......
ประตูชัยอาร์ค เดอ ทริองอยู่ท่ามกลางถนนสิบสองสายที่วิ่งตรงมาที่นี่ เปรียบเสมือนวงเวียนขนาดใหญ่ที่มีเส้นทางสู่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ผมเคยได้ยินมาว่าคนรวยเท่านั้นที่จะพักอาศัยอยู่ที่นี่ได้ พวกเราใช้เวลาสองวันหารูปสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์กับพีระมิดเพื่อจะเข้าไปยังแอตแลนติส ถึงแม้เราจะรู้ว่าประตูนี้สามารถนำเราไปสู่อาณาจักรนั้นได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะพบสัญลักษณ์ กลอเรียบอกว่าอย่างน้อยมันต้องมีร่องรอยเกิดขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดและปิด แต่เราก็ไม่เจอมัน การงมเข็มในมหาสมุทรครั้งนี้ มันทำให้คนบางคนรู้สึกเบื่อ
“แน่ใจจริง ๆ เหรอ ว่ามันใช่ที่นี่” เทรซี่บ่นอุบอิบกับผมด้วยเสียงหงุดหงิด “ฉันไม่ไหวแล้วนะที่จะคอยโกหกพ่อว่าเรายังไม่เจอพี่ ๆ ของนายอะ เทเลอร์”
“ไม่รู้สิ” ผมตอบและหันไปทางกลอเรีย หญิงสาวผมดำ นัยน์ตาคมแสนสวย “กลอเรีย...เธอบอกว่าเธอเคยใช้ประตูนี้มาแล้วใช่ไหม”
“ไม่ ฉันใช้เส้นทางของสโตนเฮ้นจ์ที่อังกฤษ” กลอเรียแทรกและสะบัดผมให้พ้นจากหน้า อากาศที่ค่อนข้างเย็นในคืนนี้ทำให้ผมและคนอื่น ๆ ไม่ค่อยอยากเดินจะขยับตัวสักเท่าไหร่
“อ่าว...แล้วเธอแน่ใจหรอว่าที่นี่เป็นประตูอีกบาน”
“แน่สิ”
“ถ้ามันถูกที่ มันก็ต้องผิดเวลาสิ ประตูชัยมีแค่นั้น อย่างน้อยเราก็ต้องเจอร่องรอย” เชนนิ่งแทรก เขาเอามือถูกันและมองไปรอบ ๆ พ่นไอร้อนออกจากปากจนเกิดเป็นไอน้ำ
“นายกำลังหมายถึงอะไร เชน”
“แค่คิดว่า อาจจะไม่ใช่เวลาเที่ยงคืนเพราะมันไม่น่าจะหายากมากเท่านี้”
“แล้วอะไรล่ะที่มันคือปัญหา” ผมหันไปทางกลอเรีย “เธอมีอะไรที่บอกเราไม่หมดอีกไหม”
“ไม่นะ จากที่ฉันรู้ ในยุโรบแถบนี้มีสองที่ นั่นก็คือ สโตนเฮ็นจ์และประตูชัย แต่ฉันกลัวว่าทางเข้าที่ประตูชัยมันจะชำรุดนะสิ ถ้าอยากแน่ใจว่าเราจะเข้าอาณาจักรแอตแลนติสได้จริง ๆ เราก็ต้องไปที่ สโตนเฮ็นจ์ เพราะฉันเพิ่งใช้มันเมื่อไม่นานนี้เอง”
“เธอเพิ่งใช้มันเมื่อไม่นาน” ผมทวนคำ “หมายถึง…”
“ฉันกลับแอตแลนติส” เธอเชิดหน้า “เธอจะไม่ให้ฉันกลับบ้านเลยเหรอ”
“ฉันก็ไม่ได้ว่าไรนี่” ผมปฏิเสธ กลอกตาไปมา “สโตนเฮ็นจ์สร้างมานานกว่าประตูชัย มันยังไม่ชำรุดเลย แล้วประตูชัยนี้มันจะชำรุดได้ไง”
“มันอาจจะถูกปิดเพราะเป็นสถานที่เที่ยวก็ได้” แมทให้ความเห็น
“อย่างกับที่สโตนเฮ็นจ์ไม่ใช่อย่างงั้นแหละ” ผมบอกและแมทก็พยักหน้าตามอย่างไร้ความคิด “แล้วทีนี้จะทำไง”
