สวัสดีครับ หลังจากที่ผมได้ตั้งกระทู้ถามถึงร้านอาหารแถวสยาม / มาบุญครอง เพื่อรับรองเจ้านายจากต่างประเทศและกินเลี้ยงเล็กๆในบริษัท ก็มีเพื่อนๆพี่ๆแนะนำกันมาหลายที่ สุดท้ายผมก็ได้เลือกที่ร้านอาหารบ้านหมอมีครับ แต่ก่อนที่เจ้านายจากต่างประเทศจะมาจริง ผมจึงขอพี่ที่ทำงานไปสำรวจสถานที่และชิมอาหารจริงๆก่อน เลยเป็นที่มาของรีวิวนี้ครับ
ร้านอาหารบ้านหมอมี ตั้งอยู่ในซอยเกษมสันต์ 3 เยื้อง ๆ กับสนามกีฬาแห่งชาติ สามารถเดินทางโดย BTS แล้วเดินต่อมาได้ หรือจะเอารถไปจอดที่ร้านก็ได้ เพราะมีที่จอดรถพอสมควร หรือจะเดินทางมาทางเรือด่วนคลองแสนแสบลงท่าสะพานหัวช้างแล้วเดินเลียบคลองมาก็ได้ครับ เพราะตัวร้านอยู่ติดคลองแสนแสบเลย

ครั้งนี้ผมไปกับเพื่อนร่วมงานอีก 2 คน เมื่อมาถึงร้าน ก็แจ้งความต้องการว่าเราต้องการอะไร ทางผู้จัดการร้านก็ออกมาต้อนรับเป็นอย่างดี ผู้จัดการร้านเล่าถึงประวัติร้านก่อนคือ ที่นี่แต่เดิมชื่อบ้านสุวรรณเวศม ผู้ก่อตั้งยานัตถุ์หมอมี ซึ่งตัวบ้านมีอายุ 100 กว่าปี ปัจจุบันทายาทยังคงรักษาบ้านให้คงสภาพเดิมมากที่สุดของใช้ต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยเดิมก็ยังมีให้เห็นอยู่คล้ายๆเป็นพิพิธภัณฑ์ และได้เปิดเป็นร้านอาหารหมอมีได้ปีกว่าๆ นอกจากนั้นทางผู้จัดการยังขอพาทัวร์ชมสถานที่ต่างๆในร้านก่อน เพราะที่ร้านนี้เหมือนร้านอาหารกึ่ง ๆ พิพิธภัณฑ์ มีจุดน่าสนใจมากมายหลายอย่างมาก ผมขอเลือกเฉพาะที่น่าสนใจมาให้ดูนะครับ

หลุมหลบภัย ใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จริงๆฝังอยู่ในใต้ดิน แต่ขุดขึ้นมาตั้งโชว์ให้เห็น ผู้จัดการร้านเล่าว่า เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถ้าได้ยินเสียงหวอ ก็จะต้องรีบหลบเข้าไปในหลุมนี้ ซึ่งหลุมสามารถบรรจุคนได้ 4-5 คนเลยทีเดียว (นึกตามแล้วอึดอัดแทนเลย)

เรือแคนนู เป็นเรือประจำบ้านสุวรรณเวศม สำหรับเดินทางในคลองแสนแสบ ที่ติดอยู่หลังบ้าน

ห้องรับรอง มีเคาน์เตอร์กาแฟบริการคอกาแฟ และที่อีกด้านของห้องมีเก้าอี้แดง ซึ่งมีประวัติเคยอยู่ในฉากหนังสมัยก่อนหลายเรื่อง อาทิ เรื่องเล็บครุฑ

