ขุมทรัพย์จากพระไตรปิฎก 3 เรื่อง สิ้นแผ่นดิน ไม่สิ้นแค้น ตอน ชำระแค้น

ขุมทรัพย์จากพระไตรปิฎก3 เรื่อง สิ้นแผ่นดิน ไม่สิ้นแค้น
ตอน ชำระแค้น
ครั้งนั้น ทีฆาวุราชกุมารเสด็จหลบเข้าป่าไป ทรงกันแสงร่ำไห้ จนพอแก่เหตุ ทรงซับน้ำพระเนตร ดำริว่า เราจักรู้สิ่งที่ควรทำกับพระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช  แล้วเสด็จเข้าพระนครพาราณสี ไปถึงโรงช้างใกล้พระบรมมหาราชวัง แล้วได้ตรัสกับนายหัตถาจารย์ว่า ท่านอาจารย์ข้าพเจ้าปรารถนาจะศึกษาศิลปะกับท่าน
นายหัตถาจารย์เห็นลักษณะของทีฆาวุราชกุมาร บังเกิดความพึงพอใจ ตอบว่า เชิญมาศึกษาเถิดพ่อหนุ่ม  
อยู่มาวันหนึ่ง ทีฆาวุราชกุมาร ทรงตื่นบรรทมตอนเวลาใกล้อรุณรุ่งแล้วทรงขับร้อง และดีดพิณคลอเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ในที่โรงช้าง
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช ทรงตื่นบรรทมเวลานั้น ได้ทรงสดับเสียงเพลงและเสียงพิณที่ดีดคลอเสียงอันเจื้อยแจ้วดังแว่วมาทางโรงมงคลหัตถี จึงมีพระดำรัสถามพวกมหาดเล็กว่า แน่ะพนาย ใครตื่นในเวลาเช้ามืด ขับร้องและดีดพิณแว่วมาทางโรงช้าง.
พวกมหาดเล็กกราบทูลว่า ขอเดชะ เป็นชายหนุ่มศิษย์ของนายหัตถาจารย์  พระเจ้าข้า
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชตรัสว่า พนาย ถ้ากระนั้น จงพาชายหนุ่มมาเฝ้าเรา
พวกเขาทูลรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว พาทีฆาวุราชกุมารมาเฝ้า
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชจึงได้ตรัสถามทีฆาวุราชกุมารว่า พ่อหนุ่ม เจ้าตื่นในเวลาเช้าแห่งราตรีแล้ว ขับร้องและดีดพิณคลอเสียงอันเจื้อยแจ้วดังทางโรงช้างหรือ ?
พระเจ้าข้า.
พ่อหนุ่ม ถ้ากระนั้น เจ้าจงขับร้องและดีดพิณดู.
ทีฆาวุราชกุมารทูลรับสนองพระบรมราชโองการ แล้วประสงค์จะให้ทรงโปรดปราน จึงขับร้องและดีดพิณด้วยเสียงไพเราะ
ทีนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชทรงพอพระทัยจึงตรัสว่า พ่อหนุ่ม เจ้าจงอยู่รับใช้เราเถิด.
ทีฆาวุราชกุมารทูลรับสนองพระบรมราชโองการ แล้วจึงประพฤติทำนองตื่นก่อนนอนทีหลังคอยเฝ้าฟังพระราชดำรัส ประพฤติให้ถูกพระอัธยาศัย เจรจาถ้อยคำไพเราะต่อพระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช
ครั้นต่อมาไม่นานนักท้าวเธอทรงแต่งตั้งทีฆาวุราชกุมาร ไว้ในตำแหน่งผู้ไว้วางพระราชหฤทัย ใกล้ชิดสนิทภายใน
อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวเธอได้ตรัสกับทีฆาวุราชกุมารว่า พ่อหนุ่ม เจ้าจงเทียมรถ พวกเราจักไปล่าเนื้อ.
ทีฆาวุราชกุมารทูลรับว่า พระเจ้าข้า แล้วจัดเทียมรถไว้เสร็จ ได้กราบทูลว่า ขอเดชะ รถพระที่นั่งเทียมเสร็จแล้ว บัดนี้ ขอจงทรงพระกรุณาโปรดทราบกาลอันควรเถิด พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช เสด็จขึ้นราชรถ  ทีฆาวุราชกุมารขับราชรถไป แต่ขับราชรถไปโดยที่หมู่เสนาได้แยกไปทางหนึ่งราชรถได้แยกไปทางหนึ่ง
ครั้งนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชเสด็จไปไกลแล้วได้ตรัสกับทีฆาวุราชกุมารว่า พ่อหนุ่ม  เจ้าจงจอดรถเถิด เราเหนื่อยหล้า จักนอนพักที่นี่แหละ.
