วิธีการรับปัญหาด้วยปัญญา ทำให้เกิดสันติ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ



เราจะต้องมีวิธีการรับมือกับปัญหา ด้วยปัญญา ทำให้เกิดสันติ ไม่ใช่รับด้วยอารมณ์แห่งโทสะ ซึ่งจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย เดือดร้อนมากขึ้น

    ไม่ว่าเราจะพบเจอปัญหาใดๆ เช่น เกิดอุบัติเหตุ คนรักหนี แฟนมีชู้ โดนกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นโรคร้าย สุขภาพไม่ดี และปัญหาอื่นๆ ร้อยแปดพันอย่าง

    เราต้องมีแนวคิดที่ถูกต้อง มุมมองที่ถูกต้อง มีคอนเซ็ป (Concept) เป็นสัมมาทิฏฐิก่อน โดยเมื่อตัวเราถูกกระทำ ได้รับกรรม ทำให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน

    ต้องคิดว่า สาสมแล้วตัวเราโดนกระทำ ต้องรับกรรม เพราะว่าเรากระทำกรรมผิดต่อเจ้ากรรม เรากระทำผิดต่อเขาก่อน เราจึงต้องโดนกระทำ ถูกกระทำเช่นนี้ สาสมแล้วที่ต้องโดน

    แล้วให้เราตั้งฐานจิต อธิษฐานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า

    บัดนี้ตัวเรา สำนึกผิดแล้วว่า สมควรโดนกระทำ เพราะตัวเราทำกรรมผิดต่อเจ้ากรรม

    บัดนี้สำนึกผิด ขอขมาต่อเจ้ากรรม และขอเจ้ากรรมให้อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้า

    บัดนี้ ขอให้สัจจะสัญญาว่าจะไม่ทำกรรมผิดนี้อีกต่อไป จะไม่ทำพฤติกรรมเช่นนี้อีกต่อไป จะไม่ทำนิสัยชั่วๆ เช่นนี้อีกต่อไป และจะขอส่งกุศลให้กับเจ้ากรรม ขอเจ้ากรรมโปรดเมตตาเอ็นดู เห็นอกเห็นใจ โปรดให้โอกาส ให้ตัวข้าพเจ้ากระทำสิ่งใด ก็ขอให้สำเร็จ เพื่อที่จะได้นำกุศลส่งให้เจ้ากรรม ต่อไป ขอให้สัจจะสัญญา

    วิธีคิดอย่างนี้เป็นแนวความคิดที่ถูกต้อง เราจะต้องมีวิธีคิดอย่างนี้ ในสิ่งที่เราโดนกระทำ ในจิตในของเราจะได้ไม่เกิดความแค้น อาฆาต พยาบาท จองเวร ปัญหาจะได้ไม่บานปลาย

    เกี่ยวกับตัวของเรา เราจะต้องคิดเช่นนี้ ปัญหาหรือความทุกข์นั้นๆ จะไม่บานปลาย และจิตของเราก็จะได้ไม่ไปผูกโกรธ อาฆาตแค้นพยาบาทคนอื่น เพราะเราเป็นผู้ทำผิดขึ้นมาก่อน และเราทำผิดเอง

    ซึ่งตัวเราต้องคิดเช่นนี้ จึงจะเป็นวิธีคิดที่สัมมาทิฏฐิ

    สำหรับผู้ที่มาสร้างปัญหาให้กับเรานั้น คู่กรณีของเรา เราจะต้องคิดให้ถูกต้องเกี่ยวกับตัวเขา มีมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับตัวเขา เกี่ยวกับคู่กรณีของเรา ในความคิดของเราต้องคิดว่า

    "อย่ามองว่าเขาผิด ให้มองว่าเขาขาด" ๆ

    พูดย้ำๆ อย่างนี้ในสมองของเรา พูดย้ำๆ อย่างนี้ในจิตของเรา ในความคิดของเรา

    เพราะถ้าเรามองว่าเขาทำผิด เราก็จะมีจิตที่จะเอาคืนเขา ต่อว่าเขา ทำร้ายเขา

    แต่ถ้าเรามองว่าเขาขาด คือ เขาขาดการเรียนรู้ ขาดกัลยาณมิตร ขาดครูบาอาจารย์ที่คอยตักเตือนชี้แนะแก่เขา ไม่มีใครสอนเขา เขาจึงเป็นเช่นนี้ ฉะนั้น เราจะต้องชี้แนะเขา ให้เขาได้รู้ ได้เข้าใจในสิ่งนั้นๆ อารมณ์แห่งจิตโทสะถึงจะลงได้