เครื่องอัดสำเนา สำหรับทำสำเนาเอกสาร เฟืองต่าง ๆ ยังใช้งานได้อยู่ปกติเลยครับ

เครื่องบดยา

เครื่องตีเช็คในสมัยนั้น

เครื่องพิมพ์ดีด รูปปั้นเสด็จพ่อ ร.5 และรูปเจ้าของบ้านครับ

มีทางเดินไปห้องน้ำ สำหรับคนที่นั่งวิลแชร์ด้วยครับ

ภาพป้ายโฆษณา ยาอุไทย หมอมี ในยุคเริ่มแรก

ห้องอาหารโต๊ะกลม เป็นโต๊ะไม้สัก มีกลไกทำให้โต๊ะหมุนได้ กลไกอยู่ที่ขาโต๊ะ

พื้นที่ทานอาหารชั้น 1

ตาแมว สำหรับมองแขกผู้มาเยือน (ตาแมวใหญ่จัง) อยู่ระหว่างบันไดขึ้นชั้น 2

ตรงนี้เป็นชั้น 2 แล้วนะครับ ตรงที่ผมยืนอยู่ สามารถรองรับลูกค้าได้ถึง 30-100 คน พื้นที่เป็นตัว L

ห้องจัดเลี้ยงที่อยู่ชั้น 2 รองรับได้ 15-20 คน

ห้องตรงระเบียงชั้น 2 วันที่ไป ทางร้านแจ้งว่าเพิ่งทาสีฝ้าใหม่เสร็จ เลยยังเห็นหนังสือพิมพ์ห่อโคมไฟอยู่นะครับ

หลังจากสำรวจคร่าว ๆ แล้ว ก็ตัดมาที่โต๊ะอาหารกันเลยครับ โดยเมนูอาหารที่ผมสั่งวันนี้จะเน้นเป็นอาหารไทยโบราณ (จริง ๆ ที่ร้านมีเมนู อาหารยุโรป และ อาหารทั่วๆไป) เพื่อให้ทั้งเจ้านายต่างประเทศได้ลองชิม รวมถึงพนักงานในออฟฟิศหลายๆคนที่ไม่เคยกินอาหารไทยโบราณ รวมถึงตัวผมเองด้วย
เมื่อมาถึงที่โต๊ะพนักงานจะเสิร์ฟด้วยน้ำอุทัยหมอมี กลิ่มหอม ชื่นใจ

ตามด้วยชุดออเดิร์ฟ 5 อย่าง ประกอบด้วย สาคูไส้หมู ยำผักบุ้งกรอบ ม้าฮ่อ หมี่กรอบ ไอศครีมอุทัยซอเบต์ เป็นออเดิร์ฟแบบไทยๆ เสิร์ฟมาในช้อนพอดีคำ ยกเว้นไอศครีมที่มาในถ้วยแก้ว รสชาติโดยรวมถือว่าอร่อยใช้ได้ แต่ที่ผมชอบมาก ๆ คือ ไอศครีมอุทัยซอเบต์ ที่มีส่วนผสมของน้ำอุทัยหมอมี หอม หวาน รสเปรี้ยวนิด

ส่วนจานนี้เป็นของแถม คือ ยำเกสรดอกชมพู่มะเหมี่ยว รสชาติอร่อย กลมกล่อม คล้ายๆยำ ตัวเกสรก็หวานกรอบ สาเหตุที่ไม่มีขายเพราะตัวเกสรดอกชมพู่มะเหมี่ยวมาจากชมพู่ที่ทางร้านปลูกเองแบบออร์แกนิค ซึ่งมีจำนวนไม่มาก ถ้าลูกค้ามาจังหวะที่ลูกชมพู่ออกพอดี ทางร้านจะทำมาให้ทานกันฟรีๆ

เครื่องดื่ม หมอมีไทยคูลลิ่ง
ด้านบนเป็นเหมือนเยลลี่ (จริงๆผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรนะ ขอเรียกว่าเนื้อเยลลี่แล้วกัน) ผู้จัดการร้านแนะนำให้คนให้ทั่วก่อนทาน กลิ่มหอมชวนกิน รสชาติหวานนิดเปรี้ยวหน่อย และเหมือนมีความซ่าของโซดา ดูดแล้วชื่นใจมาก เนื้อเยลลี่ก็อร่อย ผมลองถามทางผู้จัดการร้านว่ามีส่วนผสมของอะไรบ้าง ได้คำตอบว่า ดอกมะลิ กุหลาบมอญ กะดังงา และอื่นๆที่เป็นสูตรทางร้านไม่สามารถเปิดเผยได้ เป็นเมนูเครื่องดื่มที่แนะนำให้สั่งทานครับ