“เราคงต้องไปที่สโตนเฮ็นจ์” เทรซี่บอก และทุกคนก็ทำท่าเหมือนจะห่อไหล่ลู่ลงนั่งกับพื้น
“แต่เราก็ต้องเสี่ยงหน่อยเพราะสมุนของครีโทเนียสต้องอยู่ที่นั่นเต็มไปหมดแน่ ๆ ฉันเชื่อว่าอิมินอสรู้แน่นอนว่าสโตนเฮ็นจ์เป็นหนึ่งในนั้นและเขาต้องไปดักรอพวกเราที่นั่น”
“งั้น เธอพอจะรู้ไหมว่ามีที่ไหนอีก” ผมถาม
“เท่าที่ฉันรู้ก็มีที่จีน สแกนดินีเวีย และฉันก็เคยได้ยินมาว่า แถบเอเชียอาคเนย์ในสมัยก่อน เคยมีคนใช้กระจก นั่นอาจจะเป็นประตูอีกบานก็ได้”
“ใครจะไป” เชนนิ่งและแมทพึมพำพร้อมกัน
“แล้วมีที่อื่นอีกไหม” ผมถามซ้ำ
“ไม่รู้สิ...อ๋อ มีอีกที่” ทุกคนจ้องหน้ากลอเรียด้วยความสนใจ “ที่มายาไง สมัยก่อนนู้นชาวแอตแลนติสกับชาวมายาติดต่อกันเสมอมา แต่หลังจากนั้นไม่นานชาวมายาพบว่าจะเกิดภัยพิบัติอย่างรุนแรงบนโลกอีกครั้ง พวกเขาจึงตัดสินใจอพยพไปอยู่ที่อาณาจักรของเรา แต่ฉันว่าประตูคงถูกทำลายไปแล้วล่ะ”
“แล้วเธอจะพูดทำไม” แมทถอนใจ
“ยังน้อยนายก็รู้ว่ามนุษย์ต่างดาวไม่ได้ลักพาตัวชาวมายาไป” ผมเสริม
“งั้นลองคิดสิ” ทุกคนหยุดนิ่งเมื่อไมลีย์พูดขึ้น สาบานได้ว่าผมลืมว่าเธออยู่กับพวกเราไปแล้ว เพราะถ้าไม่ใช่ตอนกินข้าวและเธอพยายามยกอาหารที่คิดว่าผมชอบมาให้ พร้อมกับการดูแลเชนนิ่งเหมือนกับแม่ เธอจะทำตัวเล็ก ๆ ลีบ ๆ ราวกับว่าถ้าเธอเปิดเผยตัวตน เธอจะพลาดโอกาสตั๋วชั้นหนึ่งในการดูอเมริกันฟุตบอล “เราน่าจะพลาดเรื่องอะไร”
“ถ้าเป็นที่นี่ เวลาก็ต้องผิด” เชนนิ่งยังคงให้เหตุผลเดิม
“เดี๋ยว ๆ”
แมทพูดด้วยความตื่นเต้นและทุกคนก็สนใจมาที่เขา “กลอเรียบอกว่า มีทุก ๆ เที่ยงคืน ใช่ป่ะ” กลอเรียพยักหน้า
“แล้วเธอเคยใช้เส้นทางนั้นที่สโตนเฮ็นจ์ใช่ป่ะ”
กลอเรียพยักหน้าอีกรอบ
“งั้นพวกเราก็เข้าใจผิด”
แมทหยุดเดินพร้อมหันไปที่ประตูชัยด้วยแววตาเป็นประกายวับวาว แสงสว่างจากเสาไฟข้างถนนส่องมาที่เขาราวกับสปอตไลท์ มันช่างได้จังหวะอะไรแบบนี้
“ยังไง” ผมและคนสองสามคนในกลุ่มพูดพร้อมกัน
“ฉันขอถามเธอหน่อย กลอเรีย มีประตูที่แอตแลนติสมาสู่โลกเราเพียงประตูเดียว ถ้าสมมุติทางเชื่อมไม่มีอยู่ที่อเมริกา ถ้าฉันต้องการจะไปอเมริกาต้องทำไง” แมทแสดงความตื่นตัวและตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด มันเป็นภาพที่หายากเมื่อแมทกำลังจริงจัง
“แค่นึก แล้วประตูจะส่งนายไปที่ประตูใกล้เคียงที่สุด”
“แล้วถ้าฉันจะข้ามจากโลกนี้ไปยังแอตแลนติส ประตูจะส่งพวกเราไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์นั่นใช่ไหม”
