อัศวินเทเลอร์กับอาณาจักรแอตแลนติส...บทที่ 4 – บุตรแห่งครีโทเนียส (Part 2)

กระทู้สนทนา
.....

          แมทพักกับผมส่วนกลอเรียและเทรซี่แยกห้องพัก ที่จริงผมไม่เคยได้พักโรงแรมหรู ๆ แบบนี้มาก่อนแม้ว่าครอบครัวผมจะไม่ได้รวยมากนักแต่การเข้าพักโรงแรมแบบนี้มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่แม่และพ่อชอบที่จะอยู่แบบง่าย ๆ มากกว่า เพราะฉะนั้นผมเลยถูกสอนมาให้เป็นคนมัธยัสถ์
          “เราจะต้องอยู่นี่กันอีกกี่วันเนี่ย”
          “ไม่รู้สิ” แมทตอบ
          “นี่แมท นายเคยรู้อะไรบ้างไหม” ผมพูดพร้อมเดินสำรวจห้อง มันเป็นห้องสูทของโรงแรม ผมไม่แน่ใจว่าเป็นห้องไวซ์ เพรสซิเดนเชียล วิว สูท (Vice Presidential View Suit) หรือเปล่า แต่ที่รู้ ๆ ถ้าเป็นระดับเทรซี่มาพักแล้ว มันคงไม่ธรรมดา ข้างนอกมีโต๊ะทำงาน มีโซฟาสำหรับรับแขกและมีห้องน้ำกว้างกว่าห้องนอนผมซะอีก ของตกแต่งในห้องล้วนมีสไตล์ ราคาคงแพงน่าดู ผมเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่มาพักที่นี่พวกเขาต้องการอะไร ต้องการแค่นอนหลับแล้วจากไปหรือต้องการเอาเงินที่มีมาละลายเล่น
          “บ้านเทรซี่รวยดีนะ”
          “พ่อเธอเป็นเอกอัครราชทูตน่ะ” ผมบอก
          “ฉันพอรู้อยู่บ้าง”
          แมทยิ้มและเริ่มค้นข้าวของของเขา เขาทำหน้าบูดและถอนหายใจยาวอ่อนใจ
          “นายหาอะไร แมท”
          “นายดูเสื้อฉันแต่ละตัว ที่นี่ฝรั่งเศส ฉันก็ลืมไป” เขาบอกอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมเกาหัวไปมา เหมือนกำลังหาทางออก “ว่าแต่ นายไม่เสียใจเรื่องพ่อกับแม่นายแล้วใช่ไหม” แมทเปลี่ยนเรื่อง
          “อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ว่าฉันไม่เสียใจนะ แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันก็ต้องเดินหน้าแล้วถ้าฉันคืออัศวินจริง ๆ ฉันก็ต้องทำให้ครีโทเนียสรู้สึกว่าสูญเสียอะไรบ้างเหมือนกับที่มันทำกับครอบครัวของฉัน”
          “ฉันไม่ชอบเลยที่นายพูดแบบนี้” แมทพูดเสียงขรึม ก่อนที่จะหยิบเสื้อผ้าของเขากลับลงกระเป๋า
          “แล้วนายจะให้ฉันพูดยังไงล่ะ” ผมล้มตัวลงบนที่นอน “เขาฆ่าพ่อกับแม่ของฉันนะ”
          “เทย์ นายอย่าเอาความแค้น มาเป็นแรงขับเคลื่อนในการแก้แค้นนะ” แมทผลักกระเป๋าลงจากเตียงและล้มตัวนอนข้าง ๆ ผม “มันไม่ใช่เครื่องมือที่ดีมากนักหรอก”