ข้าวแช่
เป็นเมนูแนะนำของที่นี่อีกอย่างครับ ผู้จัดการบอกว่าข้าวแช่ที่ร้านมีขายทั้งปี (บางร้านมีขายเฉพาะฤดูกาล) ข้าวแช่ 1 ชุด จะประกอบด้วย ข้าวเปล่า เครื่องเคียง 8 อย่าง น้ำอบควันเทียน น้ำอุทัยหมอมี น้ำแข็ง โดยเครื่องเขียง 8 อย่างผมถามมาละเอียดเลย เพราะบางอย่างกลัวคนในออฟฟิศจะทานไม่ได้ โดยเครื่องเคียงมีดังนี้ ปลาหวาน หมูปลาเค็ม ลูกกะปิ หัวไชเท้า(หัวไชโป๊ว) หมูฝอย เนื้อฝอย พริกหยวกยัดไส้หมู หอมแดงยัดไส้ ข้าวแช่ 1 ชุดทานได้ 3-4 คนเลยนะครับ แนะนำว่าลองสั่งมาทีละชุดนะครับ เพราะมันค่อนข้างเยอะพอสมควร

วิธีกินข้าวแช่ บอกตรงๆเลยว่ากินไม่เป็นครับ เลยต้องถามวิธีกับทางพนักงาน โดยขั้นตอนก็คือ นำข้าวเปล่ามาใส่ถ้วย แล้วเลือกว่าจะใส่น้ำอะไรระหว่าง น้ำอบควันเทียน หรือ น้ำอุทัยหมอมี เสร็จแล้วตามด้วยน้ำแข็ง ส่วนวิธีทานเครื่องเคียงก็คือ ตักเครื่องเคียงเปล่าๆใส่ปากก่อน แล้วตักข้าวแช่ทานตาม ซึ่งตอนแรกผมไม่รู้ เลยตักเครื่องเคียงใส่ถ้วยข้าวแช่ก่อนเลย จนเพื่อนแซวว่ากินข้าวต้มกุ๊ยเหรอ (ก็ไม่เคยกินง่ะ)

รสชาติข้าวแช่ ให้ความรู้สึกบอกอร่อยแบบไม่ถูกเหมือนกัน เพราะได้ทั้งความชื่นใจจากข้าวแช่ และได้ความเข้มข้นจากเครื่องเคียงแต่ละอย่างที่มีรสชาติเข้มข้นแตกต่างกัน ที่ผมชอบมากที่สุดคือพริกหยวกยัดไส้หมูตักกินพร้อมลูกกะปิ หอม อร่อย รสเครื่องเทศในหมูก็เผ็ดพอดี ส่วนน้ำแช่ข้าวผมเลือกเป็นน้ำอุทัยหมอมี เพราะหอมชื่นใจ

ปอเปี๊ยะทอด
แป้งกรอบอร่อย รสเข้มข้น มีกลิ่นเครื่องเทศอ่อน ๆ ไส้แน่นๆ ตัวไส้เป็นเห็ดหอมและผัก ไม่มีวุ้นเส้นแบบปอเปี๊ยะทั่ว ๆ ไป เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มในโถแก้ว น้ำจิ้มสีออกแดงๆเพราะมีส่วนผสมของน้ำอุทัยหมอมี น้ำจิ้มรสออกหวานหน่อย เมื่อกินกับปอเปี๊ยะจะได้รสกลมกล่อมพอดีๆ กินเล่นเพลินๆ

ไก่ห่อใบเตย
ใช้ใบเตยแท้ ๆ ในการทำ ส่วนไก่ใช้ชิ้นส่วนสะโพก เนื้อไก่นุ่มมาก กัดไปแทบไม่ต้องเคี้ยวเลย มีรสเครื่องเทศอ่อนๆ น้ำจิ้มที่เสิร์ฟมาพร้อมกันขอบอกเลยอร่อยมาก หอม เข้มข้ม มีความหวานนิดๆ นอกจากจิ้มไก่แล้ว ผมยังเอาไปจิ้มอาหารอื่น ๆ อีก เพราะมันอร่อยจริงๆนะ

