ตอนที่7 พิณคนธรรพ์
"ต่ายเลิกตกใจได้แล้ว ไม่มีอะไรหรอก"
"นั่นต้นมัคลีผลน่ะ"
กระต่ายคว้าแขนฟ้าไว้ด้วยความรวดเร็ว เข้ามายืนเคียงข้าง
"ต้นอะไรนะ"เธอถามเสียงกระซิบ
"มัคลีผลน่ะ"ฟ้าพูดอีกรอบ
"มัคลีผลคืออะไร ต้นอะไรกัน"กระต่ายถามเสียงฉงน
"เข้ามาดูใกล้ๆดีกว่าน่า"ฟ้าชวนก้าวขาทำท่าจะเดินไป
"อย่านะ ฟ้า อย่าเข้าไป"
"ต่ายกลัวอะไร"
"ต้นไม้อะไรออกลูกเป็นคน ไปให้ห่างๆต้นนี้เถอะ"
"ไม่ใช่คนจริงๆหรอก"
"ฉันไม่ไว้ใจอยู่ดี"กระต่ายปฎิเสธเด็ดขาด
ฟ้าไม่สนใจ เดินลิ่วทิ้งกระต่ายให้ยืนอยู่ตามลำพัง ส่วนตัวเองเดินเข้ามาที่กลางลานใต้โคนไม้ใหญ่ซึ่งมีผลรูปร่างสัณฐานคล้ายมนุษย์เพศหญิง
กระต่ายจำใจต้องเดินตามมา เธอพยายามเดินเลี่ยงบริเวณต้นไม้ประหลาดตลอดเวลา ไม่กล้าแม้แต่จะชำเลืองมองบนต้น
ฟ้ากำลังพินิจพิจารณาต้นไม้ที่เคยเจอแต่ในคำบอกเล่า ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเจอของจริงกับตาตนเอง เขาไม่ได้หวาดกลัวต่อสิ่งตรงหน้าสักนิด กลับมีความตื่นเต้นเสียอีกที่ได้พบกับสิ่งที่เหนือธรรมชาติ
ต้นไม้นั้นยืนต้นใหญ่อยู่ท่ามกลางลานกว้าง ใบสีเขียวสดเรียวยาวเหมือนนิ้วมือของนางรำ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปรอบลาน ลำต้นคดเคี้ยวเลี้ยวลดราวกับพญางูใหญ่ แต่ทว่าผลของมันไม่ใช่ผลไม้ทั่วไป ลักษณะของดอกสีเขียวที่บานเต็มที่กลับมีร่างของสตรีไร้อาภรณ์ห่อหุ้มกาย โดยมีศีรษะติดกับขั้วของดอกไม้ นอกนั้นไม่ว่าจะใบหน้า แขน ขา ลำตัว มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์เพศหญิงในวัยแรกรุ่นไม่มีผิดเพี้ยน ผมยาวที่ติดอยู่กับขั้วเป็นสีดำขลับ ดวงตาเปิดตลอดเวลาแต่เหม่อลอยไร้วี่แววแห่งชีวิต บนต้นนั้นส่วนมากมีแต่ผลสีเขียวที่อ่อนยังมีลักษณะเหมือนผู้หญิงนั่งงอเข่าอยู่ บางผลสีเขียวหายไปเริ่มมีสีขาวแซมก็จะค่อยๆเหยียดขาออก เมื่อโตสุกเต็มที่จึงเหยียดตัวเหมือนคนยืนตัวตรง ซึ่งทุกผลมีลักษณะกำลังงอเข่าอยู่แทบทุกผล มีแต่เพียงผลเดียวใกล้ยอดที่กำลังสุกเต็มที่ ขาเหยียดตรงร่างกายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์
ฟ้ามองด้วยความทึ่งและอัศจรรย์ใจ นึกเสียดายที่ไม่ได้พกกล้องถ่ายรูปมาด้วย เขาจะได้ถ่ายรูปความน่าพิศวงนี้ให้คนได้รับรู้ ว่ามันมีจริงๆ ไม่ใช่แค่ในตำนาน แต่ต่อให้เขามีกล้องถ่ายรูปมาถ่ายรูปเก็บไว้ได้จริงๆ เมื่อถึงเวลาเอารูปไปให้คนอื่นดู เขาเดาว่ารูปถ่ายจะต้องไม่ติดภาพสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้แน่ เพราะอาถรรพ์ที่นี้ย่อมไม่ประสงค์ที่จะให้ความลับเผยออกไป