“ไม่ใช่ ประตูมีความคิด มันจะถูกส่งไปยังที่ที่คนเปิดประตูอยากไปเท่านั้น ที่ไหนก็ได้ในแอตแลนติส มันไม่ตายตัว”
“อ่าวหรอ” จากแววตาที่แสนมุ่งมั่นมลายหายพลันราวกับคลื่นซัดทราย แมทคลายความตื่นเต้นลงและแสงสว่างจากถนนก็มืดหม่นทันที
“นายกำลังจะบอกอะไร” ผมต่างหากที่บัดนี้สปอตไลท์เริ่มเจิดจ้า ผมเริ่มเข้าใจบางอย่างแต่ขอถามแมทให้แน่นอนก่อนว่าสิ่งที่ผมกับเขาคิดเหมือนกัน
“ก็ถ้าเวลาที่กลอเรียข้ามไปแอตแลนติสที่สโตนเฮ้นจ์คือเที่ยงคืน ฉันเชื่อว่าประตูทุกที่คงเชื่อมกันแล้วก็ต้องเปิดพร้อมกัน เพราะฉะนั้นถ้าอังกฤษเที่ยงคืน ที่นี่ก็ต้องเป็นตีหนึ่ง”
“นั่นแหละ สิ่งที่ฉันอยากจะบอกนาย” เชนนิ่งพูดน้ำเสียงตื่นเต้น และเขาก็แย่งซีนจบได้อย่างสวยงาม ทุกคนเงียบและมองหน้ากันอย่างรู้ความหมาย ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะข้ามข้อมูลแบบนี้ไป มันเป็นบทเรียนของความไม่รอบคอบได้ดีทีเดียว
“เราจะลองดูอีกรอบไหม” ผมมองหน้าทุกคนและพวกเขาก็พยักหน้ารับคำตอบเล็กน้อย
“อีกสิบนาทีตีหนึ่ง” เทรซี่บอก
พวกเรามองหน้ากันและวิ่งไปที่ประตูชัยอย่างรู้ความหมาย ผมชมแมทสำหรับสิ่งที่เรามองไม่เห็น เขายิ้มและกร่างนิด ๆ แต่ก่อนที่เราจะถึงประตูชัย มีผู้ชายสองคนยืนอยู่บริเวณนั้น กำลังมองหาอะไรบางอย่าง พวกเราตัดสินใจหยุดวิ่งและพยายามเดินไปเดินมาเหมือนคนทั่วไป ณ บริเวณนั้น เพราะเมื่อสิบนาทีที่ผ่านมา นอกจากกลุ่มผมก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว เทรซี่และไมลีย์นั่งลงบนม้านั่งตัวที่ใกล้สุด ส่วนผมกับแมทเดินไปยืนอยู่ใกล้ ๆ กับเสาไฟโดยที่กลอเรียเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ นั้น
“พวกนั้นมาทำอะไรที่นี่”
“นักท่องเที่ยวละมั้ง แมท” ผมพูด “แล้วเราจะไปกันยังไง”
“ฉันว่า อาจจะเป็นใครก็ได้ รถวิ่งกันวุ่นวายขนาดนี้ ถ้าเป็นสมุนของครีโทเนียสจริง ยังไงเขาก็ไม่กล้าทำอะไรเราที่สาธารณะหรอก” แมทให้ความเห็น
“คนนั้นเป็นชายสองคนที่อยู่ในโรงแรมที่เชนและไมล์พาฉันไป”
“แน่ใจเหรอ” เชนนิ่งย้ำ
“ยิ่งกว่าแน่ซะอีก”
“แล้วเราจะเอายังไง”
ผมไม่ได้ตอบแมท แต่เดินมาตรงม้านั่ง เชนนิ่งที่พิงอยู่ใต้ต้นเกาลัดเดินเข้ามาสมทบ หลังจากพวกเราเริ่มรวมตัวตรงม้านั่งที่ไมลีย์นั่ง หญิงสาวสองคนที่เดินผ่านหน้าไป พวกเธอมองและยิ้มให้ แค่แมทและเชนนิ่งก็สามารถเรียกสาว ๆ พวกนี้ได้เป็นกระบุง
“จะทำยังไงดี”
“ถ้าวันนี้ไม่ได้ เรามาก็มาพรุ่งนี้สิ อย่างเสี่ยงเลย ฉันไม่อยากให้ทุกคนต้องมีอันตรายอีกแล้ว” ผมพูดและหย่อนตัวนั่งยอง ๆ ข้างไมลีย์ นี่ถ้าตำรวจฝรั่งเศสมาเห็นวัยรุ่นที่อายุโดยเฉลี่ยต่ำกว่าสิบแปดจะเป็นยังไงนะ