ทีฆาวุราชกุมารทูลรับ แล้วจอดราชรถ ลงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นดิน
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช จึงทรงพาดพระเศียรบรรทมอยู่บนตักของทีฆาวุราชกุมาร เมื่อท้าวเธอทรงเหน็ดเหนื่อยมา เพียงครู่เดียวก็บรรทมหลับ.
ขณะนั้น ทีฆาวุราชกุมารคิดถึงความแค้นว่า พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชนี้แลทรงก่อความยิ้มแก่พวกเราเป็นอันมาก ท้าวเธอทรงช่วงชิงรี้พลราชพาหนะ ชนบท คลังศัสตราวุธยุทธภัณฑ์และคลังธัญญาหารของพวกเราไป และยังได้ปลงพระชนมชีพพระชนกชนนีของเราเสียด้วย เวลานี้เป็นเวลาที่เราจะแก้แค้นแล้ว คิดดังนี้จึงชักพระแสงขรรค์ออกจากฝัก แต่ได้ทรงยั้งพระทัยไว้ได้ในทันที เพราะระลึกถึงโอวาทที่ พระชนกได้ทรงให้ไว้เมื่อใกล้สวรรคตว่า พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น อย่าเห็นแก่ยาว เวรทั้งหลายย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อมระงับได้เพราะไม่จองเวรเท่านั้น เช่นนี้แล้วจึงดำริต่อไปว่า การที่เราจะละเมิดพระดำรัสสั่งของพระบิดานั้น ไม่สมควรเลย ดังนี้แล้วสอดพระแสงขรรค์เข้าไว้ในฝักตามเดิม
ผ่านไปชั่วครู่ พระราชกุมาร ได้ทรงคิดถึงความแค้นอีก จึงตั้งพระทัยว่าจะปลงพระชนม์พระเจ้าพรหมทัต แต่ก็ถูกโอวาทของพระบิดายับยั้งไว้อีกเช่นเคย
แม้ในคำรบสามพระราชกุมาร ก็ทรงคิดถึงความแค้นอีก แต่เหตุการณ์ก็เป็นไปเช่นเดิม เป็นอันว่า ทีฆาวุราชกุมาร ไม่อาจปลงพระชนม์พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชได้
ขณะนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช ทรงกลัว หวั่นหวาด สะดุ้งพระทัยรีบเสด็จลุกขึ้น
ทีฆาวุราชกุมารได้กราบทูลว่า ขอเดชะ เพราะอะไรหรือพระองค์จึงทรงกลัว หวั่นหวาดสะดุ้งพระทัย รีบเสด็จลุกขึ้นเล่า
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชตรัสตอบว่า พ่อหนุ่ม ฉันฝันว่าทีฆาวุราชกุมาร โอรสของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชฟาดฟันฉันด้วยพระแสงขรรค์ ณ ที่นี้ เพราะเหตุนั้น ฉันจึงกลัว หวั่นหวาด ตกใจรีบลุกขึ้น.
ทันใดนั้น ทีฆาวุราชกุมารจับพระเศียรของพระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชด้วยพระหัตถ์ซ้าย ชักพระแสงขรรค์ด้วยพระหัตถ์ขวา แล้วคุกคามว่า ข้าพระองค์ คือ ทีฆาวุราชกุมารโอรสของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชคนนั้น พระองค์ทรงก่อความยิ้มแก่พวกข้าพระองค์มากมาย  ทรงช่วงชิงรี้พล ราชพาหนะ ชนบทคลังศัสตราวุธยุทธภัณฑ์ และคลังธัญญาหาร ของข้าพระองค์ไป มิหนำ ซ้ำยังปลงพระชนมชีพพระชนกชนนีของข้าพระองค์เสียด้วย  เวลานี้เป็นเวลาที่ข้าพระองค์พบคู่เวรแล้ว
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชจึงซบพระเศียรลงแทบยุคลบาทของทีฆาวุราชกุมาร แล้วได้ตรัสวิงวอนว่า พ่อทีฆาวุ พ่อจงให้ชีวิตแก่ฉัน พ่อทีฆาวุ พ่อจงให้ชีวิตแก่ฉันด้วยเถิด.
เจ้าชายทูลว่า ข้าพระองค์หรือจะอาจเอื้อมทูลเกล้าถวายชีวิตแก่พระองค์ พระองค์ต่างหากควรพระราชทานชีวิตแก่ข้าพระองค์.