แม้แต่กระต่ายเองก็เลิกหวาดกลัว เธอเดินรอบโคนต้น จดๆจ้องๆด้วยความสนใจ
"ฟ้ารู้จักต้นมัคลีผลอะไรนี่ด้วยหรือ"เธอถาม
"เคยอ่านในหนังสือ วรรณคดี ชาดก อะไรแบบนี้"ฟ้าบอก
"ฉันเคยอ่านเจอแต่นารีผล"
"อย่างเดียวกันนั่นแหละ"
"จริงเหรอนี่"กระต่ายเอามือปิดปาก แหงนหน้ามองต้นไม้ออกลูกเป็นคนอีกครั้ง
"ไม่ใช่คนจริงๆหรอกใช่ไหม"กระต่ายถามเสียงโหวงๆ ชี้มือไปที่มัคลีผลอันที่อยู่ใกล้ยอดซึ่งสุกเต็มที่ที่สุดและยืนตรงเหมือนมนุษย์ทุกประการ
"ไม่ใช่คนหรอก แค่ผลไม้น่ะ"ฟ้าตอบ
"แต่เหมือนคนจริงๆเลยนะ ฉันรู้สึกเหมือนเธอกระพริบตาด้วย แต่ฉันคงหลอนไปเอ..ว๊ายยย!"กระต่ายอุทานเสียงหลง ผงะถอยหลังไปสามสี่ก้าว ดวงตาชะงักค้างไปที่มัคลีผลลูกยอด
"อะไรต่าย"ฟ้าหันไปถามเสียงดัง
"ธ..เธอ เธอกระพริบตา"ต่ายพูดติดๆขัดๆยกแขนที่สั่นเทาชี้ไปที่มัคลีผลที่สุกเต็มที่ผลนั้น
"ไร้สาระ อย่าบ้าน่า"ฟ้าพูดอย่างหงุดหงิด หันไปมองมัคลีผลลูกยอดที่กระต่ายชี้
หัวใจของฟ้าแทบหยุดเต้น
มัคลีผลขยิบตาข้างขวาให้เขา!!
ฟ้าตกตะลึง ตาเบิกโพลง จ้องไปที่มัคลีผลลูกนั้นด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
สาวผู้เกิดจากต้นไม้ไม่ได้ขยิบตาอะไรอีก ฟ้าขยี้ตาตัวเองแล้วเงยหน้ามองอีกหน
คราวนี้เธอขยับแขนยกมือซ้ายขึ้นมา ยกขึ้นมาจนถึงใบหน้า เธอชูนิ้วชี้ขึ้นและแตะที่ริมฝีปากสดสวย
"จุ๊ จุ๊ จุ๊"
"เฮ้ยย"ฟ้าร้องลั่นด้วยความตกใจ ถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็ว
กระต่ายนั้นไม่ต้องพูดถึง เธอวิ่งแจ้นไปยืนที่ริมลานเรียบร้อยแล้ว
"ไหนเธอบอกว่ามันไม่มีชีวิตไง"กระต่ายเล่นงานฟ้าทันที
"เราไม่รู้ เราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีชีวิตและ...และพูดได้"ฟ้าพูดเสียงสั่น
กระต่ายคว้าข้อมือเพื่อนชาย
"ไปเถอะฟ้า ไปจากตรงนี้ ฉันรู้สึกไม่ค่อยดี จริงๆนะ"กระต่ายพูดเสริมท้ายเมื่อเห็นเพื่อนหันมามองหน้า
เสียงอะไรบางอย่างข้างหลังฟ้าและกระต่ายดังขึ้น ทั้งสองสะดุ้งสุดตัว หันขวับมามองเข้าไปในดงไม้ทึบที่มีรูปร่างคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน
"นั่นเสียงอะไรกัน"กระต่ายร้องเสียงดัง
"ชู่วว เบาๆสิ"ฟ้าปราม เพ่งตามองเข้าไปในดงไม้แต่ไม่พบอะไร
"มีตัวอะไรไหม"กระต่ายถามเสียงเบาลง
"ไม่มีอะไร"ฟ้าตอบ
"ฉันได้ยินเหมือนเสียงคนเดิน"
"ได้ยินเหมือนกัน"
"ผีรึเปล่า"
"ที่นี่ไม่มีผีหรอกต่าย"
"แล้วมันคืออะไรเล่า"
ฟ้าไม่ได้พูดอะไร แต่ค่อยๆลอดกิ่งไม้เข้าไป
"ฟ้า จะไปไหน"ต่ายท้วง
