วิญญาณพยาบาท # 3

กระทู้สนทนา
บทที่ 3...เพื่อนใหม่ไร้ตัวตน

ถึงแม้แสงแรกของดวงอาทิตย์จะทาบลงบนผืนฟ้าอย่างไม่เต็มที่นัก แต่ก็สว่างพอมองเห็น นางพรภารโรงของโรงเรียนอักษรวิทยากำลังเช็ดกวาดถูพื้นอาคารสามอย่างไม่เร่งรีบ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่เด็กนักเรียนจะมา
    อาคารสาม...อาคารที่ไม่ใคร่มีใครอยากจะมาทำความสะอาดนัก ไม่ว่าจะภารโรงที่เป็นแรงงานไทยหรือแรงงานต่างด้าว ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ ไม่มีใครบอกเธอสักคน พอถามก็ตอบอึกๆ อักๆ หรือเลี่ยงไม่ตอบเดินหนีซะงั้นเมื่อถูกถามเซ้าซี้มากๆ จึงตกเป็นภาระหน้าที่ของนางพรที่เพิ่งเข้ามาทำงานไม่กี่วันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ขณะกำลังเช็ดราวระเบียงอลูมิเนียม สายตาเธอเหลือบไปเห็นเงาใครแว่บๆ ในห้องเรียน ป. 2/3 ด้านหลัง ....เอ๊ะ! มีเด็กนักเรียนมาแต่เช้าเลยเหรอ... นางพรหันหลังมองเข้าไปในห้องเรียนด้วยความสงสัย ...ว่าแต่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรทำไมเงียบไม่ได้ยินฝีเท้าเลย... ในห้องเรียนไม่เห็นมีเด็กสักคน เธอเดินเข้าไปมองใกล้ๆ แล้วเลื่อนบานประตูออก สายตากวาดส่องมองรอบๆ ห้อง เห็นมีเพียงโต๊ะ เก้าอี้ กองหนังสือและกะบะของเล่นหลังห้องเท่านั้น

    "สงสัยจะตาฝาด ขึ้นมาก็ต้องเห็นสิ"
    นางพรบอกกับตัวเองพลางหันหลังกลับขณะกำลังเลื่อนประตูปิด ทันใดนั้นเสียงกุกกักเหมือนคนกำลังรื้อของก็ดังขึ้นแทรกมาในความเงียบฉุดให้เธอหันหลังกลับไปมองอย่างไว ...เด็ก!... เธอเห็นเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งกำลังรื้อของเล่นในกระบะของเล่น
    ‘เอ๊ะ... เมื่อกี้ทำไมมองไม่เห็น’ นางพรเกาหัวแค่กๆ มึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    "มาแต่เช้าเลยนะคะ" นางพรเอ่ยทักเด็กชายแต่ไม่มีเสียงตอบ เพราะกำลังง่วนรื้อของเล่นอยู่ นางพรจึงก้าวเดินออกจากห้องไป เพื่อไปเช็ดราวระเบียงต่อให้เสร็จ เพียงเสี้ยววินาทีเดียวหากนางพรหันกลับไปช้าคงต้องส่งเสียงร้องกรี๊ดแน่ เพราะเด็กชายค่อยๆ หมุนลำคอราวกับตุ๊กตาไขลานในขณะที่ตัวยังอยู่กับที่เหมือนเดิม
..................................


    เวลาล่วงเลยพร้อมๆ กับแสงแรกของเช้าใหม่ที่เปล่งประกายสว่างทั่วผืนฟ้า  บอกให้รู้ว่า ทุกกิจกรรมของสรรพสิ่งบนโลกใบนี้กำลังเริ่มต้นอีกหน ไม่ว่า คน สัตว์ หรือพืช ครอบครัวของวันดีก็เช่นกัน ความเร่งรีบของวิถีชีวิตในเมืองหลวง ทำให้ทุกคนในบ้านต้องรีบตื่นแต่เช้า เพียงเพื่อไปนั่งในรถบนถนนที่เต็มไปด้วยรถราที่จอดนิ่งยาวเป็นแพ