          เราพักที่โรงแรมนานเกือบค่อนวัน ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำสักอย่างนอกจากภัตตาคารประมาณเจ็ดแห่งในตัวโรงแรมและฟิตเนสสำหรับออกกำลังกาย แม้ว่าไอเดียของแมทที่จะออกไปสำรวจบริเวณนี้จะไม่เข้าท่านัก แต่มันก็ก็ยังดีกว่าอุดอู้อยู่ในห้อง แมทพาเดินสำรวจทางหนีทีไล่ ตรอกซอกซอยต่าง ๆ สำหรับภาวะคับขัน เรายังคงคุยเรื่องราวไร้สาระจนท้ายที่สุดก็กลับมาเรื่องผม
          “กลอเรียบอกฉันว่าถ้าเราพานายกลับไปหาพ่อของเทรซี่ พวกฉันก็จะไม่ได้เจอนายอีก”
          “ทำไมล่ะ”
          “มันเป็นแผนการป้องกันอันตรายนะสิ”
          “แล้วพี่ ๆ ฉันจะอยู่ยังไงล่ะ”
          “ก็คงต้องอยู่อีกที่ เมื่อพร้อม...พวกเขาก็จะพานายเข้าอาณาจักรแอตแลนติส และฉันก็ไม่อยากปล่อยนายให้เป็นแบบนั้น ฉันทิ้งนายไม่ได้จริง ๆ” แมทพูดจนผมรู้สึกอยากกระโดดกอด
          “แล้วนายจะทำยังไง”
          “กลอเรียจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด แล้วเรา ทั้งนายและพี่นาย ก็จะได้เข้าไปที่แอตแลนติสด้วยกัน” แมทยิ้ม
          “แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ มันจะไม่อันตรายกว่าเหรอ เท่าที่ฉันจำได้จากฝัน แอตแลนติสมันเป็นเมืองยุคโบราณมาก และพวกเขาก็ใส่เสื้อยุคกรีกโบราณนะ เราจะเป็นเป้าได้”
          “ไม่ ๆ นั่นมันในนิมิต คนที่นั่นแต่งตัวเหมือนเรานี่แหละ แต่ก็อาจมีบางโอกาสสำหรับการแต่งตัวตามประเพณีนิยม” แมทยักคิ้ว “อันทิโนอุสแค่จะสื่อกับนายว่าที่นั่นมันไม่ใช่นิวยอร์คแต่มันเป็นแอตแลนติส”
          “แล้วนายเคยเห็นที่นั่นไหม…หมายถึงอันทิโนอุสเคยทำให้นายฝันไหม”
          “ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอันทิโนอุสทำหรือเปล่าแต่ฉันเคยฝันว่าไปแอตแลนติสสองครั้ง ฉันก็เห็นภาพเดียวกับนายนั่นแหละ แต่กลอเรียบอกว่ามีแค่เรื่องการแต่งกายเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไปตามสมัย สภาพบ้านเมืองไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ สภาพแวดล้อมที่นายเห็นยังเหมือนเดิมทุกอย่าง”
          แมทเร่งฝีเท้า ถ้าสิ่งที่แมทบอกคือความจริง กลอเรียจะพาพวกเราไปยังแอตแลนติส เมืองที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรเมื่อประมาณหมื่นปีที่ผ่านมา แล้วเราจะไปโดยวิธีไหน เราจะต้องเช่าเรือสำราญเพื่อล่องทะเล หาจุดใดจุดหนึ่งและกระโดดลงน้ำ แล้วจะมีปลาโลมามารับเราไปที่นั่นเหมือนนิทานของญี่ปุ่นที่มีเต่ามารับโมโมชิโร่ลงไปเมืองใต้บาดาล พอขึ้นมาก็ผ่านไปแล้วเป็นสิบ ๆ ปีหรือเปล่า หรือเดินทะลุกำแพงเหมือนหนังสือวรรณกรรมเล่มหนึ่งที่ผมโปรดปรานดีล่ะ ผมยังนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเราจะหลุดพ้นจากสายตาของเทรซี่ที่ย้ำนักย้ำหนาว่าเราจะต้องพบกับพ่อของเธอได้อย่างไร