    เราต้องหา “สิ่งที่ดี” ในตัวเขา มาลบล้างสิ่งที่ “ไม่ดี” ในตัวเขา อย่ามองสิ่งที่ไม่ดีอย่างเดียว และอย่ามองสิ่งที่ดีอย่างเดียวก็ไม่ได้

    ถ้ามองสิ่งที่ไม่ดีอย่างเดียว กลายเป็นซ้ำเติม และมองสิ่งที่ดีอย่างเดียว จะทำให้เขาเหลิง ทำให้หลงตัวเอง สำคัญตนเองผิด

    เราต้องเตือนเขาว่ายังไม่เพียงพอ ต้องหมั่นสร้างให้มากขึ้น


    คำถาม ทั้งๆ เขาเป็นคนผิด และทำผิดจริงๆ แต่ทำไมเรายังต้องใช้วิธีคิดว่า

"เขาไม่ใช่ผิด แต่เพราะเขาไม่รู้"

    "อย่ามองว่าเขาผิด ให้มองว่าเขาขาด"

    เพราะ ด้วยเหตุผล ๓ ข้อ ดังนี้

    ๑. เพื่อป้องกันไม่ให้จิตของเราไปผูกโกรธ อาฆาต แค้น พยาบาท จองเวรเขา ไปทำร้ายเขา

    ๒. เราเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมไหม? เราเชื่อพระพุทธเจ้าไหม? พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องกฎแห่งกรรมไว้ในพระสุตตันตะปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค 15/333 ว่า

ยาทิสัง วะปะเต พีชัง ตาทิสัง ละภะเต ผะลัง    กัลยาณะการี กัลยาณัง ปาปะการี จะ ปาปะกัง.

    บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น  ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว.

ดังคติคำคมว่า

    1. "ทำเหตุเช่นใดย่อมได้รับผลตามเหตุเช่นนั้นๆ"

    2. "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"

    3. "เราต้องเลิกจองเวรคนอื่น เราถึงจะได้รับสิทธิ์ให้คนอื่นเลิกจองเวรแก่เรา"

    4. "ให้อภัยแก่คนอื่น จึงจะได้รับสิทธิ์ ให้เขาอภัยเรา"

    5. "เราอยากให้คนอื่นให้อภัย ให้อโหสิกรรมแก่เรา เราจะต้องให้อภัยแก่คนอื่นก่อน เป็นการสร้างสิทธิ์ไว้ก่อน ถึงจะได้รับการให้อภัย"

    ฉะนั้น สิ่งที่เราได้รับกรรม ที่ทำให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน วุ่นวายเช่นนี้ ก็เป็นเพราะอดีตของเรา หรืออดีตชาติของเราเคยทำกรรมอย่างนี้ไว้กับคนอื่น มาปัจจุบันนี้ เราจึงต้องรับผลกรรมเช่นนี้

    ๓. การให้โอกาส คือ เมื่อครั้นเราทำผิด เรายังอยากให้คนอื่นให้อภัย ให้อโหสิกรรมแก่เราเลย แล้วเขาล่ะ ก็อยากให้เราให้อภัยแก่เขา ฉะนั้น เราต้องมีคติว่า "สร้างเหตุ สร้างสิทธิแห่งการให้อภัย เราก็จะได้รับการให้อภัยเช่นนั้น" มีอกเขา-อกเรา, คิดถึงใจเขาใจเรา, "เราต้องให้อภัยแก่คนอื่น ถึงจะมีสิทธิ์ได้รับการให้อภัยแก่เรา"


    คำถาม ถ้าหากเราใช้หลักการทั้ง ๓ ข้อนี้แล้ว เขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนแปลงน้อยมาก พัฒนาตนเองน้อยมาก เราจะต้องมีวิธีคิดอย่างไร?

    เราจะต้องมีวิธีคิด แนวคิด ด้วยคำภาวนาเป็นคาถา "ยอมคน" คือ

    1.เขาได้แค่นี้ก็ดีแล้ว

    2.ให้โอกาสเขาค่อยๆพัฒนา

    3.ยอมอย่างมีหัวใจ 5 กับสิ่งที่เราเคารพ (หัวใจ ๕ คือ กตัญญู ศรัทธา เชื่อมั่น หนักแน่น มั่นคง) กับสิ่งที่เราเคารพ อย่างเช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธเจ้า องค์พ่อพรหม เจ้าแม่กวนอิม เป็นต้น หรือครูบาอาจารย์ที่เราเคารพ ฟังคำสั่งสอนของท่าน

    ทั้ง ๓ ข้อนี้ก็จะเป็นตัวตัดปัญหาให้เราโกรธเขา โมโหเขา ดูถูกเขา เช่น แค่นี้ก็ทำไม่ได้

