อัศวินเทเลอร์กับอาณาจักรแอตแลนติส...บทที่ 19 – ภาษาแอตแลนติส (Part 3)

กระทู้สนทนา
..........

          ฟีเลียสพาผมมายังที่พักสำรองสำหรับเซ็นทอร์ต่างเมืองและทิ้งให้ผมสงสัยกับสิ่งที่เขาบอกที่โรงยิม พวกเขามีเวบแคมเพื่อติดต่อกันเหรอผมสงสัย แต่ผมละความสงสัยนั้นไว้ชั่วคราวก่อนแล้วหันมาสนใจกับบ้านของเซ็นทอร์ ด้วยลักษณะของพวกเขาที่คล้ายกับม้านั้นผมจึงจินตนาการไปว่าที่พักควรจะเหมือนกับคอกหรืออะไรก็ตามที่ใช้กับสัตว์สี่เท้า แต่เปล่าเลยเพราะห้องที่ผมเห็นนั้นก็เหมือนกับห้องของคนทั่ว ๆ ไปมีเตียงหลังกลม ๆ ที่มีฝาปิดเหมือนช่องกลไกลหลุมหลบภัยและมุ้งสายเดียวที่แขวนบนเพดานเพื่อกันยุงหรือแมลง มีห้องอาบน้ำในตัว กระจกบานใหญ่และโต๊ะหนึ่งตัวที่ไม่มีเก้าอี้ ผมวางกระเป๋า คลี่ผ้าห่มพื้นยาวที่อยู่ปลายเตียงออกเพื่อรองพื้นและนั่งลงบนเตียง ความเจ็บปวดของมนตร์สาปแช่งที่ผมเจอเริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากที่ผมไม่ได้คิดถึงมันเลย ผมจึงจิบยาที่อันทิโนอุสให้อีกรอบ อันที่จริงผมก็ไม่รู้หรอกว่าควรกินยาตอนไหนเพราะมันไม่มีฉลากยาแปะไว้ข้างขวด ผมเลยติต่างเอาเองว่าจิบยาเวลาปวดและตอนนี้ผมก็รู้สึกดีเหมือนจะเป็นปกติแล้ว ผมเปิดกระเป๋า หยิบล็อกเก็ตสีเงินที่มีรูปพ่อแม่ออกมาดู ตัดสินใจอยู่พักใหญ่ว่าจะสวมมันที่คอดีไหม แต่ผมก็หย่อนมันลงกระเป๋าตามเดิม และล้มตัวนอน ในขณะที่เคลิ้ม ๆ อยู่นั้น ก็มีเสียงเซ็นทอร์เคาะประตูและเรียกผม ทำให้ผมต้องแบกร่างออกไปเปิดประตู
          “ท่าน อัศวินเทเลอร์ใช่ไหม” เซ็นทอร์รุ่นเล็กถามผม เขาดูรุ่นราวคราวเดียวกับผมแต่ผมไม่แน่ใจว่าเขาอายุเท่าไหร่เพราะเซ็นทอร์คงมีช่วงอายุไม่เท่ากับมนุษย์อย่างผมแน่นอน
          “ใช่ คงมีมนุษย์ไม่กี่คนที่อยู่ที่นี้หรอก จริงไหม” ผมพูด
          “ไม่เคยมีเลยต่างหาก” เขาพูด “ท่านฟีเลียสบอกให้ข้ามาตามท่านไปพบท่านที่ห้องสื่อสารหน่อย”
          “ได้สิ” ผมเดินตามเซ็นทอร์น้อยไป เมื่อมาถึงมีเซ็นทอร์อยู่หลายตนที่นั่น พวกเขายิ้มที่มุมปากและก้มศีรษะเล็กน้อยให้กับผมเมื่อผมเดินผ่าน ในห้องค่อนข้างมืดเล็กน้อย
          “ข้าได้ติดต่ออันทิโนอุสไปแล้ว อีกสักพักเราก็จะได้คุยกับพวกพี่ของท่านแล้ว”
          “คุยที่นี่หรือครับ”
          “ใช่” ฟีเลียสพยักหน้า
          “เขาจะมาที่นี่เหรอครับ” ที่ผมถามแบบนี้ก็เพราะว่าในห้องนี้ไม่มีอะไรที่สามารถบ่งบอกได้เลยว่าอะไรเป็นสื่อการในการติดต่อครั้งนี้