          “แล้วเราจะไปอยู่กับใคร”
          “กลอเรียรู้จักกลุ่มที่จงรักภักดีต่อนายนะสิ”
          “ตามตำนานแอตแลนติสมันจมอยู่ใต้สมุทรไม่ใช่เหรอ ทำไมเรายังสามารถไปที่นั่นได้อีก”
          “เรื่องนี้ไม่ใช่ตำนาน เทย์ มันแค่ถูกย้ายที่ อย่าลืมสิ ชาวแอตแลนติสเป็นลูกหลานของโพไซดอนนะ เพราะฉะนั้นโพไซดอนไม่ฆ่าพวกเขาหรอก” ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากถามแมท เราก็เดินวนมาถึงโรงแรมแล้วโดยมีกลอเรียยืนอยู่หน้าโรงแรม สีหน้าวิตกจริตเหมือนกำลังกังวลใจอะไรบางอย่าง
          “ฉันตามพวกนายให้ทั่วเลย” กลอเรียเอ็ด
          “มีอะไรหรือเปล่า”
          “เทรซี่โทรมาบอกว่าเธอรู้แล้วว่าพี่นายอยู่ที่ไหน”

          สิบห้านาทีต่อมาที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ เทรซี่ยืนรอที่จุดนัดพบ แม้จะยืนตรงหน้าพีระมิดแก้ว และพยายามมองหากลุ่มนักเรียนกลุ่มใหญ่แต่นี่มันไม่ง่ายเลยเพราะมีกลุ่มนักเรียนหลายกลุ่มที่มาทัศนศึกษาที่นี่และพวกเขาก็รุ่นราวคราวเดียวกับไมลีย์และเชนนิ่งทั้งนั้น
          “ทำไมฉันแยกไม่ออกว่ากลุ่มไหนเป็นคนอเมริกัน” กลอเรียเพ่งตาไปมองกลุ่มนักเรียนและคนทั่วไปมากมายที่อยู่ข้างหน้า
          “ทำไมเราไม่แยกย้ายกันหาล่ะ แล้วอีกหนึ่งชั่งโมงมาเจอกัน” แมทเสนอ “เทย์กับฉันจะหาชั้นหนึ่ง เทรซี่กับกลอเรียลองดูแถว ๆ นี้”
          “ไม่ได้” เทรซี่พูดทันควัน “เราจะคลาดกันไม่ได้เด็ดขาดและฉันไม่ยอมให้เทเลอร์ห่างจากสายตาฉันเด็ดขาด”
          “เธอพูดคำว่า เด็ดขาด ถึงสองครั้งในประโยคเดียว” ผมกระซิบบอกแมท
          “แล้วเธอมีวิธีที่ดีกว่านี้หรือเปล่าล่ะ” กลอเรียถาม
          “ถึงไม่มีก็ไม่ได้” เธอพูดห้วน “ฉันสัญญากับพ่อแล้ว เทเลอร์จะต้องกลับไปกับฉัน”
          “เราก็ไม่ได้จะพรากเทย์นี่ ยังไงเราก็ต้องกลับกันอยู่แล้ว”
          “งั้นเราก็เดินตามหาพี่ฉันหมดนี่แหละ” ผมตัดบทและเดินปาดหน้าของทั้งสองคน แต่ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปในตัวพิพิธภัณฑ์ ไมลีย์กับเชนนิ่งกำลังเดินออกมาข้างนอก เชนนิ่งทำหน้าซังกะตายเหมือนที่เคยเป็นแต่เขาก็ต้องเปลี่ยนสีหน้าเมื่อเห็นผมกำลังวิ่งเข้าไปหา
          “นายมาทำอะไรที่นี่” เชนนิ่งทัก