    ฉะนั้น บางกรณีเราจะต้องจูงนำพาเขาด้วย ไม่ใช่สักแต่ยอมเขาอย่างเดียว เรายอมเขาเพื่อมีโอกาสที่จะจูงเขา นำพาเขา เปลี่ยนแปลงเขา ขึ้นภูมิ  เขาไม่ใช่ผิด แต่เพราะเขาไม่รู้

    แต่ถ้าเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลย ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง หรือเราไม่มีบารมีเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงเขาได้ และเราได้เป็นกัลยาณมิตรให้เขาแล้วแต่เขาก็ยังเป็นเหมือนเดิม ให้ยึดหลัก ๓ ข้อนี้คือ

    ๑. เราจะต้องมีปัญญาในการคุยกับเขา

    ๒. เรามีบารมีพอไหมที่จะคุยกับเขา ให้เขาเข้าใจ

        แต่ถ้าข้อที่ ๑-๒ เราทำไม่ได้ เราจะต้องใช้วิธีการข้อที่ ๓ คือ

    ๓. เราจะต้องหลีกเลี่ยงเขา ไม่เสวนากับเขา เขาสู่โหมดอุเบกขากับเขา

        เพราะถ้าเรายังขืนช่วยเขาอีก หรือเสวนากับเขาอีก เราจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ พลาดท่าเสียทีได้

    นี่แหละ เป็นวิธีคิด รับปัญหาด้วยปัญญา พิจารณา วินิจฉัย ทำให้เกิดสันติ อย่ารับด้วยอารมณ์แห่งโทสะ

    ใครที่มาสร้างปัญหาให้เรา หรือใครมาทำผิดกับเรา หรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่างๆ

    ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา ญาติพี่น้อง พ่อแม่ หรือเพื่อนๆ เราควรรับด้วยแห่งปัญญา อย่ารับด้วยอารมณ์แห่งจิตโทสะ

    เพราะถ้าหากว่าเรารับด้วยอารมณ์แห่งโทสะ ก็จะก่อให้เกิดปัญหา สิ่งต่างๆ ตามมา ฉะนั้น เราจะต้องรับด้วยอารมณ์แห่งปัญญา

    การที่เราจะรับด้วยอารมณ์แห่งปัญญานั้น เราควรมีหลักการ

    สำหรับตัวเราเอง ต้องคิดว่า สาสมแล้วที่เราโดนกระทำ

    สำหรับตัวเขา คู่กรณีของเรา ต้องคิดว่า อย่ามองว่าเขาผิด ให้มองว่าเขาขาด

    จึงเป็นวิธีการ รับมือกับปัญหาด้วยปัญญา พิจารณา วินิจฉัย ทำให้เกิดสันติทุกๆ ฝ่าย

ขั้นตอนในการแก้ไขตนเอง ชำระมลทินของตนเอง 12 ข้อ คือ

    1.ต้องคิดถึงประโยชน์ และโทษของความโกรธ และความโกรธก็เหมือนเป็นไฟแผดเผาตัวเองทำให้ เดือดร้อน คิดเช่นนี้ตัวโกรธก็จะลดลง เบาบางลง

    2.สำนึกสิ่งที่ถูกต้องและผิดว่าเราเป็นคนทำผิดจริง

    "สำนึก" แปลว่า ภาวะจิตที่ซาบซึ้งรู้ว่าสิ่งนั้น ผิดหรือถูก

    3.เราได้สร้างเหตุที่กระทำเขาไว้ก่อน ต้องยอมรับ ในความเป็นจริงของกฎแห่งกรรม เราสร้างเหตุไว้ก่อนถึงได้รับผลกรรมเช่นนี้      

    พอเราถูกกระทำแล้วเราไม่ได้คิดพิจารณาเหตุ จึงสำคัญว่าเขากระทำเรา ที่จริงเรากระทำเขาไว้ก่อน จึงส่งผลให้เราถูกกระทำ เราทำเหตุไว้ก่อนแล้ว เหตุที่เรากระทำเขาไว้ก่อนแล้วจึงส่งผลให้ปัจจุบันนี้เราถูกกระทำ

    ถ้าเราคิดอย่างนี้แล้ว  เราโกรธ เพราะสำคัญตนผิดว่าตนเองเป็นผู้ถูกกระทำ ก็จะทำให้เราโกรธ จองเวร อาฆาต พยาบาท แล้วก็จะไปอยากเข่นฆ่า ทำร้ายเขา

    4.สาสมแล้วที่เราโดนกระทำ เพราะเราไปทำเขาก่อน สร้างเหตุไว้ก่อนถึงได้รับผลเช่นนี้

    เมื่อตัวเราถูกกระทำ รับกรรมให้เดือดร้อน ต้องคิดว่า สาสมแล้วตัวเราโดนกระทำ ต้องรับกรรม เพราะว่าเรากระทำกรรมผิดต่อเจ้ากรรม