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชตรัสว่า พ่อทีฆาวุ ถ้าเช่นนั้นพ่อจงให้ชีวิตแก่ฉัน และฉันก็ให้ชีวิตแก่พ่อ.
ครั้งนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราช และทีฆาวุราชกุมาร ต่างได้ให้ชีวิตแก่กันและกัน ได้จับพระหัตถ์กัน และได้ทำการสบถสาบาน เพื่อไม่ทำร้ายกัน
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชตรัสว่า พ่อทีฆาวุ ถ้ากระนั้นพ่อจงเทียมรถไปกันเถอะ.
พระเจ้าข้า ทีฆาวุราชกุมารทูลรับแล้ว จึงเทียมรถ จากนั้นได้กราบทูลว่า รถพระที่นั่งเทียมเสร็จแล้ว  บัดนี้ ขอพระองค์โปรดทรงทราบกาลอันควรเถิด พระเจ้าข้า.
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชจึงเสด็จขึ้นรถทรงแล้ว ทีฆาวุราชกุมารขับรถไป ได้ขับรถไปไม่นานนักก็มาพบกองทหาร ครั้นพระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชเสด็จเข้าสู่พระนครพาราณสีแล้ว ทรงโปรดให้เรียกประชุมหมู่อำมาตย์ราชบริพาร  ได้ตรัสถามความเห็นว่า ท่านทั้งหลาย ถ้าพวกท่านพบทีฆาวุราชกุมารโอรสของพระเจ้าทีฆีติโกศลราช จะพึงทำอะไรกับเขา.
อำมาตย์บางพวกกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ พวกหม่อมฉัน จะพึงตัดมือ จะพึงตัดเท้า จะพึงตัดทั้งมือและเท้า จะพึงตัดหู จะพึงตัดจมูกจะพึงตัดทั้งหูและจมูก จะพึงตัดศีรษะพระเจ้าข้า
พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชตรัสว่า ท่านทั้งหลาย ชายหนุ่มผู้นี้แลคือ ทีฆาวุราชกุมารโอรสของพระเจ้าทีฆีติโกศลราชคนนั้น แต่เขาผู้นี้ใคร ๆจะทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาได้ให้ชีวิตแก่เรา และเราก็ได้ให้ชีวิตแก่เขาแล้ว
ครั้นแล้วได้ตรัสถามความข้อนี้กับทีฆาวุราชกุมารว่า พ่อทีฆาวุพระชนกของเธอได้ตรัสไว้ เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว เวรทั้งหลายย่อมไม่ระงับเพราะการจองเวรเลย แต่เวรทั้งหลายย่อมระงับได้ เพราะไม่จองเวรเท่านั้น   คำนั้นหมายความว่าอย่างไร
ทีฆาวุราชกุมารกราบทูลว่า ขอเดชะ พระชนกของข้าพระองค์ ได้ตรัสพระบรมราโชวาทไว้เมื่อใกล้จะสวรรคตว่า เจ้าอย่าเห็นแก่สั้น นี้ หมายความว่า เจ้าอย่าแตกร้าวจากมิตรเร็วนัก คำว่า เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว นี้ หมายความว่า เจ้าอย่าได้จองเวรให้ยืดเยื้อ คำว่า เวรทั้งหลาย ย่อมไม่ระงับเพราะการจองเวรเลย แต่ย่อมระงับได้เพราะไม่จองเวรเท่านั้น  นี้ หมายความว่าพระชนกชนนีของข้าพระองค์ ถูกพระองค์ ปลงพระชนมชีพเสีย ถ้าข้าพระองค์ จะพึงปลงพระชนมชีพของพระองค์เสียบ้าง คนที่หวังความเจริญแก่พระองค์ จะพึงปลงชีวิตข้าพระองค์ คนที่หวังความเจริญแก่ข้าพระองค์ ก็จะพึงปลงชีวิตคนเหล่านั้นเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ เวรนั้นไม่พึงระงับเพราะเวร แต่มาบัดนี้ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานชีวิตแก่ข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็ได้ทูลถวายพระชนมชีพแก่พระองค์ เป็นอันว่าเวรนั้นระงับแล้วเพราะไม่จองเวร   นี้คือความหมายของพระบรมราโชวาทที่พระชนกของข้าพระองค์ได้ตรัสไว้
ลำดับนั้น พระเจ้าพรหมทัตกาสิกราชตรัสว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายน่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ทีฆาวุราชกุมารนี้เป็นบัณฑิต จึงได้เข้าใจความแห่งภาษิต อันพระชนกตรัสแล้วโดยย่อได้โดยพิสดาร แล้วทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานคืนรี้พล ราชพาหนะ ชนบท คลังศัสตราวุธยุทธภัณฑ์และคลังธัญญาหารอันเป็นพระราชสมบัติของพระชนก และได้พระราชทานพระราชธิดา
อภิเษกสมรสด้วย ตั้งแต่นั้นมากษัตริย์ทั้งหลาย จึงร่วมกันด้วยความสมัครสมานสามัคคี

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรื่องของทีฆาวุราชกุมารจบแล้ว จึงทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขันติ โสรัจจะ เห็นปานนี้ ได้มีแล้วแก่พระราชาเหล่านั้นผู้ถืออาชญา ผู้ถือศัสตราวุธ ก็การที่พวกเธอ บวชในธรรมวินัยอันเรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ จะพึงอดทนและสงบเสงี่ยมนั้น ก็จะพึงงามในธรรมวินัยนี้แน่.