ฟ้ายังคงเงียบ ก้มหน้าก้มตาหาอะไรบางอย่าง
"ต่าย เมื่อกี้ตรงนี้มีคนเดินอยู่"ฟ้าบอก ชี้ไปที่รอยของใบไม้กิ่งไม้แห้งที่แตกหักเป็นระยะๆ
กระต่ายสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง
"โอเคฟ้า งั้นเราจะไปจากตรงนี้กันได้หรือยัง"กระต่ายพูดราวกับรอยเท้าปริศนานั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอจะเผชิญหน้าในที่แห่งนี้
"นั่นรอยเท้าข้าเอง"
เสียงห้าวๆของผู้ชายดังขึ้นกลางลานต้นมัคลีผล ทั้งสองคนสะดุ้งอีกครั้ง หันหลังมามอง
ราวกับเห็นจิตรกรรมฝาผนังตามโบสถ์อุโบสถ วัดวาอารามออกมาโลดแล่นฉะนั้น
บุรุษรูปงามผู้หนึ่งผิวขาวละเอียดร่างกายกำยำล่ำสันผิดมนุษย์ นุ่งภูษาโจงกระเบนลายไทยสีแดงสด ไม่ใส่เสื้อ เผยให้เห็นหน้าอกหน้าท้องสมส่วน ที่คอมีสร้อยสังวาลย์ทองคำประดับอยู่รอบคอมีอัญมณีสีส้มฝังอยู่กึ่งกลาง ใบหน้าจัดว่าหล่อเหลามากแต่หล่อเหลาอย่างหยิ่งผยองและเย็นชา
"เจ้าเป็นใครกัน"
บุรุษรูปงามถามเสียงห้าว
ฟ้ากับกระต่ายไม่ตอบ ได้แต่จ้องนิ่งไปที่บุรุษผู้มาใหม่ไม่วางตา แม้ลักษณะของเขาจะบ่งบอกว่าไม่ได้มาร้าย
"พวกเจ้ามาจากไหน อุตรกุรุทวีปหรือ?"
"อุตรกุรุทวีปคืออะไร"ฟ้าตัดสินใจส่งเสียงถามออกไป
"เจ้าไม่รู้จักอุตรกุรุทวีปงั้นรึ"บุรุษรูปงามถามอีก
"ไม่ค่ะ แล้วคุณเป็นใครกัน"กระต่ายถามออกไปบ้าง ในช่วงเวลาที่คับขัน เธอก็ยังมีสติพอใช้
"เราคือคนธรรพ์ดนตรี ผู้ขับกล่อมป่าและเหล่าเทวดานางฟ้า"บุรุษผู้นั้นตอบ
"คนธรรพ์ดนตรีหรือครับ"ฟ้าทวนถามอีกหน
"พวกเจ้าเป็นใครมาจากไหนกัน ถึงไม่รู้จักคนธรรพ์ดนตรี"คนธรรพ์ถาม
"พวกเราเป็นคนทั่วไปนี่แหละครับ มาจากเชียงใหม่"ฟ้าตอบ
คนธรรพ์ขมวดคิ้ว
"เชียงใหม่คืออะไร"คนธรรพ์ถามอีก
"นั่นเป็นที่ที่พวกเรามา"ฟ้าบอก
"แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่งั้นรึ"คนธรรพ์ถามต่อ
"เราพลัดหลงกับเพื่อน กำลังจะตามหาพวกเขากลับไป"ฟ้าตอบ
คนธรรพ์จ้องคนทั้งสองอยู่ชั่วครู่
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า"คนธรรพ์ดนตรีหัวเราะเสียงดังลั่นจนทั้งสองตกใจ
"พลัดหลงกับเพื่อนงั้นหรือ ในนี้ ในป่าหิมพานต์นี่น่ะหรือ จงสิ้นหวังเถิดมนุษย์ เพื่อนของเจ้าป่านนี้คงไม่รอดแล้ว"คนธรรพ์กล่าว
"คุณหมายถึงอะไร"ฟ้าถามเสียงดัง
"เจ้าไม่สามารถจินตนาการถึงสิ่งร้ายในป่านี้ได้หรอกมนุษย์ มันน่ากลัวเกินกว่าที่เจ้าจะรับได้ เช่นนั้นความหวังของเพื่อนเจ้าที่จะรอดก็ไม่มี"คนธรรพ์พูด จ้องมองฟ้าอย่างค้นหาอะไรบางอย่างแล้วพูดต่อว่า
