สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน ก็เอาบทสวดมนต์มากินบ้างสิ

สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
เอายาทามากินบ้างก็ได้นะ

เฮ้ยๆๆๆ มีคนถามมาว่าสวดมนต์ไปทำไม ท่องจำไปทำไม ในเมื่อตำรามีอยู่แล้ว
เหวยๆๆๆๆ
ทำไมมันช่างเห่ยแท้ได้อย่างนี้หนอ
ข้าพเจ้าเป็นหมอผ่าตัด ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก่อนจะหยิบมีด ขอเปิดตำราดูก่อนนะว่าจะต้องกรีดตรงไหนถึงจะเจอปอด
กรีดลึกแค่ไหนหนอ ขอดูตำราหน่อยซิ อ้าว ต้องวางยาสลบก่อนเหรอ โทษๆๆ เปิดข้ามหน้าไป จำห่านจำหงส์ไม่ได้สักอย่าง
ตำรามีไว้ให้ท่อง ท่องให้จำ จำได้ก็ทำ ทำได้ ทำบ่อยก็ชำนาญไงละจ๊ะ

ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ คือทุกข์,
สังขารคือร่างกายจิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป

นี่คือสิ่งที่ได้จากการสวดมนต์ จำอยู่ในจิต ฝังอยู่ในใจ
บทไหนคงไม่ยากที่จะรู้กัน เป็นบทสวดสามัญประจำบ้านธรรมดาๆ
ทั้งพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณต่างๆ ใครๆก็สวด สวดจนประจำจิตประจำใจ
สบายใจก็สวด สวดแล้วก็สบายใจ

เรื่องวันนี้ก็จะมาเหลาถึงกรรมฐานสมัยเด็กๆ เรียกว่ากรรมฐานเด็กๆ คิดว่าใครๆก็ทำได้
เพราะเป็นกรรมฐานที่เด็กๆทำได้ ดังนั้นถ้าผู้ใหญ่ที่ไหนทำ ย่อมต้องทำได้ดีกว่าเด็ก
คือสมัยยังเป็นเด็ก ที่เรียกว่าเด็ก เพราะยังใช้คำว่า เด็กชาย นำหน้าชื่ออยู่ อ้อ... ฉันเป็นผู้ชายนะ เผื่อใครจะไม่รู้กัน
ทุกเช้าเย็น สิ่งที่ต้องทำเป็นประจำก็คือ สวดมนต์ นั่งสมาธิกับพ่อ
มันก็ไม่ยากใช่มั้ยละ ก็แค่เอาหนังสือสวดมนต์มากาง แล้วก็สวดไปพร้อมๆกับพ่อ พอสวดเสร็จก็นั่งสมาธิ
นั่งสมาธิก็ไม่ยาก เพราะที่โรงเรียนประถมของฉัน เขาให้นั่งสมาธิทุกพักกลางวันก่อนเข้าห้องเรียน
ภาวนาพุทโธ รู้ลมหายใจอะไรก็ว่าไป ฉันทำได้มาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ ทำได้ทำเป็น แต่ไม่ได้แปลว่าทำได้ดีมีสมาธินะ

ทีนี้ พอทำสมาธิไปทุกวัน คำว่าทำ นี่หมายถึงการนั่งหลับตา พยายามรู้ลมหายใจเข้าออก ภาวนาพุทโธ
ทำ คือ พยายามทำ แต่ทำแล้ว ไม่ค่อยจะได้เรื่องหรอก ฟุ้งซ่าน
นี่... ฉันก็ฟุ้งซ่านนะจ๊ะ ใครปฏิบัติสมาธิแล้วไม่ฟุ้งซ่านเลยนี่ นับว่าเก่งมาก หาได้ยากมาก
เริ่มปฏิบัติสมาธิแล้วไม่เจอนิวรณ์กวนเลยนี่ ฉันยอมรับเลยว่าไม่เคยพบเคยเจอ
พอฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านนี่มันก็คิดโน่นคิดนี่ เพลินไปรู้ตัวอีกทีก็... แหมเตลิดเปิดเปิงไปไกลซะแล้วสิ
กลับมารู้ลมหายใจใหม่ สักพักมันก็ฟุ้งซ่าน ห้วย!!! หนอง คลอง บึง