          “ก็ไม่เชิง” ฟีเลียสยิ้ม
          ผมรออย่างใจจดใจจ่อ คิดว่าถ้าไมลีย์กระโดดเข้ากอดผมต่อหน้าทุกคนผมจะทำยังไง และความคิดที่ว่ามีใครคนหนึ่งเสียชีวิตระหว่างการเดินทางก็แวบมาที่หัว มันเป็นแบบนี้อยู่บ่อย ๆ เวลาผมตื่นเต้นมักจะจินตนาการถึงเรื่องร้าย ๆ ก่อนเสมอ ผมคิดไปว่าถ้าเชนนิ่งและแมทหนีไม่พ้นแล้วถูกพวกทหารตามและจับได้ล่ะ แล้วอันทิโนอุสจะรู้ได้ไงว่าคนที่มากับผมมีกี่คน ไมลีย์อาจจะคิดว่าพวกเราทั้งสามถูกจับและแพทริคก็ตัดสินใจเข้าไปในหมู่บ้านก่อน ในขณะที่ผมกำลังคิดถึงเรื่องเหล่านี้ จู่ ๆ ก็มีนกอินทรีย์บินมาจากไหนไม่รู้มาหยุดข้างหน้า มันคายลูกแก้วใส ๆ ออกมาจากปากแล้วก็บินทะลุกำแพงออกไป ผมยังไม่ทันหายสงสัยกับนกอินทรียักษ์นั่น ลูกแก้วที่ผมเห็นก็ระเบิดออกและก่อร่างสร้างตัวเป็นรูปร่างขนาดตัวคนช้า ๆ  เมื่อควันสลาย มันก็กลายเป็นเทรซี่และคนอื่น ๆ ยืนอยู่ข้างหน้าผม เทรซี่ก้มดูมือเธออย่างประหลาดใจแล้วก็เงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าตื่นเต้น

          “เทเลอร์” เทรซี่ตะโกนเสียงดังแล้ววิ่งที่ผมทันที อย่างน้อยก็ไม่ใช่ไมลีย์ที่จะเข้ามากอดผมคนแรก ผมเดินเข้าไปหาเธอและอ้าวงแขนต้อนรับ แต่ทันทีที่เธอกระโจนเข้าหาผม เธอก็แตกสลายกลายเป็นกลุ่มควัน ทะลุร่างกายผมแล้วประกอบตัวเป็นเธออีกครั้งอยู่ข้างหลัง
          “ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ” เธอพูดพร้อมดูมือที่ค่อย ๆ สร้างใหม่ด้วยกลุ่มควัน
          “เธอไม่ได้ย้ายมาที่นี่นะสาวน้อย” อันทิโนอุสหัวเราะ “เราแค่สร้างภาพขึ้นมาเท่านั้น”
          “แหม แล้วก็ไม่บอกนะคะ อันทิโนอุส” เธอยิ้มแล้วก็เดินย้อนมายืนหน้าผมเหมือนเดิม
          “เจ๋งจังเลย อันทิโนอุส” แมทพูด “มันดีกว่าเวบแคมที่บ้านเราอีกนะ”
          “สบายดีใช่ไหม เทย์” ไมลีย์ยิ้ม
          “สบายดีครับแล้วพวกพี่ล่ะ” ผมถามกลับและยิ้มคูณสองเมื่อรู้ว่าไมลีย์ไม่สามารถโผกอดผมได้
          “สบายดี พี่คิดถึงเธอมากจนไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เหมือนกับว่าเราจากกันมาเป็นเวลานานเลย”
          “ไมล์ เธอก็เวอร์ไป พวกเราเพิ่งคลาดกันเมื่อวานนี่เอง” เชนนิ่งขัดคอและทุกคนก็หัวเราะเบา ๆ