จบตอน ชำระแค้น

ประเด็นน่าสนใจ
๑ อย่าแตกร้าวจากมิตรเร็วนัก เหตุแห่งความแต่แตกร้าวจากมิตร มี ๓ ประการคือ ใกล้เกินไป ไกลเกินไป และขอของรักของหวง
ใกล้เกินไป เป็นเหตุให้มีความคุ้นเคยเกินเหตุ ความเกรงใจลดลง มักล่วงละเมิดต่อความเป็นส่วนตัวของมิตรสหาย ยิ่งกว่านั้น ยิ่งใกล้อาจมองเห็นความไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ ของมิตรสหายมากขึ้น หากไม่สามารถทำใจยอมรับได้ จะเกิดความเพ่งเล็ง(จับผิด) เป็นเหตุมิตรแตกร้าวกันได้
ไกลเกินไป คือ ตัวไกลกัน ไม่ไปมาหาสู่ ไม่ถามไถ่ สุขทุกข์ ของกัน ก็เป็นเหตุให้ความเป็นมิตรเจือจางได้ นอกจากนี้ การห่างไกลจากความช่วยเหลือ เมื่อคราวมิตรสหายลำบากเดือดร้อน กลับไม่ยอมช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  นี่ก็เป็นเหตุให้มิตรสหายแตกร้าวได้
ขอของรักของหวง การขอสิ่งที่ไม่ควรขอ จะเป็นเหตุให้ผู้ถูกขอ เกิดความลำบากใจ ไม่อยากให้ แต่ครั้นจะไม่ให้ก็เกรงว่าผู้ขอจะไม่พอให้ นี่จึงเป็นเหตุแห่งความแตกร้าวได้เช่นกัน นอกจากนี้ การไม่ขอ แต่ถือเอาด้วยเข้าใจว่าวิสาสะ ก็เป็นแห่งความแตกร้าวได้ เพราะคำว่าวิสาสะหรือความคุ้นเคยนั้น ต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ ๑ เคยเห็นกันมา ๒ เคยคบหากันมา ๓ เคยบอกกล่าวกันไว้ ๔ เขายังมีชีวิตอยู่ ๕ รู้ว่าเมื่อเอาไปเขาจะไม่โกรธ   หากขาดองค์ข้อใดข้อหนึ่งไป นั่นไม่ถือว่าวิสาสะ แต่กลับเป็นการถือเอาด้วยเสียมารยาท
๒ การผูกอาฆาตจองเวร เป็นการปิดกั้นการสร้างบุญบารมี จิตใจก็ไม่สงบ ต้องหาหนทางทำร้ายอีกฝ่ายให้ได้ หากทำร้ายได้ก็เป็นการก่อบาปเพิ่มเติมอีก เหมือนพระเทวทัตที่จองเวรจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าหลายภพหลายชาติ จนกระทั่งชาติสุดท้ายก็ไม่เว้น บางชาติก็ทำร้ายได้ บางชาติก็ทำร้ายไม่ได้ แต่ทุกครั้งจะได้ผลตอบแทนคือต้องตกไปสู่อบายทุกครั้งไป
ฉะนั้น แม้ถูกทำร้าย ก็ไม่ควรทำร้ายตอบ ควรให้อภัย อโหสิกรรมต่อกัน จะได้ไม่มีเวรมีภัยต่อกัน  ความแค้นเป็นสิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ต้องล้างให้สะอาด ด้วยการให้อภัย นี่คือการล้างแค้นที่ถูกต้อง ความแค้นเป็นเหมือนปมในใจ ที่ผูกมุ่นจนใจหม่นหมอง ต้องแก้ปมนั้นเสียด้วยการให้อภัย นี่คือการแก้แค้นที่ถูกต้อง
พบกันใหม่คืนถัดไป
ราตรีสวัสดิ์พระรัตนไตร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่