆนำปิฎกมาสอบทานให้ นี่คิอเสน่ห๋ของลานธรรมในแง่นี่ซึ่งมีอยู่ ที่ผมเองก็พยายามช่วยอยู่ตอนนี้ ได้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าเทียบเคียงไป
เครดิต คุณเกษม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ใส่ข้อความ http://larndham.org/index.php?/topic/44714-%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/page__pid__829795__st__0
ทำไมต้องทำสมถะ ควบคู่กับวิปัสสนา
บางคนก็บอกว่า สมถะไม่ต้องทำ เจริญวิปัสสนาไปเลย เดี๋ยวสมถะเกิดตามเอง ก็ใช้วิธีคิดพิจารณาอย่างเดียว ประเภทนี้ เวลาทำไปมากๆ จิตจะฟุ้งซ่าน แยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือปัญญา อะไรคือจิตสังขารทำงาน ซึ่งในความเป็นจริง หากไม่มีบาทฐานจากความสงบของจิต การพิจารณานั้นล้วนแต่เป็นจิตสังขารทำงานล้วนๆ ไม่ได้ทำให้เกิดปัญญาเห็นตามจริงของทุกขอริยสัจ หรือทุกขสัจ จนจางคลายหรือละ ราคะโทสะ โมหะได้
จริงๆแล้วสมถะและวิปัสสนานั้น ต้องทำควบคู่กันไป ให้เจริญขึ้นไปพร้อมๆกัน จะขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้ และต้องมีความสมดุลย์อยู่ในตัว ไม่ใช่มีอย่างใดอย่างหนึ่งมากว่า มาก ซึ่งในความเป็นจริง ส่วนที่มากเกินไปนั้นจะไม่อาจใช้ประโยชน์ได้ ในการลดละตัณหา และทิฏฐิ
คนไหนจิตไม่นิ่ง ไม่สงบจริง แล้วบอกมีปัญญาเป็นเลิศกว่าใคร แต่พอเจอผัสสะแรงๆ ควบคุมจิตให้นิ่งไม่ได้ แสดงว่า ไม่มีทั้งปัญญาคือปัญญาวิปัสสนา และไม่มีกระทั่งสมถะ หรือตบะบารมี ที่จะข่มบังคับจิต ให้รักษาศีลเอาไว้ได้ นี่เป็นอุทาหรณ์สอนใจแต่ละคน ว่าอย่าได้ประมาทว่าเรานั้นเก่งแล้ว ดีแล้ว คนอื่นภาวนาไม่ดีเท่าเรา แต่หารู้ตัวไม่ว่าเรานั้นกำลังถูกกิเลสไสหัวอยู่ เพื่อนจะทักอย่างไรก็ไม่ฟัง ทำตัวเหมือนd-o-gบ้า เพราะถูกกิเลสครอบงำ แล้วไม่รู้ตัว ดูๆก็น่าสงสาร แต่ก็สุดที่จะช่วย ได้แต่หนีให้ห่างๆไว้ สำหรับคนประเภทนี้
บางทีการที่เพื่อนปล่อยให้คนประเภทนี้พูดไป ไม่คอยทักท้วงแต่แรกหรือคอยตามทักท้วงเป็นระยะๆ แบบต่างคนต่างอยู่ก็เลยทำให้ได้ใจ คิดว่าคนอื่นไม่มีปัญญาทักทวง เลยยิ่งหลงหนักเข้าไปเรื่อยๆ มิสู้ตีกันทะเลาะกันให้ตบะแตกไปเสียแต่เนิ่นๆ จะไม่เจ็บตัวมาก นี่ก็น่าคิด
และจริงๆแล้วการคุยกันแลกเปลี่ยนความเห็นต่างกัน เป็นระยะๆ นี่ก็มีข้อดี ทำให้เกิดการตรวจสอบ การภาวนาของแต่ละคน ผมถึงบอกว่าลานนี้เป็นครู เป็นแบบฝึกหัด ให้กับทุกคนที่เข้ามาแสดงความเห็นเข้ามาแปะ เพราะพร้อมจะเกิดความเห็นต่าง ทำอย่างไรเราจะใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้มาพัฒนาตัวเรา ปิดจุดอ่อน ดูดซับสิ่งดีๆข้อคิดดีๆ ในบางแง่ที่เราอาจมองข้ามไปหรือคิดไม่ถึง
ลานธรรมนั้น มีภาพพจน์ที่ดีอย่างคือเราศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎก เอาปิฎกมาเป็นเกณฑ์ตัดสินความเห็นต่าง และพยายามทำความเข้าใจคำสอนที่ถ่ายทอดผ่านพระไตรปิฎก เป็นความรู้เชิงปริยัติ ส่วนการปฏิบัตินั่นแต่ละคนก็ต่างไปทำกันเอง ปฏิบัติอย่างไรเมื่อเอามาเล่าสู่หริอแลกเปลี่ยน ก็จะมีเพื่อนๆนำปิฎกมาสอบทานให้ นี่คิอเสน่ห๋ของลานธรรมในแง่นี่ซึ่งมีอยู่ ที่ผมเองก็พยายามช่วยอยู่ตอนนี้ ได้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าเทียบเคียงไป
เครดิต คุณเกษม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้