ทีนี้ทำไปทำมาหลายวันเข้า เราก็... เฮ้ย แค่รู้ลมหายใจเข้าออก ทำสมาธิแค่นี้ทำไมเรามันไม่ได้เรื่องเลยว้า
เอาไงดี ก็คิดเองนะ คิดทบทวนของตัวเองไปเลยว่าจะทำยังไง ไม่ถามใคร เพราะไม่รู้จะถามใครดี
อ่านตำรา... ก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ มีแต่หนังสือสวดมนต์กับพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกเด็กที่ไหนจะไปเปิดอ่านเป็น
มีตั้งหลายเล่ม อยู่ในตู้อีกต่างหาก ใครจะไปกล้าหยิบออกมา (ความจริงพ่อก็ไม่ได้ห้ามนะ)
ก็เลยมาคิดเองเออเองว่า ดีล่ะ มันชอบคิดดีนัก งั้นเราจะให้มันคิด มันอยากจะคิด เราจะให้มันคิด
คิดเรื่องอะไรดีล่ะ สมัยนั้นก็ไม่รู้จะคิดเรื่องอะไรนะ ก็คิดเรื่องบทสวดมนต์ที่เพิ่งสวดไปนี่แหละ
ก็ไล่พิจารณามาตั้งแต่ พุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ อา... พระพุทธเจ้าเป็นแบบนี้ พระธรรมเป็นแบบนี้ พระอริยสงฆ์เป็นแบบนี้
ก็พิจารณาไปว่าดีอย่างไร มีความดีแบบนี้ น่ายอมรับนับถือแบบนี้ พิจารณาเห็นความดีของท่านก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา

แต่บทที่เอามาพิจารณาได้บ่อยที่สุดก็คือ บทสังเวคปริกิตตนปาฐะ กับบทพิจารณาสังขาร อนิจจัง วตสังขารา ว่าไปเรื่อย
ได้รับรู้ และได้พิจารณาในจิตในใจว่า เกิดเป็นทุกข์จริงมั้ย แก่เป็นทุกข์มั้ย เจ็บไข้ไม่สบายเป็นทุกข์จริงมั้ย
ถ้าพลัดพรากจากคนรักเป็นทุกข์จริงมั้ย สูญเสียของรักเป็นทุกข์จริงมั้ย อันนี้ง่าย พิจารณาง่ายมาก เพราะมันทุกข์ทั้งนั้น
ถึงฉันจะเด็ก แต่ก็รู้นะว่ามันทุกข์ยังไง แค่หิวข้าว ปวดขี้ นี่ก็ทุกข์แล้ว ใครอยากปวดขี้บ้างละ แต่มันก็ห้ามไม่ได้นี่หว่า
จะมาติดใจตรง ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ตรงนี้แหละที่ต้องพิจารณากันนานหน่อย เพราะยังเป็นเด็กนี่ (ขันธ์ ๕ คืออะไรวะ)
ถ้าเรายึดมั่นถือมั่นว่ารูปเป็นเราเป็นของเรา เราก็ทุกข์ อันนี้ใช้เวลาพิจารณานานหน่อย ก็พิจารณาไปเรื่อยๆ
พอพิจารณาไปสักพัก มันจะรู้สึกถึงความสงบของจิต ปัสสัทธิหรือเปล่าก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่าจิตมันรู้เองเลยว่า
ตอนนี้มาภาวนาพุทโธได้แล้ว เราก็รู้ลมหายใจเข้าออก ภาวนาพุทโธเลย ภาวนาแบบนี้ มันภาวนาทั้งวันนะ เลิกนั่งสมาธิมันก็ภาวนาอยู่
ก็ไม่รู้ว่าถึงฌานหรือเปล่า เพราะตอนนั้นไม่รู้จักฌานสมาบัติอะไรเลย


นั่นคือกรรมฐานเด็กๆ ที่ทำกับพ่อ แล้วก็เลิกทำไปสักพัก เพราะเข้ามหาวิทยาลัย ออกไปทำงาน ก็ไม่ได้ทำต่อ
เมื่อแก่ตัวลง หันกลับมาเริ่มเจริญภาวนาใหม่ ฉันก็ยังกลับไปใช้กรรมฐานเด็กๆอยู่นะ
เพราะมันได้ผลดี คือพิจารณาขันธ์ ๕ พิจารณาร่างกาย นี่แหละ มันเห็นๆกันอยู่ ตามดูไม่ยาก
ใครจะบอกว่า เกิดดี แก่ดี เจ็บไข้ได้ป่วยดีล่ะ คงไม่มีเนอะ ตายแล้วเขาก็เอาไปเผา เขาไม่เก็บไว้
อันนี้พอเราพิจารณาแล้วใจมันก็จะเป็นหนึ่ง ไม่ซัดส่าย เพราะมันใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ตลอด
ทำให้เมื่อพิจารณาเสร็จ จิตจะสงบเรียบร้อย ภาวนาที่เขาเรียกว่าสมถะต่อได้ง่ายเหลือเกิน