“นายคิดว่า พวกนั้นจะไม่กลับมาพรุ่งนี้เหรอ” เทรซี่บอก “ฉันว่ามันคือที่นี่แหละ ตอนเที่ยงคืนเรามายังไม่มีใครเลย เราแค่คำนวณเวลาผิด”
ไมลีย์ลุกขึ้นจากม้านั่งและเดินออกจากวงล้อม พวกเรามองตามเธอที่ขยับตัวไปทางเชนนิ่ง เธอมองหน้าเขาเหมือนใช้โทรจิตคุยกัน บางครั้งผมก็คิดว่า แฝดบางคู่เข้าใจความรู้สึกและความคิดได้โดยไม่ต้องแสดงท่าทางและคำพูดซึ่งกันและกันได้อย่างน่าอัศจรรย์
“พี่กับเชนนิ่งจะข้ามไปที่นั่นก่อน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล พี่จะมองมาทางนี้นะ แล้วให้ทั้งหมดกลับโรงแรมไปซะ พวกสมุนนั้นคงไม่รู้จักพี่กับเชนนิ่งแน่นอน” ไมลีย์พูดรัวอย่างรวดเร็วแล้วก็กระชากแขนเชนนิ่งตัวลอย เขาทั้งสองวิ่งข้ามถนนไปยังประตูชัยก่อนที่ผมจะคิดและห้ามทัน
“ไม่ ๆ ไมล์”
ทันทีที่พวกเขาวิ่ง เขาก็ออกห่างเกินเสียงของผมที่จะได้ยินแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็ข้ามไปถึงประตูชัย
“เมื่อกี้ เราใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะข้ามถนนมหาโหดนี้ได้ แต่คราวนี้พี่นายใช้เวลาไม่ถึงนาที เก่งแฮะ” แมทชมเชยไมลีย์และเชนนิ่งอย่างสุดหัวใจ
“นายไม่รู้จักเวลาเลยรึไง แมท” เทรซี่หน้าขมวด
“ฉันมีนาฬิกา” แมทชูมือซ้ายให้เทรซี่เห็น “นะเทรซ”
“นี่...” เทรซี่กำลังอ้าปาก แต่ผมก็ขัดจังหวะไว้ซะก่อน
“ฉันจะตามไปดูพี่สักหน่อย พวกนายรอตรงนี้นะ”
“ไม่ ฉันจะไปด้วย เราจะไม่ทิ้งนายอีกแล้ว” เทรซี่สวนทันควันและกระชับมือผมแน่น แม้ว่าผมจะรู้สึกซาบซึ้ง แต่...
“มันอันตราย พวกเธอต้องรอตรงนี้ กลอเรียปกป้องเธอได้” ผมสบตากับกลอเรีย เธอพยักหน้าเข้าใจผม
“ถ้าเธอไป พวกเราก็จะตามไป” เทรซี่ยืนยัน
“ไม่ เทรซี่” ผมจริงจัง “ฉันไม่อยากให้เธอต้องเป็นอะไร”
“แต่...” เทรซี่อ้ำอึ้งแต่เธอก็ตอบตกลงเมื่อแววตาของผมที่แสดงออกมาเทรซี่เห็นไม่บ่อยนักซึ่งผมรู้สึกว่า ผมก็ไม่เคยเป็นเหมือนกัน
ผมเริ่มคิดแผนที่จะเบนความสนใจจากชายสองคนที่อยู่ตรงนั้น มันคงเป็นเรื่องที่ดีที่เราจะมีนกต่อ และใคร? จะเหมาะไปกว่าผมสำหรับบทบาทนี้ พวกเขารู้ว่าผมเป็นใคร และแน่นอนว่า รางวัลขนาดไหนที่พวกเขาจะได้รับถ้าผมถูกส่งตัวให้ครีโทเนียส มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่แผนนี้จะสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจชัดเจนว่ายังมีช่องโหว่ของแผนการอยู่ดี แต่ตอนนี้คงคิดเยอะไม่ได้แล้ว
......