          “หยุดก่อน เชน” ผมบอก มือเท้าที่เข่าและกำลังหายใจถี่ เอาอากาศเข้าปอด
          “มีอะไร มาที่นี่ได้ไง แล้วแม่ล่ะ” ไมลีย์ถามด้วยสีหน้าใคร่รู้ เธอมองไปรอบ ๆ เหมือนกำลังมองหาใครบางคน
          “แม่ตายแล้ว” ผมโผงออกมาพร้อมกับเสียงหอบ ทั้งสองจ้องหน้าผมอยู่พักใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไรและผมก็เดาไม่ถูกว่าทั้งสองคนคิดอะไร
          “นายพูดอะไรของนาย” เชนนิ่งพูดและไมลีย์ก็ลากผมมายังมุมเสาเพื่อหลบผู้ที่เดินไปมาในบริเวณนี้ เธอเอามือแตะหน้าผากผมเบา ๆ จนผมต้องเบี่ยงตัวหลบ
          “เมื่อวานมีคนบุกเข้ามาที่บ้าน แล้วเขายิงแม่ ผมก็เลยหนีออกมา แล้วตอนเย็นผมก็ดูข่าวสถานีอากาศที่พ่อทำงานอยู่ระเบิด”
          “นายเป็นบ้าอะไร” เชนนิ่งตะคอกใส่ผมเสียงดัง จนคนที่เดินไปเดินมา หันมามองเป็นตาเดียว
          “นี่มันเรื่องจริงนะเชน ฉันพูดจริงทุกอย่าง” ผมเริ่มจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกแล้ว เมื่อความทรงจำทำให้ภาพต่าง ๆ ที่เกิดมันชัดเจนขึ้น
          “เทเลอร์ ฟังพี่นะ” ไมลีย์พูดเสียงราบเรียบ “เธอควรจะอยู่กับพ่อและแม่ที่โรงแรม หลังจากที่พี่กับเชนนิ่งทัศนศึกษาเสร็จ เราก็จะไปเที่ยวต่อ พ่อไม่ได้ทำงานที่สถานีอวกาศนาเมียร์ตอนที่สถานีระเบิด พ่อกลับมาก่อน แล้วก็ไม่มีใครเป็นอะไรด้วย”
          “ไม่...ผมอยู่ที่บ้าน มีคนถือปืนมายิงแม่แล้วผมก็หนีมาตามหาพี่เพราะ...” ผมหยุดพักหายใจ ผมจะบอกไมลีย์ว่าผมเป็นอัศวินงั้นหรอ ไม่ มันยังไม่ใช่ตอนนี้ “ผมมากับแมท กลอเรียแล้วก็เทรซี่”
          “นั่นไง พวกเขายืนตรงนั้น”
          ผมชี้ไปยังจุดที่แมทยืนอยู่ แต่มันว่างเปล่า พวกเขาหายไปไหนแล้ว ทำไมต้องมาหายตัวกันไปตอนนี้
          “ประสาทกลับไง” เชนนิ่งลากเสียงเยาะและหัวเราะร่า “ไมล์โทรให้แม่มารับไอ้นี่กลับโรงแรมสิ
          “พี่ว่า...พี่ไปส่งเธอที่โรงแรมเองดีกว่า รอพี่ตรงนี้นะ” ไมลีย์บอกแล้วเดินไปหาอาจารย์ พวกเขาคุยกันสักพักใหญ่ และก็มองมาทางผม
          ผมสับสนไปหมดแล้ว ผมแน่ใจว่าผมไม่ได้ฝันไปแน่เรื่องที่แม่ตาย ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริง แล้วผมก็เพิ่งนั่งเครื่องมาที่นี่ ผมยังรู้สึกถึงความรุนแรงที่เครื่องบินสั่นสะเทือนเพราะหลุมอากาศได้ด้วยซ้ำ แล้วผมจะไปอยู่กับพ่อแม่ที่โรงแรมได้ไง ผมยังคิดไม่ออกว่าอะไรที่ผมควรทำจากนี้ กลับโรงแรมมาริออตเพื่อไปตั้งตัวหรืออะไรดี แล้วนี่แมทและทุก ๆ คนหายไปไหนกันหมดแต่ไม่ทันที่ผมจะตัดสินใจทำอะไรลงไป ไมลีย์กับเชนนิ่งก็เดินมาพร้อมกัน เชนนิ่งยิ้มหน้าระรื่นบ่งว่า ฉันมีความสุขที่สุดกับการกลับไปนอนที่โรงแรม