ที่เหลามาแบบนี้ ก็จะบอกว่า ใครที่บอกว่าชอบฟุ้งซ่าน ชอบคิดนี่ มันก็ต้องแก้
เพราะเราอยากให้จิตนิ่ง แต่มันไม่นิ่ง เราก็พามันเดินเล่นก่อน แต่ให้มันเดินเล่นแบบมีทิศมีทางได้ประโยชน์
ก็พามันไปเดินเล่นในการพิจารณาธรรม โดยเฉพาะขันธ์ ๕ ไตรลักษณ์ อริยสัจ ตามสะดวกตามสบาย
อย่าไปอ้างอะไรมากว่าทำไม่ได้ เพราะฉันเชื่อว่า ไม่มีใครโง่กว่าตอนที่ฉันเป็นเด็กแล้ว โง่ๆแบบนั้นยังทำได้
ตอนนั้น ฉันมีสิบนิ้ว สองแขน สองขา มีหัวเดียวเหมือนกับทุกคนนั่นแหละ ฉันทำได้ คนอื่นก็ต้องทำได้
ยกเว้นแต่ว่าจะไม่ทำ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ฉันก็ไม่ยุ่งด้วย

เกือบยี่สิบปีนะ ที่ฉันตามหากรรมฐานเด็กๆแบบที่ฉันเคยทำ โน่น...
มาเจอตอนอ่านเรื่องที่หลวงพ่อปาน ท่านสอนกรรมฐาน ให้คิดพิจารณาขันธ์ ๕ ก่อน
เออ... อ่านแล้วก็... เอาวะ อย่างน้อยเราก็คงไม่ทำผิดทำพลาด หลวงพ่อก็เคยสอนแบบนี้นี่หว่า
แล้วลองไปอ่านพระไตรปิฎก ก็.. ไม่ผิดระเบียบผิดวินัยผิดธรรมะอะไรนี่หว่า
ค่อนข้างจะมั่นใจนะว่าสามารถเอาไปใช้ได้ แก้ไขจิตฟุ้งซ่านได้ดี เหมือนกับการนับ ๑-๑๐

กรรมฐานเด็กๆของฉันมีหลายอย่างนะ เพราะเป็นพวกครูพักลักจำ ไปลักจำมาบางทีก็จำไม่ได้นะว่าไปจำใครมา
ทั้งเรื่องการนึกภาพพระพุทธเจ้า ต้องนึกอย่างนี้ๆ ก็ไม่รู้ว่าไปลักจำใครมา
อย่างว่า สมัยนั้นฉันฟังเทปธรรมะหลายม้วนหลายตลับอยู่ แต่ไม่ได้เปิดเองนะ คนอื่นเขาเปิด แล้วไปลักฟังของเขา
ไม่รู้ว่าจะผิดศีลหรือเปล่า 555

สวดมนต์เป็นยาทา เป็นยาทาที่เอามากินต่อได้นะ
ใครบอกว่าสวดแล้วไม่ได้อะไร ก็... มันอยู่ที่ว่ามันสวดกันแบบไหนนะ
ฉันก็ไม่อยากจะขัด แต่เห็นร้องเพลงอะไรต่อมิอะไรกันได้
ไม่เห็นจะถามกันว่าร้องเพลงแล้วได้อะไร
ทำไมพอจะสวดมนต์ต้องมาทวงถามกันด้วย ฉันก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก
แต่การเรียนรู้ทุกอย่างนะ ถ้าจำสิ่งที่อยากจะเรียนรู้ไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะเรียนต่อกันแบบไหนนะ
จะจำได้ มันก็ต้องท่องบ้าง ทำบ่อยๆบ้าง จริงมั้ย ตอนฉันพิจารณาบทสวดมนต์ ตอนนั้นหลับตานะ นึกได้เป็นฉากๆๆ
ถ้าไม่ท่องไม่สวดให้จำได้ ฉันจะเอาอะไรมาพิจารณาละจ๊ะ
ยาทาแบบนี้ ทาถูๆ ทาแล้วก็เอามาดื่มมากินต่อ สบายใจกันไป

ปล.๑ ตายแล้ว ไม่มีสติปัฏฐาน ๔ เลย โดนล้อแน่ๆ
ปล.๒ มีสติปัฏฐาน ๔ นี่หว่า ไม่ได้รู้เรื่องเลยฉัน...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่