อัศวินเทเลอร์กับอาณาจักรแอตแลนติส...บทที่ 5 – ความมหัศจรรย์ของประตูชัย (Part 3)
ประตูชัยอาร์ค เดอ ทริองอยู่ท่ามกลางถนนสิบสองสายที่วิ่งตรงมาที่นี่ เปรียบเสมือนวงเวียนขนาดใหญ่ที่มีเส้นทางสู่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ผมเคยได้ยินมาว่าคนรวยเท่านั้นที่จะพักอาศัยอยู่ที่นี่ได้ พวกเราใช้เวลาสองวันหารูปสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์กับพีระมิดเพื่อจะเข้าไปยังแอตแลนติส ถึงแม้เราจะรู้ว่าประตูนี้สามารถนำเราไปสู่อาณาจักรนั้นได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะพบสัญลักษณ์ กลอเรียบอกว่าอย่างน้อยมันต้องมีร่องรอยเกิดขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดและปิด แต่เราก็ไม่เจอมัน การงมเข็มในมหาสมุทรครั้งนี้ มันทำให้คนบางคนรู้สึกเบื่อ
“แน่ใจจริง ๆ เหรอ ว่ามันใช่ที่นี่” เทรซี่บ่นอุบอิบกับผมด้วยเสียงหงุดหงิด “ฉันไม่ไหวแล้วนะที่จะคอยโกหกพ่อว่าเรายังไม่เจอพี่ ๆ ของนายอะ เทเลอร์”
“ไม่รู้สิ” ผมตอบและหันไปทางกลอเรีย หญิงสาวผมดำ นัยน์ตาคมแสนสวย “กลอเรีย...เธอบอกว่าเธอเคยใช้ประตูนี้มาแล้วใช่ไหม”
“ไม่ ฉันใช้เส้นทางของสโตนเฮ้นจ์ที่อังกฤษ” กลอเรียแทรกและสะบัดผมให้พ้นจากหน้า อากาศที่ค่อนข้างเย็นในคืนนี้ทำให้ผมและคนอื่น ๆ ไม่ค่อยอยากเดินจะขยับตัวสักเท่าไหร่
“อ่าว...แล้วเธอแน่ใจหรอว่าที่นี่เป็นประตูอีกบาน”
“แน่สิ”
“ถ้ามันถูกที่ มันก็ต้องผิดเวลาสิ ประตูชัยมีแค่นั้น อย่างน้อยเราก็ต้องเจอร่องรอย” เชนนิ่งแทรก เขาเอามือถูกันและมองไปรอบ ๆ พ่นไอร้อนออกจากปากจนเกิดเป็นไอน้ำ
“นายกำลังหมายถึงอะไร เชน”
“แค่คิดว่า อาจจะไม่ใช่เวลาเที่ยงคืนเพราะมันไม่น่าจะหายากมากเท่านี้”
“แล้วอะไรล่ะที่มันคือปัญหา” ผมหันไปทางกลอเรีย “เธอมีอะไรที่บอกเราไม่หมดอีกไหม”
“ไม่นะ จากที่ฉันรู้ ในยุโรบแถบนี้มีสองที่ นั่นก็คือ สโตนเฮ็นจ์และประตูชัย แต่ฉันกลัวว่าทางเข้าที่ประตูชัยมันจะชำรุดนะสิ ถ้าอยากแน่ใจว่าเราจะเข้าอาณาจักรแอตแลนติสได้จริง ๆ เราก็ต้องไปที่ สโตนเฮ็นจ์ เพราะฉันเพิ่งใช้มันเมื่อไม่นานนี้เอง”
“เธอเพิ่งใช้มันเมื่อไม่นาน” ผมทวนคำ “หมายถึง…”
“ฉันกลับแอตแลนติส” เธอเชิดหน้า “เธอจะไม่ให้ฉันกลับบ้านเลยเหรอ”
“ฉันก็ไม่ได้ว่าไรนี่” ผมปฏิเสธ กลอกตาไปมา “สโตนเฮ็นจ์สร้างมานานกว่าประตูชัย มันยังไม่ชำรุดเลย แล้วประตูชัยนี้มันจะชำรุดได้ไง”
“มันอาจจะถูกปิดเพราะเป็นสถานที่เที่ยวก็ได้” แมทให้ความเห็น
