ปกิณณกธรรม มิตรย่อมแหนงหน่ายกันด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ
๑ การคลุกคลีกันเกินไป
๒ การไม่ไปมาหากัน
๓ การขอในเวลาไม่สมควร
เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรไปหากันพร่ำเพรื่อนัก ไม่ควรเหินห่างไปให้เนิ่นนาน และควรขอในสิ่งที่ควรขอตามเหตุที่สมควร ด้วยอาการอย่างนี้มิตรทั้งหลายจึงจะไม่แหนงหน่ายกัน
มหาโพธิชาดก เล่ม ๖๒ หน้า ๙๔

ประเด็นน่าสนใจ
๑ อย่าแตกร้าวจากมิตรเร็วนัก เหตุแห่งความแตกร้าวจากมิตร มี ๓ ประการคือ ใกล้เกินไป ไกลเกินไป และขอของรักของหวง
ใกล้เกินไป เป็นเหตุให้มีความคุ้นเคยเกินเหตุ ความเกรงใจลดลง มักล่วงละเมิดต่อความเป็นส่วนตัวของมิตรสหาย ยิ่งกว่านั้น ยิ่งใกล้อาจมองเห็นความไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ ของมิตรสหายมากขึ้น หากไม่สามารถทำใจยอมรับได้ จะเกิดความเพ่งเล็ง(จับผิด) เป็นเหตุมิตรแตกร้าวกันได้
ไกลเกินไป คือ ตัวไกลกัน ไม่ไปมาหาสู่ ไม่ถามไถ่ สุขทุกข์ ของกัน ก็เป็นเหตุให้ความเป็นมิตรเจือจางได้ นอกจากนี้ การห่างไกลจากความช่วยเหลือ เมื่อคราวมิตรสหายลำบากเดือดร้อน กลับไม่ยอมช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นี่ก็เป็นเหตุให้มิตรสหายแตกร้าวได้
ขอของรักของหวง การขอสิ่งที่ไม่ควรขอ จะเป็นเหตุให้ผู้ถูกขอ เกิดความลำบากใจ ไม่อยากให้ แต่ครั้นจะไม่ให้ก็เกรงว่าผู้ขอจะไม่พอใจ นี่จึงเป็นเหตุแห่งความแตกร้าวได้เช่นกัน นอกจากนี้ การไม่ขอ แต่ถือเอาด้วยเข้าใจว่าวิสาสะ ก็เป็นแห่งความแตกร้าวได้ เพราะคำว่าวิสาสะหรือความคุ้นเคยนั้น ต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ ๑ เคยเห็นกันมา ๒ เคยคบหากันมา ๓ เคยบอกกล่าวกันไว้ ๔ เขายังมีชีวิตอยู่ ๕ รู้ว่าเมื่อเอาไปเขาจะไม่โกรธ หากขาดองค์ข้อใดข้อหนึ่งไป นั่นไม่ถือว่าวิสาสะ แต่กลับเป็นการถือเอาด้วยเสียมารยาท
๒ การผูกอาฆาตจองเวร เป็นการปิดกั้นการสร้างบุญบารมี จิตใจก็ไม่สงบ ต้องหาหนทางทำร้ายอีกฝ่ายให้ได้ หากทำร้ายได้ก็เป็นการก่อบาปเพิ่มเติมอีก เหมือนพระเทวทัตที่จองเวรจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าหลายภพหลายชาติ จนกระทั่งชาติสุดท้ายก็ไม่เว้น บางชาติก็ทำร้ายได้ บางชาติก็ทำร้ายไม่ได้ แต่ทุกครั้งจะได้ผลตอบแทนคือต้องตกไปสู่อบายทุกครั้งไป
ฉะนั้น แม้ถูกทำร้าย ก็ไม่ควรทำร้ายตอบ ควรให้อภัย อโหสิกรรมต่อกัน จะได้ไม่มีเวรมีภัยต่อกัน ความแค้นเป็นสิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ต้องล้างให้สะอาด ด้วยการให้อภัย นี่คือการล้างแค้นที่ถูกต้อง ความแค้นเป็นเหมือนปมในใจ ที่ผูกมุ่นจนใจหม่นหมอง ต้องแก้ปมนั้นเสียด้วยการให้อภัย นี่คือการแก้แค้นที่ถูกต้อง