แกงรัญจวน
เคยเห็นเมนูนี้จากรายการอาหาร Top Chef ชื่อติดหูแต่นั้นมา เลยอยากลองชิมอาหารไทยโบราณนี้ ทางร้านเสิร์ฟมาในลักษณะหม้อไฟ (หม้อดิน) เมื่อเปิดฝาหม้อ กลิ่มจะหอมลอยขึ้นมาเลย เป็นที่มาของคำว่าแกงรัญจวน เนื่องจากกลิ่นหอมรัญจวนนี่เอง ตัวแกงมีรสชาติเข้มข้นจากเครื่องเทศต่างๆ และกลิ่นหอมของกะปิ (กลิ่นกะปิไม่แรงนะ) ส่วนเนื้อหมูในแกงก็นุ่มอร่อย เป็นอีกเมนูที่ไม่ควรพลาดเลยครับ เพราะหอมอร่อย หากินยาก

โดยรวมแล้วถือว่าร้านนี้ตอบโจทย์ผมมากเลยครับ บรรยากาศดี มีมุมสวยๆ เยอะ เดินทางสะดวกในระดับหนึ่ง อาหารอร่อยแถมยังมีอาหารไทยโบราณที่หากินยากหลายเมนูด้วย ที่สำคัญคือผมถามทางผู้จัดการร้านว่า ถ้าเจ้านายต่างประเทศผมมาทานร้านนี้ ทางคุณจะพาเค้าทัวร์และอธิบายเป็นภาษาอังกฤษได้ไหม เค้าตอบมาว่า พามาได้เลย เค้าสามารถพูดอธิบายได้ ไม่มีปัญหา ส่วนข้อเสียคือซอยทางเข้าเล็กไปหน่อย และปากซอยไม่มีป้ายบอกชัดเจน ถ้าขับรถมาอาจขับเลยได้
ขากลับผมต้องไปธุระแถวเดอะมอลล์บางกะปิต่อ เลยกลับทางเรือนะครับ ออกจากร้านแล้วเลี้ยวซ้ายไปหน่อย ไม่ต้องขึ้นสะพานนะ เดินไปตรงใต้สะพานฝั่งขวาเลย แล้วเดินเลียบคลองไปเรื่อยๆ ก็จะถึงท่าเรือสะพานหัวช้างครับ
[CR] ร้านอาหารบ้านหมอมี ที่นี่มีประวัติศาสตร์
ร้านอาหารบ้านหมอมี ตั้งอยู่ในซอยเกษมสันต์ 3 เยื้อง ๆ กับสนามกีฬาแห่งชาติ สามารถเดินทางโดย BTS แล้วเดินต่อมาได้ หรือจะเอารถไปจอดที่ร้านก็ได้ เพราะมีที่จอดรถพอสมควร หรือจะเดินทางมาทางเรือด่วนคลองแสนแสบลงท่าสะพานหัวช้างแล้วเดินเลียบคลองมาก็ได้ครับ เพราะตัวร้านอยู่ติดคลองแสนแสบเลย
ครั้งนี้ผมไปกับเพื่อนร่วมงานอีก 2 คน เมื่อมาถึงร้าน ก็แจ้งความต้องการว่าเราต้องการอะไร ทางผู้จัดการร้านก็ออกมาต้อนรับเป็นอย่างดี ผู้จัดการร้านเล่าถึงประวัติร้านก่อนคือ ที่นี่แต่เดิมชื่อบ้านสุวรรณเวศม ผู้ก่อตั้งยานัตถุ์หมอมี ซึ่งตัวบ้านมีอายุ 100 กว่าปี ปัจจุบันทายาทยังคงรักษาบ้านให้คงสภาพเดิมมากที่สุดของใช้ต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยเดิมก็ยังมีให้เห็นอยู่คล้ายๆเป็นพิพิธภัณฑ์ และได้เปิดเป็นร้านอาหารหมอมีได้ปีกว่าๆ นอกจากนั้นทางผู้จัดการยังขอพาทัวร์ชมสถานที่ต่างๆในร้านก่อน เพราะที่ร้านนี้เหมือนร้านอาหารกึ่ง ๆ พิพิธภัณฑ์ มีจุดน่าสนใจมากมายหลายอย่างมาก ผมขอเลือกเฉพาะที่น่าสนใจมาให้ดูนะครับ