    "วัน เสร็จหรือยัง จะหกโมงครึ่งแล้วนะ เดี๋ยวไม่ทันรถโรงเรียนหรอก" เสียงของยศตะโกนถามเมื่อจวนได้เวลาออกจากบ้าน ซึ่งเขาจะต้องแวะส่งภรรยาก่อนแล้วจึงไปส่งใยไหมลูกสาวที่โรงเรียน
    วันดีเป็นคุณครูผู้ช่วยอยู่ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง นอกจากจะมีหน้าที่ดูแลเด็กนักเรียนชั้นอนุบาลสามวัยห้าขวบแล้ว เธอยังมีหน้าที่รับส่งเด็กนักเรียนอีกด้วย จึงทำให้เธอต้องออกบ้านแต่เช้าและกลับเกือบค่ำ เนื่องจากรถราที่ติดคับคั่งและต้องตระเวนส่งหลายหมู่บ้าน
    "เสร็จแล้วๆ" วันดีรีบลงจากชั้นบน พลางมองดูนาฬิกาสีส้มที่ติดอยู่ผนังบ้าน "ตายๆ จะหกโมงครึ่งแล้ว ข้าวๆ"  เธอเริ่มลนลาน "ใยไหมวันนี้แม่ทอดฮอทดอกให้ กินข้าวให้หมดนะคะ" เธอบอกลูกสาวขณะตักข้าวใส่กล่องซุปเปอร์แวร์สำหรับรับประทานบนรถ
    "เรียบร้อย... ไปลูกไปที่รัก"
    "กว่าจะเสร็จนะแม่นกหงส์หยก" ยศค่อนว่าภรรยาอย่างไม่จริงจังนัก
    "ยังไม่ชินอีกเหรอคะ"
    "เหมือนจะชิน"
    ยศบอกพลางแตะเบรกหยุดลงที่หน้าตลาดซึ่งอยู่ไม่ไกลหมู่บ้านมากนัก
    "มอร์นิ่ง คิสค่ะคุณลูก" วันดีว่าพลางยื่นหน้าหอมพวงแก้มนุ่มๆ ของลูกสาวก่อนที่ลูกสาวจะหอมแก้มทั้งสองข้างของแม่เช่นกัน
    "แล้วผมล่ะ" ยศหันมาถามเมื่อวันดีกำลังจะเปิดประตูรถ
    วันดีหันมายิ้มกรุ๋มกริ๋มก่อนตอบ "มอร์นิ่ง คิสค่ะคุณสามี" แล้วก็ก้าวลงจากรถไป โดยไม่สนใจสามีที่ยื่นแก้มมาให้หอม...
    "อ้าว..."
    ใยไหมหัวเราะเบาๆ เบาจนแทบไม่ได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาก เมื่อเห็นท่าทีของพ่อ
    "ไม่ต้องมาขำพ่อเลย" ผู้เป็นพ่อบอก "กินข้าวได้แล้ว"
..................................


    เมื่อวันดีลงจากรถก้พบว่า รถตู้โรงเรียนจอดรออยู่แล้วตรงหน้าร้านสะดวกซื้อ...ตายละ วันนี้เธอมาสายจนรถโรงเรียนต้องมาจอดรอเลยเหรอ.... วันดีคิดพลางมองดูนาฬิกาข้อมือที่เพิ่งจะบอกเวลาหกโมงครึ่งเอง

    "ทำไมวันนี้มาถึงก่อนละเชน" วันดีเอ่ยถามเชนคนขับรถวัยยี่สิบปลายๆ หลังจากเปิดประตูขึ้นรถแล้ว
    "ผมยังไม่ได้นอนเลยครับครู เช้านี้มีเรื่องวุ่นนิดหน่อย"
    "เอากาแฟสักแก้วไหม เดี๋ยวครูไปซื้อให้"
    "เรียบร้อยแล้วครับ"
    "ว่าแต่มีเรื่องอะไรล่ะ" วันดีเริ่มถามหลังจากรถเคลื่อนตัวออกไปแล้ว
    "พี่เจตน์เสียชีวิตแล้วครับ" เชนบอกด้วยน้ำเสียงเศร้า
    "ตายจริง!" วันดีตกใจเมื่อได้ยินข่าวร้ายเช่นนั้น เธอรู้จักกันเจตน์เป็นอย่างดี เพราะก่อนหน้านี้เจตน์เคยเป็นคนขับรถตู้โรงเรียนมาก่อน และเพิ่งจะออกรถแท็กซี่ส่วนตัวมาขับ เขาจึงให้เชนน้องชายมาขับรถตู้โรงเรียนแทน "ครูเสียใจด้วยนะ"
    "ขอบคุณครับ"
    "ไม่น่าเลย ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็ยังเห็นเจตน์แข็งแรงดีนี่" วันดีนึกแปลกใจ เดี๋ยวนี้คนเราช่างตายง่ายดายเสียจริง เห็นกันอยู่หลัดๆ เมื่อวาน...วันนี้ตายเสียแล้ว
    "ป่วยตายก็ดีสิครับ แต่นี่...เหมือนถูกฆาตกรรม"
    "...ฆาตกรรม" วันดีอุทานเสียงหลง
    "เห็นตำรวจว่าอย่างนั้นครับ ผมก็ว่าน่าจะจริง สภาพศพเหมือนตกใจกลัวหนีอะไรสักอย่างแล้วพลาดสะดุดขอนไม้ล้มไปโดนไม้แหลมเสียบทะลุคาอก"
    เมื่อได้ยินเช่นนั้นวันดีตกใจอุทานออกมา "โธ่..."
    ยันไม่ทันจะถามว่าตำรวจได้เบาะแสอะไรบ้างหรือยัง รถก็จอดนิ่งอยู่หน้าบ้านเด็กนักเรียนแล้ว เธอและเขาจึงต้องหยุดบทสนทนาลง เพราะเรื่องมันน่ากลัวเกินกว่าเด็กจะต้องมารับรู้ได้ยิน....
..................................


    ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงโรงเรียนอักษรวิทยา ลานจอดรถยังโล่งว่าง ดูแปลกตา เพราะทุกวันใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะมาถึงโรงเรียน จึงเห็นแต่สภาพลานจอดรถที่คับคั่งด้วยรถผู้ปกครองที่มาส่งลูก หากใครมาช้าก็ต้องวนรถอยู่หลายรอบ ถ้าใครรีบหน่อยก็ส่งให้ลูกเดินไปเอง แต่สำหรับใยไหม... ยศเลือกที่จะไปส่งถึงห้องเรียนทุกวัน

    "ว้า มาถึงก่อนใครอีกแล้ว" ผู้เป็นพ่อบอกเมื่อเดินมาส่งใยไหมถึงห้องเรียนป. 2/3
    ใยไหมถอดรองเท้านักเรียนหน้าห้อง ก่อนลากกระเป๋านักเรียนใบเขื่องเข้าห้องเรียนไปยังโต๊ะนั่งของตนเอง
    "อยู่คนเดียวได้ใช่ไหมลูก เช้านี้พ่อรีบไป" ยศบอกลูกสาวแต่ไม่อยากปล่อยลูกไว้คนเดียว ทุกๆ วันเขาจะอยู่เป็นเพื่อนลูกจนกว่าคุณครูหรือเพื่อนๆ ในห้องจะมา แต่วันนี้เพราะมีประชุมตอนเช้าจำต้องทิ้งไว้คนเดียว
    ใยไหมพยักหน้า "คะ"
    เมื่อหมดห่วงยศจึงเดินออกจากห้องเรียน ปล่อยให้ใยไหมนั่งอยู่เงียบๆ คนเดียวลำพัง
    "มาเล่นกันไหม" เสียงเจื้อแจ้วของเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังห้อง
    ใยไหมเพ่งมองพิจารณาเด็กชายที่ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษตรงหน้า  เด็กสาวจำไม่ได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องหรือไม่ เพราะเมื่อขึ้นชั้น ป.2 เพื่อนๆ ห้องเดิมชั้นป.1 บางคนก็เปลี่ยนหลักสูตร ทำให้รายชื่อนักเรียนในห้องมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ถึงจะจำไม่ได้ เธอก็ส่งยิ้มนิดที่มุมปากให้เพื่อตอบรับมิตรภาพ
    เด็กชายส่งตัวต่อเลโก้ในมือให้ใยไหม
    "เราชื่อข้าวกล้อง เธอชื่ออะไร" เงียบไม่มีเสียงตอบ "เธอเป็นใบ้ พูดไม่ได้เหรอ"
    เด็กผู้หญิงอมยิ้มอย่างนึกขำ กำลังจะเอ่ยปากบอกชื่อ แต่พ่อโผล่เข้ามาในห้องเสียก่อน
    "ใยไหม หนูลืมเงินค่าขนมนะ" พ่อบอกพร้อมส่งเงินค่าขนมให้ "เพื่อนๆ ยังไม่มากันอีกเหรอลูก"
    ใยไหมมองไปทางเพื่อนใหม่ แต่เขากำลังก้มหน้าก้มตาเล่นตัวต่ออยู่ พ่ออาจมองไม่เห็น แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อนั่งอยู่ใกล้ๆ เธอ...
    "พ่อไปล่ะลูก" แล้วพ่อก็เดินออกจากห้องไป
    "เธอยังไม่บอกเราเลย ชื่ออะไร" ข้าวกล้องเงยหน้าขึ้นถาม
    "ใยไหม"
    "ใยไหม" เด็กชายทวนคำ "เรามาเกี่ยวก้อยเป็นเพื่อนกันนะ"
    ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจ ปกติใยไหมไม่เป็นเพื่อนกับใครง่ายๆ  แต่สำหรับข้าวกล้องแล้วเธอกลับตอบรับมิตรภาพนั่น โดยไม่รู้ว่า... เพื่อนใหม่ของเธอไร้ตัวตน...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่