ปกิณณกธรรม มิตรย่อมแหนงหน่ายกันด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ
๑ การคลุกคลีกันเกินไป
๒ การไม่ไปมาหากัน
๓ การขอในเวลาไม่สมควร
เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรไปหากันพร่ำเพรื่อนัก ไม่ควรเหินห่างไปให้เนิ่นนาน และควรขอในสิ่งที่ควรขอตามเหตุที่สมควร ด้วยอาการอย่างนี้มิตรทั้งหลายจึงจะไม่แหนงหน่ายกัน
มหาโพธิชาดก เล่ม ๖๒ หน้า ๙๔
๑ อย่าแตกร้าวจากมิตรเร็วนัก เหตุแห่งความแตกร้าวจากมิตร มี ๓ ประการคือ ใกล้เกินไป ไกลเกินไป และขอของรักของหวง
ใกล้เกินไป เป็นเหตุให้มีความคุ้นเคยเกินเหตุ ความเกรงใจลดลง มักล่วงละเมิดต่อความเป็นส่วนตัวของมิตรสหาย ยิ่งกว่านั้น ยิ่งใกล้อาจมองเห็นความไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ ของมิตรสหายมากขึ้น หากไม่สามารถทำใจยอมรับได้ จะเกิดความเพ่งเล็ง(จับผิด) เป็นเหตุมิตรแตกร้าวกันได้
ไกลเกินไป คือ ตัวไกลกัน ไม่ไปมาหาสู่ ไม่ถามไถ่ สุขทุกข์ ของกัน ก็เป็นเหตุให้ความเป็นมิตรเจือจางได้ นอกจากนี้ การห่างไกลจากความช่วยเหลือ เมื่อคราวมิตรสหายลำบากเดือดร้อน กลับไม่ยอมช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นี่ก็เป็นเหตุให้มิตรสหายแตกร้าวได้
ขอของรักของหวง การขอสิ่งที่ไม่ควรขอ จะเป็นเหตุให้ผู้ถูกขอ เกิดความลำบากใจ ไม่อยากให้ แต่ครั้นจะไม่ให้ก็เกรงว่าผู้ขอจะไม่พอใจ นี่จึงเป็นเหตุแห่งความแตกร้าวได้เช่นกัน นอกจากนี้ การไม่ขอ แต่ถือเอาด้วยเข้าใจว่าวิสาสะ ก็เป็นแห่งความแตกร้าวได้ เพราะคำว่าวิสาสะหรือความคุ้นเคยนั้น ต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ ๑ เคยเห็นกันมา ๒ เคยคบหากันมา ๓ เคยบอกกล่าวกันไว้ ๔ เขายังมีชีวิตอยู่ ๕ รู้ว่าเมื่อเอาไปเขาจะไม่โกรธ หากขาดองค์ข้อใดข้อหนึ่งไป นั่นไม่ถือว่าวิสาสะ แต่กลับเป็นการถือเอาด้วยเสียมารยาท
๒ การผูกอาฆาตจองเวร เป็นการปิดกั้นการสร้างบุญบารมี จิตใจก็ไม่สงบ ต้องหาหนทางทำร้ายอีกฝ่ายให้ได้ หากทำร้ายได้ก็เป็นการก่อบาปเพิ่มเติมอีก เหมือนพระเทวทัตที่จองเวรจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าหลายภพหลายชาติ จนกระทั่งชาติสุดท้ายก็ไม่เว้น บางชาติก็ทำร้ายได้ บางชาติก็ทำร้ายไม่ได้ แต่ทุกครั้งจะได้ผลตอบแทนคือต้องตกไปสู่อบายทุกครั้งไป
ฉะนั้น แม้ถูกทำร้าย ก็ไม่ควรทำร้ายตอบ ควรให้อภัย อโหสิกรรมต่อกัน จะได้ไม่มีเวรมีภัยต่อกัน ความแค้นเป็นสิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ต้องล้างให้สะอาด ด้วยการให้อภัย นี่คือการล้างแค้นที่ถูกต้อง ความแค้นเป็นเหมือนปมในใจ ที่ผูกมุ่นจนใจหม่นหมอง ต้องแก้ปมนั้นเสียด้วยการให้อภัย นี่คือการแก้แค้นที่ถูกต้อง