หลุมหลบภัย ใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จริงๆฝังอยู่ในใต้ดิน แต่ขุดขึ้นมาตั้งโชว์ให้เห็น ผู้จัดการร้านเล่าว่า เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถ้าได้ยินเสียงหวอ ก็จะต้องรีบหลบเข้าไปในหลุมนี้ ซึ่งหลุมสามารถบรรจุคนได้ 4-5 คนเลยทีเดียว (นึกตามแล้วอึดอัดแทนเลย)
เรือแคนนู เป็นเรือประจำบ้านสุวรรณเวศม สำหรับเดินทางในคลองแสนแสบ ที่ติดอยู่หลังบ้าน
ห้องรับรอง มีเคาน์เตอร์กาแฟบริการคอกาแฟ และที่อีกด้านของห้องมีเก้าอี้แดง ซึ่งมีประวัติเคยอยู่ในฉากหนังสมัยก่อนหลายเรื่อง อาทิ เรื่องเล็บครุฑ
เครื่องอัดสำเนา สำหรับทำสำเนาเอกสาร เฟืองต่าง ๆ ยังใช้งานได้อยู่ปกติเลยครับ
เครื่องบดยา
เครื่องตีเช็คในสมัยนั้น
เครื่องพิมพ์ดีด รูปปั้นเสด็จพ่อ ร.5 และรูปเจ้าของบ้านครับ
มีทางเดินไปห้องน้ำ สำหรับคนที่นั่งวิลแชร์ด้วยครับ
ภาพป้ายโฆษณา ยาอุไทย หมอมี ในยุคเริ่มแรก
ห้องอาหารโต๊ะกลม เป็นโต๊ะไม้สัก มีกลไกทำให้โต๊ะหมุนได้ กลไกอยู่ที่ขาโต๊ะ
พื้นที่ทานอาหารชั้น 1
ตาแมว สำหรับมองแขกผู้มาเยือน (ตาแมวใหญ่จัง) อยู่ระหว่างบันไดขึ้นชั้น 2
ตรงนี้เป็นชั้น 2 แล้วนะครับ ตรงที่ผมยืนอยู่ สามารถรองรับลูกค้าได้ถึง 30-100 คน พื้นที่เป็นตัว L
ห้องจัดเลี้ยงที่อยู่ชั้น 2 รองรับได้ 15-20 คน
ห้องตรงระเบียงชั้น 2 วันที่ไป ทางร้านแจ้งว่าเพิ่งทาสีฝ้าใหม่เสร็จ เลยยังเห็นหนังสือพิมพ์ห่อโคมไฟอยู่นะครับ
หลังจากสำรวจคร่าว ๆ แล้ว ก็ตัดมาที่โต๊ะอาหารกันเลยครับ โดยเมนูอาหารที่ผมสั่งวันนี้จะเน้นเป็นอาหารไทยโบราณ (จริง ๆ ที่ร้านมีเมนู อาหารยุโรป และ อาหารทั่วๆไป) เพื่อให้ทั้งเจ้านายต่างประเทศได้ลองชิม รวมถึงพนักงานในออฟฟิศหลายๆคนที่ไม่เคยกินอาหารไทยโบราณ รวมถึงตัวผมเองด้วย
เมื่อมาถึงที่โต๊ะพนักงานจะเสิร์ฟด้วยน้ำอุทัยหมอมี กลิ่มหอม ชื่นใจ
ตามด้วยชุดออเดิร์ฟ 5 อย่าง ประกอบด้วย สาคูไส้หมู ยำผักบุ้งกรอบ ม้าฮ่อ หมี่กรอบ ไอศครีมอุทัยซอเบต์ เป็นออเดิร์ฟแบบไทยๆ เสิร์ฟมาในช้อนพอดีคำ ยกเว้นไอศครีมที่มาในถ้วยแก้ว รสชาติโดยรวมถือว่าอร่อยใช้ได้ แต่ที่ผมชอบมาก ๆ คือ ไอศครีมอุทัยซอเบต์ ที่มีส่วนผสมของน้ำอุทัยหมอมี หอม หวาน รสเปรี้ยวนิด