    บัดนี้ตัวเรา สำนึกผิดแล้วว่า สมควรโดนกระทำ เพราะตัวเราทำกรรมผิดต่อเจ้ากรรม  

    บัดนี้สำนึกผิด ขอขมาเจ้ากรรมและขอให้อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้า

    บัดนี้ ขอให้สัจจะสัญญาว่าจะไม่ทำกรรมผิดนี้อีกต่อไป และจะขอส่งกุศลให้กับเจ้ากรรม ขอเจ้ากรรมโปรดเมตตาเอ็นดู โปรดให้โอกาส ให้ตัวข้าพเจ้ากระทำสิ่งใด ก็ขอให้สำเร็จ เพื่อที่จะได้นำกุศลส่งให้เจ้ากรรม ต่อไป ขอให้สัจจะสัญญา

    เราจะต้องมีวิธีคิดที่ถูกต้องในสิ่งที่เราโดนกระทำ เพื่อจะได้ไม่เกิดความแค้น อาฆาต พยาบาท

    เราจะแก้นิสัย หรือสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเราไม่เห็นโจรก็แก้เขาไม่ได้    
    
    ๑. ไม่เห็นโจร หรือ
    
    ๒. เห็นโจรแล้วไม่รู้นิสัยโจร ก็แก้เขาไม่ได้ ถ้าเรารู้นิสัยโจร เราก็สามารถเปลี่ยนแปลง เอามาควบคุม กักกันได้

    โจรในที่นี้ก็คือ ความอาฆาต แค้น พยาบาท ซึ่งมีจริตนิสัย คือ ตัวไม่ยอม ตัวพิชิต พอเราไม่ยอม เราก็จะไปพิชิตเขา ทำกู กูก็จะทำ คุณฟันฉันหนึ่งที ฉันจะต้องฟันคุณสองที เป็นจริตของพิชิต ตัวพิชิตนี้จะรวมความอาฆาต แค้น พยาบาท หมดเลย

    จริต แปลว่าอะไร จริต แปลว่า สันดานที่ปลูกฝังไว้

    ถ้ากิเลสเหล่านี้มีตัวเดียว เดี๋ยวอีก ๒ ตัวก็จะตามมา เป็นเพื่อนฝูงกัน เป็นมิตรสหายกัน เราจึงเรียกว่า ๓ เกลอ อย่างเช่น กิเลสสาย จองเวร ตัวพยาบาท อาฆาต ก็จะตามมา เป็นเพื่อนฝูงกัน รวมความ สามเกลอ คือ จองเวร พยาบาท อาฆาต

    ส่วนกิเลสสายความคิดเห็นผิด เช่น  หลงผิด ตัวสำคัญตนผิด อหังการ ก็จะตามมา ซึ่งเป็นสามเกลอ มิตรรักสหายกัน ไม่ยอมจากกัน แต่ถ้าจากกันตัวหนึ่ง อีก ๒ ตัวก็จะจางหายไป

    5.ที่กล่าวมานี้เป็นจริงไหม? ถ้าเป็นจริง เราก็ต้องยอมรับ  ถ้าเราไม่ยอมรับก็แก้ไม่ได้ แต่ถ้าเรายอมรับ เราจะยอมแก้ไข เราก็จะสรรหาวิธีการ

    6. วิธีการแก้ไข วิธีดำเนินการ วิธีปฏิบัติ

    7. ตรวจสอบ ที่เราแก้ด้วยเหตุตัวนี้ ใช้วิธีการอย่างนี้ได้ผลหรือไม่ (ข้อที่ 7 นี้ เป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์)

    8. ถ้าตรวจสอบแล้วถูกต้อง เราต้องทำมากขึ้น ถ้าผิดต้องรีบแก้ไข

    9. ปฏิบัติแล้วได้เท่าไหร่ ได้กี่เปอร์เซ็นต์

    10. ดีแล้วต้องมาทำเพิ่ม ทำมากขึ้น

    11. ตั้งเป้า เราจะทำมากขึ้นยังไง ยกมาสักหนึ่งข้อ จะเติมอะไรเพื่อให้ได้ผลเต็มที่

    12. สรุปผล ตั้งแต่ข้อที่ 1-11 ว่าเราชำระมลทินของเราได้ขนาดไหน ได้จริงกี่เปอร์เซนต์ แก้อาถรรพ์ได้กี่เปอร์เซ็นต์

นี่เป็นวิธีการรับปัญหาด้วยปัญญา ทำให้เกิดสันติ ทุกๆ ฝ่าย

เราทำแล้วหรือยัง?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่