“อย่างกับที่สโตนเฮ็นจ์ไม่ใช่อย่างงั้นแหละ” ผมบอกและแมทก็พยักหน้าตามอย่างไร้ความคิด “แล้วทีนี้จะทำไง”
“เราคงต้องไปที่สโตนเฮ็นจ์” เทรซี่บอก และทุกคนก็ทำท่าเหมือนจะห่อไหล่ลู่ลงนั่งกับพื้น
“แต่เราก็ต้องเสี่ยงหน่อยเพราะสมุนของครีโทเนียสต้องอยู่ที่นั่นเต็มไปหมดแน่ ๆ ฉันเชื่อว่าอิมินอสรู้แน่นอนว่าสโตนเฮ็นจ์เป็นหนึ่งในนั้นและเขาต้องไปดักรอพวกเราที่นั่น”
“งั้น เธอพอจะรู้ไหมว่ามีที่ไหนอีก” ผมถาม
“เท่าที่ฉันรู้ก็มีที่จีน สแกนดินีเวีย และฉันก็เคยได้ยินมาว่า แถบเอเชียอาคเนย์ในสมัยก่อน เคยมีคนใช้กระจก นั่นอาจจะเป็นประตูอีกบานก็ได้”
“ใครจะไป” เชนนิ่งและแมทพึมพำพร้อมกัน
“แล้วมีที่อื่นอีกไหม” ผมถามซ้ำ
“ไม่รู้สิ...อ๋อ มีอีกที่” ทุกคนจ้องหน้ากลอเรียด้วยความสนใจ “ที่มายาไง สมัยก่อนนู้นชาวแอตแลนติสกับชาวมายาติดต่อกันเสมอมา แต่หลังจากนั้นไม่นานชาวมายาพบว่าจะเกิดภัยพิบัติอย่างรุนแรงบนโลกอีกครั้ง พวกเขาจึงตัดสินใจอพยพไปอยู่ที่อาณาจักรของเรา แต่ฉันว่าประตูคงถูกทำลายไปแล้วล่ะ”
“แล้วเธอจะพูดทำไม” แมทถอนใจ
“ยังน้อยนายก็รู้ว่ามนุษย์ต่างดาวไม่ได้ลักพาตัวชาวมายาไป” ผมเสริม
“งั้นลองคิดสิ” ทุกคนหยุดนิ่งเมื่อไมลีย์พูดขึ้น สาบานได้ว่าผมลืมว่าเธออยู่กับพวกเราไปแล้ว เพราะถ้าไม่ใช่ตอนกินข้าวและเธอพยายามยกอาหารที่คิดว่าผมชอบมาให้ พร้อมกับการดูแลเชนนิ่งเหมือนกับแม่ เธอจะทำตัวเล็ก ๆ ลีบ ๆ ราวกับว่าถ้าเธอเปิดเผยตัวตน เธอจะพลาดโอกาสตั๋วชั้นหนึ่งในการดูอเมริกันฟุตบอล “เราน่าจะพลาดเรื่องอะไร”
“ถ้าเป็นที่นี่ เวลาก็ต้องผิด” เชนนิ่งยังคงให้เหตุผลเดิม
“เดี๋ยว ๆ”
แมทพูดด้วยความตื่นเต้นและทุกคนก็สนใจมาที่เขา “กลอเรียบอกว่า มีทุก ๆ เที่ยงคืน ใช่ป่ะ” กลอเรียพยักหน้า
“แล้วเธอเคยใช้เส้นทางนั้นที่สโตนเฮ็นจ์ใช่ป่ะ”
กลอเรียพยักหน้าอีกรอบ
“งั้นพวกเราก็เข้าใจผิด”
แมทหยุดเดินพร้อมหันไปที่ประตูชัยด้วยแววตาเป็นประกายวับวาว แสงสว่างจากเสาไฟข้างถนนส่องมาที่เขาราวกับสปอตไลท์ มันช่างได้จังหวะอะไรแบบนี้
“ยังไง” ผมและคนสองสามคนในกลุ่มพูดพร้อมกัน
“ฉันขอถามเธอหน่อย กลอเรีย มีประตูที่แอตแลนติสมาสู่โลกเราเพียงประตูเดียว ถ้าสมมุติทางเชื่อมไม่มีอยู่ที่อเมริกา ถ้าฉันต้องการจะไปอเมริกาต้องทำไง” แมทแสดงความตื่นตัวและตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด มันเป็นภาพที่หายากเมื่อแมทกำลังจริงจัง
“แค่นึก แล้วประตูจะส่งนายไปที่ประตูใกล้เคียงที่สุด”
“แล้วถ้าฉันจะข้ามจากโลกนี้ไปยังแอตแลนติส ประตูจะส่งพวกเราไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์นั่นใช่ไหม”