          ผมกวาดสายตามองรอบ ๆ ห้อง แพทริคและแพทริเซียยืนอยู่หลังสุด แมทและเทรซี่ยืนอยู่ข้าง ๆ เชนนิ่ง และมีอันทิโนอุสยืนมองดูพวกเราอยู่ห่าง ๆ แสดงว่าทุกคนปลอดภัยดี แต่ผมยังตะขิดตะขวงใจอยู่ คลับคล้ายคลับคลาว่าควรจะมีใครยืนอยู่ตรงนั้นอีกหนึ่งคน
          “พวกนายสบายดีนะ” ผมพยักหน้าไปทางแมทและเชนนิ่ง “แล้วกอนดอนล่ะ เขาไม่ได้มากับพวกนายเหรอ”
ผมนึกขึ้นได้ว่ายังมีกอนดอนอีกคน ผมให้เขาเป็นผู้นำพาไมลีย์และพวกออกจากป่าเพื่อไปอาณาจักรบาเรียน่า แต่ไม่เป็นไร พวกเขาอยู่กับอันทิโนอุสแล้ว พวกเขาปลอดภัยกันแล้ว ผมรอคำตอบอยู่พักใหญ่ ยังไม่มีใครพูดอะไร พวกเขามองหน้ากันเหมือนกำลังเกี่ยงกัน
          “พวกนายไม่ได้ไปหากอนดอนหรอกเหรอ” ผมนิ่งรอคำตอบ “แมท...ว่าไง”
          “เออ...” แมทกำลังจะพูดแต่สายตาผมดันเหลือบไปเห็นเชนนิ่งกับนาฬิกาเรือนหนึ่งในมือเขาเสียก่อน
          “เชน นายเอานาฬิกาคืนมาจากกอนดอนหรอ” ผมถาม คาดหวังกับคำตอบที่จะได้พอตัวแต่เชนนิ่งกลับส่ายหน้า
          “อะไรกัน” ผมพูดและไม่ยักรู้ว่าเสียงของตัวเองกำลังสั่น
          “เขาเสียสละเพื่อให้พวกเราปลอดภัย” แมทพูด
          หัวผมเริ่มหมุนอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินแมทพูดแบบนั้น ไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าแบบไหนดีเพราะมันก็ชัดเจนแล้วว่า...กอนดอนไปแล้ว ไปอยู่กับแม่ผมที่ใดสักแห่ง แม้ผมจะเจอกับเขาได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงแต่รอยยิ้มและแววตาที่เขามองมาที่ผมมันทำให้ผมมีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ
          “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” ผมพูดและมือเริ่มสั่น “เขาตายจริง ๆ เหรอ”
          แมทพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ อันที่จริง ผมไม่ได้คิดว่านั่นเป็นคำถามด้วยซ้ำเพราะผมไม่อยากได้คำตอบแบบนั้นอยู่แล้ว ผมเพียงแค่พูดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ หัวใจผมเต้นตึก ๆ ช้าลง ตัวผมเบาหวิวราวกับปุยนุ่น ใบหน้าของเด็กชายรูปร่างผอม ผมยุ่งกับเพิงนอนเก่า ๆ ในตรอกมืด ๆ ลอยขึ้นมาให้เห็นอย่างเด่นชัด เด็กชายที่ทำให้ผมเชื่อมั่นในตัวเอง เด็กชายที่เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องเพื่อนพ้องของผม เด็กชายที่ผมจะจำเขาตลอดไป
          “ฉันจะส่งนาฬิกากลับไปให้นายนะ ด็อกเตอร์” เชนนิ่งพูดพร้อมชูนาฬิกาให้ผมเห็น ผมได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่