ส่วนจานนี้เป็นของแถม คือ ยำเกสรดอกชมพู่มะเหมี่ยว รสชาติอร่อย กลมกล่อม คล้ายๆยำ ตัวเกสรก็หวานกรอบ สาเหตุที่ไม่มีขายเพราะตัวเกสรดอกชมพู่มะเหมี่ยวมาจากชมพู่ที่ทางร้านปลูกเองแบบออร์แกนิค ซึ่งมีจำนวนไม่มาก ถ้าลูกค้ามาจังหวะที่ลูกชมพู่ออกพอดี ทางร้านจะทำมาให้ทานกันฟรีๆ
เครื่องดื่ม หมอมีไทยคูลลิ่ง
ด้านบนเป็นเหมือนเยลลี่ (จริงๆผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรนะ ขอเรียกว่าเนื้อเยลลี่แล้วกัน) ผู้จัดการร้านแนะนำให้คนให้ทั่วก่อนทาน กลิ่มหอมชวนกิน รสชาติหวานนิดเปรี้ยวหน่อย และเหมือนมีความซ่าของโซดา ดูดแล้วชื่นใจมาก เนื้อเยลลี่ก็อร่อย ผมลองถามทางผู้จัดการร้านว่ามีส่วนผสมของอะไรบ้าง ได้คำตอบว่า ดอกมะลิ กุหลาบมอญ กะดังงา และอื่นๆที่เป็นสูตรทางร้านไม่สามารถเปิดเผยได้ เป็นเมนูเครื่องดื่มที่แนะนำให้สั่งทานครับ
ข้าวแช่
เป็นเมนูแนะนำของที่นี่อีกอย่างครับ ผู้จัดการบอกว่าข้าวแช่ที่ร้านมีขายทั้งปี (บางร้านมีขายเฉพาะฤดูกาล) ข้าวแช่ 1 ชุด จะประกอบด้วย ข้าวเปล่า เครื่องเคียง 8 อย่าง น้ำอบควันเทียน น้ำอุทัยหมอมี น้ำแข็ง โดยเครื่องเขียง 8 อย่างผมถามมาละเอียดเลย เพราะบางอย่างกลัวคนในออฟฟิศจะทานไม่ได้ โดยเครื่องเคียงมีดังนี้ ปลาหวาน หมูปลาเค็ม ลูกกะปิ หัวไชเท้า(หัวไชโป๊ว) หมูฝอย เนื้อฝอย พริกหยวกยัดไส้หมู หอมแดงยัดไส้ ข้าวแช่ 1 ชุดทานได้ 3-4 คนเลยนะครับ แนะนำว่าลองสั่งมาทีละชุดนะครับ เพราะมันค่อนข้างเยอะพอสมควร
วิธีกินข้าวแช่ บอกตรงๆเลยว่ากินไม่เป็นครับ เลยต้องถามวิธีกับทางพนักงาน โดยขั้นตอนก็คือ นำข้าวเปล่ามาใส่ถ้วย แล้วเลือกว่าจะใส่น้ำอะไรระหว่าง น้ำอบควันเทียน หรือ น้ำอุทัยหมอมี เสร็จแล้วตามด้วยน้ำแข็ง ส่วนวิธีทานเครื่องเคียงก็คือ ตักเครื่องเคียงเปล่าๆใส่ปากก่อน แล้วตักข้าวแช่ทานตาม ซึ่งตอนแรกผมไม่รู้ เลยตักเครื่องเคียงใส่ถ้วยข้าวแช่ก่อนเลย จนเพื่อนแซวว่ากินข้าวต้มกุ๊ยเหรอ (ก็ไม่เคยกินง่ะ)