“ไม่ใช่ ประตูมีความคิด มันจะถูกส่งไปยังที่ที่คนเปิดประตูอยากไปเท่านั้น ที่ไหนก็ได้ในแอตแลนติส มันไม่ตายตัว”
“อ่าวหรอ” จากแววตาที่แสนมุ่งมั่นมลายหายพลันราวกับคลื่นซัดทราย แมทคลายความตื่นเต้นลงและแสงสว่างจากถนนก็มืดหม่นทันที
“นายกำลังจะบอกอะไร” ผมต่างหากที่บัดนี้สปอตไลท์เริ่มเจิดจ้า ผมเริ่มเข้าใจบางอย่างแต่ขอถามแมทให้แน่นอนก่อนว่าสิ่งที่ผมกับเขาคิดเหมือนกัน
“ก็ถ้าเวลาที่กลอเรียข้ามไปแอตแลนติสที่สโตนเฮ้นจ์คือเที่ยงคืน ฉันเชื่อว่าประตูทุกที่คงเชื่อมกันแล้วก็ต้องเปิดพร้อมกัน เพราะฉะนั้นถ้าอังกฤษเที่ยงคืน ที่นี่ก็ต้องเป็นตีหนึ่ง”
“นั่นแหละ สิ่งที่ฉันอยากจะบอกนาย” เชนนิ่งพูดน้ำเสียงตื่นเต้น และเขาก็แย่งซีนจบได้อย่างสวยงาม ทุกคนเงียบและมองหน้ากันอย่างรู้ความหมาย ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะข้ามข้อมูลแบบนี้ไป มันเป็นบทเรียนของความไม่รอบคอบได้ดีทีเดียว
“เราจะลองดูอีกรอบไหม” ผมมองหน้าทุกคนและพวกเขาก็พยักหน้ารับคำตอบเล็กน้อย
“อีกสิบนาทีตีหนึ่ง” เทรซี่บอก
พวกเรามองหน้ากันและวิ่งไปที่ประตูชัยอย่างรู้ความหมาย ผมชมแมทสำหรับสิ่งที่เรามองไม่เห็น เขายิ้มและกร่างนิด ๆ แต่ก่อนที่เราจะถึงประตูชัย มีผู้ชายสองคนยืนอยู่บริเวณนั้น กำลังมองหาอะไรบางอย่าง พวกเราตัดสินใจหยุดวิ่งและพยายามเดินไปเดินมาเหมือนคนทั่วไป ณ บริเวณนั้น เพราะเมื่อสิบนาทีที่ผ่านมา นอกจากกลุ่มผมก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว เทรซี่และไมลีย์นั่งลงบนม้านั่งตัวที่ใกล้สุด ส่วนผมกับแมทเดินไปยืนอยู่ใกล้ ๆ กับเสาไฟโดยที่กลอเรียเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ นั้น
“พวกนั้นมาทำอะไรที่นี่”
“นักท่องเที่ยวละมั้ง แมท” ผมพูด “แล้วเราจะไปกันยังไง”
“ฉันว่า อาจจะเป็นใครก็ได้ รถวิ่งกันวุ่นวายขนาดนี้ ถ้าเป็นสมุนของครีโทเนียสจริง ยังไงเขาก็ไม่กล้าทำอะไรเราที่สาธารณะหรอก” แมทให้ความเห็น
“คนนั้นเป็นชายสองคนที่อยู่ในโรงแรมที่เชนและไมล์พาฉันไป”
“แน่ใจเหรอ” เชนนิ่งย้ำ
“ยิ่งกว่าแน่ซะอีก”
“แล้วเราจะเอายังไง”
ผมไม่ได้ตอบแมท แต่เดินมาตรงม้านั่ง เชนนิ่งที่พิงอยู่ใต้ต้นเกาลัดเดินเข้ามาสมทบ หลังจากพวกเราเริ่มรวมตัวตรงม้านั่งที่ไมลีย์นั่ง หญิงสาวสองคนที่เดินผ่านหน้าไป พวกเธอมองและยิ้มให้ แค่แมทและเชนนิ่งก็สามารถเรียกสาว ๆ พวกนี้ได้เป็นกระบุง
“จะทำยังไงดี”