          “ขอบใจที่ก่อปัญหา” เชนนิ่งยีถากถาง ไมลีย์เดินตาม เรากำลังเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟว์
          นี่มันเกิดอะไรขึ้น

          เราทั้งสามนั่งรถมานานพอควร แท็กซี่มาจอดบริเวณตรอกแห่งหนึ่ง เราต้องเดินเท้าต่อกันไปอีกหน่อยถึงจะพบโรงแรมที่พัก พระเจ้า ผมไม่คุ้นกับสถานที่นี่เลย มีหลายโรงแรมในตรอกนี้ แต่มีหนึ่งที่เดาออกว่า นี่ต้องเป็นที่ที่พ่อแม่เลือกจะมาพักอย่างแน่นอน พวกเราเดินเข้าไปที่โรงแรมแห่งนั้น ลักษณะภายนอกดูเรียบง่าย ไม่หรูหราเหมือนโรงแรมที่เทรซี่เปิดให้ ถ้ามองจากตรงนี้ ที่นี่จะไม่ใหญ่มากนัก แต่ภายในกลับตกแต่งโอ่อ่าและสวยงามใช่ย่อย มีบันไดวนทางด้านขวามือของล็อบบี้ พนักงานขนกระเป๋าสามคนกำลังช่วยสุภาพสตรีคนหนึ่งขนกระเป๋าราว ๆ ครึ่งโหล เธอมาอยู่กี่วันกันแน่ ผมคิดในใจ ชายสองคนสวมโค้ชยาวนั่งอยู่โซฟา ใส่เสื้อผ้าเหมือนตำรวจนอกเครื่องแบบ คนหนึ่งกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ อีกคนกำลังมองพวกเรา พนักงานต้อนรับยิ้มให้เราทั้งสามอย่างเป็นกันเอง ผมเดินตามไมลีย์ไม่ห่างมากนัก เธอเดินนำไปที่ลิฟท์พอเราเข้ามาในลิฟท์ ชายสองคนที่อยู่ตรงนั้นหายไปแล้ว เหมือนสิ่งที่ผมเห็นเป็นแค่ภาพลวงตา ลิฟท์มาหยุดที่ชั้นสาม แรงลมเข้ามาปะทะหน้าผมอย่างจังเมื่อลิฟท์เปิด บรรยากาศชั้นนี้ให้ความอึดอัดไม่น้อย เราทั้งสามมาหยุดที่ห้อง 323
ไมลีย์เคาะประตูเบา ๆ
          “แม่คะ”
          ไม่นานนักประตูก็เปิดออกและคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคือผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาล หน้าตาดูอ่อนโยน รอยยิ้มของเธอทำให้โลกหยุดหมุน นี่มันเรื่องอะไรกัน ผมได้แต่ถามตัวเองอยู่แค่นี้
    “ไปไหนมาจ๊ะ เทเลอร์ แม่เป็นห่วงแทบแย่” สายตาและรอยยิ้มที่อ่อนโยนของเธอทำให้ผมมีความสุขอีกครั้ง ผมอยากจะโผตัวเข้าไปกอดเธอหลังจากที่อะไรบางอย่างทำให้ผมคิดว่าเธอตาย แต่เธอถอยไปเปิดประตูเพื่อให้กว้างขึ้นสำหรับเราสามคน เชนนิ่งเดินนำหน้า และผมเดินปิดท้าย ทันทีที่เธอปิดประตู ผมก็ไร้ความสามารถในการควบคุมตัวเอง ผมเดินเข้าห้องมาเรื่อย ๆ จนถึงโซฟาตัวยาวสีครีม มีผู้ชายนั่งตรงนั้นหนึ่งคน คนที่ผมคุ้นเคย...

.....ต่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่