"แต่ข้ารู้ ว่าเจ้าไม่ได้จะมาช่วยเพื่อนเจ้าอะไรทั้งนั้น อย่าได้โป้ปดข้า เพราะข้ารู้เท่าทันเจ้า"
"ผมไม่เข้าใจ"ฟ้าพูด
คนธรรพ์ดนตรียิ้มเย็นๆ ก่อนจะหันหลังชี้มือไปที่มัคลีผลลูกยอดที่โตเต็มที่ลูกนั้น
"นั่นต่างหากคือสิ่งที่เจ้าปราถนาใช่ไหม ข้ารู้ มันจะบังเอิญเกินไปกับการที่เจ้าเดินสะเปะสะปะมาเจอต้นไม้นี่เข้า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าตั้งใจจะเดินตามหามันแต่แรก"
ฟ้าเข้าใจความหมายของคนธรรพ์รูปงามทันที
"ไม่ใช่ครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้สนใจอะไรกับมัคลีผลนั่นสักนิด ผมกับเพื่อนเดินมาพบต้นไม้นี้โดยบังเอิญจริงๆครับ"ฟ้ารีบพูด
คนธรรพ์หนุ่มมองฟ้าอย่างชั่งใจอยู่ชั่วครู่
"แล้วคุณล่ะ ที่มาที่นี่ก็เพราะมาหาต้นมัคลีผลเหมือนกันใช่ไหมล่ะคะ"ต่ายถามโต้ออกไปบ้าง เธอรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของคนธรรพ์ดนตรีเมื่อครู่สักเท่าไหร่
คนธรรพ์ยิ้มเย็นตามแบบฉบับ หันไปตอบกระต่ายว่า
"ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าหน้าที่เราคือขับกล่อมป่า เรามิเคยได้สนใจไยดีกับสิ่งที่ท้าวสักกะเทวราชเนรมิตขึ้นแม้สักนิด"
"ฉะนั้นมาเถิด อาคันตุกะผู้หลงไพร จงนั่งลงและสดับตรับฟังดนตรีอันไพเราะจากข้าเถิด พวกเจ้าจะเข้ามาในป่าหิมพานต์โดยไม่ได้สดับบทเพลงของคนธรรพ์ดนตรีมันก็กระไรอยู่"คนธรรพ์กล่าวเสียงนุ่ม
คนธรรพ์ร่างสง่าเดินเข้าไปกลางลานต้นมัคลีผล ทุกท่วงท่าการเดินเหินของคนธรรพ์ผู้นี้ช่างงดงามน่าดูชม เป็นอากัปกิริยาที่มนุษย์ไม่มีทางทำได้
คนธรรพ์เลือกหินก้อนใหญ่ก้อนนิ่งเป็นที่นั่ง แล้วหันมามองคนทั้งสอง
"มาเถิด อาคันตุกะจากแดนไกล มานั่งเถิด"คนธรรพ์ดนตรีผายมือเชื้อเชิญ
กระต่ายมองหน้าฟ้า เมื่อเห็นฟ้านิ่งก็แอบหยิกแขนฟ้าเบาๆ ฟ้าสะดุ้งเล็กน้อย
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต้องไปต่อ ไม่รบกวนคุณดีกว่าครับ"ฟ้าปฏิเสธ
"อะไรกัน นี่เจ้ายังโกรธข้าเรื่องมัคลีผลที่ข้าเข้าใจพวกเจ้าผิดอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นเรื่องนั้น เราขออภัยด้วย อย่าให้เรื่องเล็กน้อยแค่นั้นมาทำลายความสุนทรีย์ต่อจากนี้เลย"คนธรรพ์รูปหล่อพูดพลางก้มหัวให้
"ต่าย เราใช้เขาได้นะ"ฟ้าแอบกระซิบเบาๆกับกระต่าย
"หมายความว่ายังไง เธอคิดจะทำอะไรอีก"ต่ายหันหน้ามาถาม
ฟ้าไม่ตอบ แต่หันไปถามคนธรรพ์ดนตรีเสียงดัง
"ถ้าผมฟังคุณบรรเลงบทเพลงจนจบ คุณจะช่วยพวกผมตามหาเพื่อนผมได้ไหมครับ"ฟ้าเสนอข้อแลกเปลี่ยน การที่จะให้คนธรรพ์ดนตรีผู้ช่ำชองในป่านี้ตามหาเพื่อนของเขาที่พลัดหลงไป จะเป็นอะไรที่ง่ายขึ้นมาก