“ถ้าวันนี้ไม่ได้ เรามาก็มาพรุ่งนี้สิ อย่างเสี่ยงเลย ฉันไม่อยากให้ทุกคนต้องมีอันตรายอีกแล้ว” ผมพูดและหย่อนตัวนั่งยอง ๆ ข้างไมลีย์ นี่ถ้าตำรวจฝรั่งเศสมาเห็นวัยรุ่นที่อายุโดยเฉลี่ยต่ำกว่าสิบแปดจะเป็นยังไงนะ
“นายคิดว่า พวกนั้นจะไม่กลับมาพรุ่งนี้เหรอ” เทรซี่บอก “ฉันว่ามันคือที่นี่แหละ ตอนเที่ยงคืนเรามายังไม่มีใครเลย เราแค่คำนวณเวลาผิด”
ไมลีย์ลุกขึ้นจากม้านั่งและเดินออกจากวงล้อม พวกเรามองตามเธอที่ขยับตัวไปทางเชนนิ่ง เธอมองหน้าเขาเหมือนใช้โทรจิตคุยกัน บางครั้งผมก็คิดว่า แฝดบางคู่เข้าใจความรู้สึกและความคิดได้โดยไม่ต้องแสดงท่าทางและคำพูดซึ่งกันและกันได้อย่างน่าอัศจรรย์
“พี่กับเชนนิ่งจะข้ามไปที่นั่นก่อน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล พี่จะมองมาทางนี้นะ แล้วให้ทั้งหมดกลับโรงแรมไปซะ พวกสมุนนั้นคงไม่รู้จักพี่กับเชนนิ่งแน่นอน” ไมลีย์พูดรัวอย่างรวดเร็วแล้วก็กระชากแขนเชนนิ่งตัวลอย เขาทั้งสองวิ่งข้ามถนนไปยังประตูชัยก่อนที่ผมจะคิดและห้ามทัน
“ไม่ ๆ ไมล์”
ทันทีที่พวกเขาวิ่ง เขาก็ออกห่างเกินเสียงของผมที่จะได้ยินแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็ข้ามไปถึงประตูชัย
“เมื่อกี้ เราใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะข้ามถนนมหาโหดนี้ได้ แต่คราวนี้พี่นายใช้เวลาไม่ถึงนาที เก่งแฮะ” แมทชมเชยไมลีย์และเชนนิ่งอย่างสุดหัวใจ
“นายไม่รู้จักเวลาเลยรึไง แมท” เทรซี่หน้าขมวด
“ฉันมีนาฬิกา” แมทชูมือซ้ายให้เทรซี่เห็น “นะเทรซ”
“นี่...” เทรซี่กำลังอ้าปาก แต่ผมก็ขัดจังหวะไว้ซะก่อน
“ฉันจะตามไปดูพี่สักหน่อย พวกนายรอตรงนี้นะ”
“ไม่ ฉันจะไปด้วย เราจะไม่ทิ้งนายอีกแล้ว” เทรซี่สวนทันควันและกระชับมือผมแน่น แม้ว่าผมจะรู้สึกซาบซึ้ง แต่...
“มันอันตราย พวกเธอต้องรอตรงนี้ กลอเรียปกป้องเธอได้” ผมสบตากับกลอเรีย เธอพยักหน้าเข้าใจผม
“ถ้าเธอไป พวกเราก็จะตามไป” เทรซี่ยืนยัน
“ไม่ เทรซี่” ผมจริงจัง “ฉันไม่อยากให้เธอต้องเป็นอะไร”
“แต่...” เทรซี่อ้ำอึ้งแต่เธอก็ตอบตกลงเมื่อแววตาของผมที่แสดงออกมาเทรซี่เห็นไม่บ่อยนักซึ่งผมรู้สึกว่า ผมก็ไม่เคยเป็นเหมือนกัน
ผมเริ่มคิดแผนที่จะเบนความสนใจจากชายสองคนที่อยู่ตรงนั้น มันคงเป็นเรื่องที่ดีที่เราจะมีนกต่อ และใคร? จะเหมาะไปกว่าผมสำหรับบทบาทนี้ พวกเขารู้ว่าผมเป็นใคร และแน่นอนว่า รางวัลขนาดไหนที่พวกเขาจะได้รับถ้าผมถูกส่งตัวให้ครีโทเนียส มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่แผนนี้จะสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจชัดเจนว่ายังมีช่องโหว่ของแผนการอยู่ดี แต่ตอนนี้คงคิดเยอะไม่ได้แล้ว
......