รสชาติข้าวแช่ ให้ความรู้สึกบอกอร่อยแบบไม่ถูกเหมือนกัน เพราะได้ทั้งความชื่นใจจากข้าวแช่ และได้ความเข้มข้นจากเครื่องเคียงแต่ละอย่างที่มีรสชาติเข้มข้นแตกต่างกัน ที่ผมชอบมากที่สุดคือพริกหยวกยัดไส้หมูตักกินพร้อมลูกกะปิ หอม อร่อย รสเครื่องเทศในหมูก็เผ็ดพอดี ส่วนน้ำแช่ข้าวผมเลือกเป็นน้ำอุทัยหมอมี เพราะหอมชื่นใจ
ปอเปี๊ยะทอด
แป้งกรอบอร่อย รสเข้มข้น มีกลิ่นเครื่องเทศอ่อน ๆ ไส้แน่นๆ ตัวไส้เป็นเห็ดหอมและผัก ไม่มีวุ้นเส้นแบบปอเปี๊ยะทั่ว ๆ ไป เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มในโถแก้ว น้ำจิ้มสีออกแดงๆเพราะมีส่วนผสมของน้ำอุทัยหมอมี น้ำจิ้มรสออกหวานหน่อย เมื่อกินกับปอเปี๊ยะจะได้รสกลมกล่อมพอดีๆ กินเล่นเพลินๆ
ไก่ห่อใบเตย
ใช้ใบเตยแท้ ๆ ในการทำ ส่วนไก่ใช้ชิ้นส่วนสะโพก เนื้อไก่นุ่มมาก กัดไปแทบไม่ต้องเคี้ยวเลย มีรสเครื่องเทศอ่อนๆ น้ำจิ้มที่เสิร์ฟมาพร้อมกันขอบอกเลยอร่อยมาก หอม เข้มข้ม มีความหวานนิดๆ นอกจากจิ้มไก่แล้ว ผมยังเอาไปจิ้มอาหารอื่น ๆ อีก เพราะมันอร่อยจริงๆนะ
แกงรัญจวน
เคยเห็นเมนูนี้จากรายการอาหาร Top Chef ชื่อติดหูแต่นั้นมา เลยอยากลองชิมอาหารไทยโบราณนี้ ทางร้านเสิร์ฟมาในลักษณะหม้อไฟ (หม้อดิน) เมื่อเปิดฝาหม้อ กลิ่มจะหอมลอยขึ้นมาเลย เป็นที่มาของคำว่าแกงรัญจวน เนื่องจากกลิ่นหอมรัญจวนนี่เอง ตัวแกงมีรสชาติเข้มข้นจากเครื่องเทศต่างๆ และกลิ่นหอมของกะปิ (กลิ่นกะปิไม่แรงนะ) ส่วนเนื้อหมูในแกงก็นุ่มอร่อย เป็นอีกเมนูที่ไม่ควรพลาดเลยครับ เพราะหอมอร่อย หากินยาก
โดยรวมแล้วถือว่าร้านนี้ตอบโจทย์ผมมากเลยครับ บรรยากาศดี มีมุมสวยๆ เยอะ เดินทางสะดวกในระดับหนึ่ง อาหารอร่อยแถมยังมีอาหารไทยโบราณที่หากินยากหลายเมนูด้วย ที่สำคัญคือผมถามทางผู้จัดการร้านว่า ถ้าเจ้านายต่างประเทศผมมาทานร้านนี้ ทางคุณจะพาเค้าทัวร์และอธิบายเป็นภาษาอังกฤษได้ไหม เค้าตอบมาว่า พามาได้เลย เค้าสามารถพูดอธิบายได้ ไม่มีปัญหา ส่วนข้อเสียคือซอยทางเข้าเล็กไปหน่อย และปากซอยไม่มีป้ายบอกชัดเจน ถ้าขับรถมาอาจขับเลยได้
ขากลับผมต้องไปธุระแถวเดอะมอลล์บางกะปิต่อ เลยกลับทางเรือนะครับ ออกจากร้านแล้วเลี้ยวซ้ายไปหน่อย ไม่ต้องขึ้นสะพานนะ เดินไปตรงใต้สะพานฝั่งขวาเลย แล้วเดินเลียบคลองไปเรื่อยๆ ก็จะถึงท่าเรือสะพานหัวช้างครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น