"แน่นอน สหาย เราจะช่วยเจ้าตามหาเพื่อนของเจ้า แต่ข้าไม่สามารถรับรองได้หรอกนะ ว่าเพื่อนเจ้าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่"คนธรรพ์กล่าว
"ได้ครับ ผมตกลง"ฟ้าพยักหน้า แล้วพากระต่ายเดินเข้าไปกลางลาน กระต่ายขัดขืนนิดนึง แต่ฟ้าก็จูงมือกระต่ายเข้ามาจนได้
คนธรรพ์ยิ้มให้ ผายมืออีกครั้งเป็นความหมายให้นั่ง ทั้งสองค่อยๆนั่งลงตรงหน้าหินก้อนใหญ่ที่คนธรรพ์เอกเขนกอยู่
คนธรรพ์ดนตรีพนมมือหลับตาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะชูมือขึ้นไปในอากาศ ทำท่าจะคว้าอะไรออกมา
ทันใด คนธรรพ์ก็ดึงอะไรบางอย่างออกมาจากอากาศ ฟ้ากับกระต่ายผงะด้วยความตกใจ สิ่งที่คนธรรพ์หยิบออกมาจากความว่างเปล่าคือไม้ที่ค่อนข้างยาว ด้านหนึ่งเหมือนเป็นน้ำเต้าประกบอยู่เป็นทรงกลมและโปร่ง ไม้ที่ยื่นต่อมาจากส่วนคล้ายน้ำเต้านั้นยาวแคบมีคล้ายเส้นเอ็นขึงอยู่สามเส้นจนสุดปลายไม้ ส่วนปลายสุดของไม้นั้นแกะสลักคล้ายหัวของพญานาคอย่างวิจิตรบรรจง ที่ดวงตาของพญานาคฝังอัญมณีสีแดงเล็กๆไว้ ดูคล้ายว่าพญานาคจะขยับเขยื้อนได้
"นั่นคือเครื่องดนตรีของคุณงั้นหรือ เรียกว่าอะไรครับ"ฟ้าถาม
"พิณคนธรรพ์"คนธรรพ์ดนตรีตอบ
ฟ้ากับกระต่ายมองพิณนั้นอย่างสนใจใคร่รู้ ราวกับมีมนตร์ดึงดูดอะไรสักอย่างจากพิณนั่น โดยเฉพาะปลายไม้ที่เป็นหัวพญานาค
"จงทำใจให้สบาย และเดินทางไปสู่ความรื่นรมย์ของพิณคนธรรพ์เถิด"
มืออีกข้างของคนธรรพ์หยิบสิ่งที่คล้ายกับเขาควายอันเล็กๆขึ้นมา ยกพิณขึ้นและเริ่มต้นดีดพิณ
ทันทีที่เศษเขาควายสัมผัสกับพิณ มืออีกข้างของคนธรรพ์ก็ไล่นิ้วอย่างคล่องแคล่ว เสียงพิณที่ดังออกมาเหมือนจะขับไล่ความทุกข์ความกังวลของทั้งสองให้หายวับไป ความสดชื่น ความโปร่งโล่งสุขกายสบายใจเข้ามาแทนที่ เสียงบรรเลงไพเราะและจับใจทั้งคู่ยิ่งนัก ยิ่งฟังไปก็ยิ่งรู้สึกชอบ ชวนจินตนาการถึงสิ่งสวยงามต่างๆ แทบจะลืมไปว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางป่าลึกลับ
🍃🍃🍃ทวิธราดล🍃🍃🍃(ตอนที่ 7 พิณคนธรรพ์)
"ต่ายเลิกตกใจได้แล้ว ไม่มีอะไรหรอก"
"นั่นต้นมัคลีผลน่ะ"
กระต่ายคว้าแขนฟ้าไว้ด้วยความรวดเร็ว เข้ามายืนเคียงข้าง
"ต้นอะไรนะ"เธอถามเสียงกระซิบ
"มัคลีผลน่ะ"ฟ้าพูดอีกรอบ
"มัคลีผลคืออะไร ต้นอะไรกัน"กระต่ายถามเสียงฉงน
"เข้ามาดูใกล้ๆดีกว่าน่า"ฟ้าชวนก้าวขาทำท่าจะเดินไป
"อย่านะ ฟ้า อย่าเข้าไป"
"ต่ายกลัวอะไร"
"ต้นไม้อะไรออกลูกเป็นคน ไปให้ห่างๆต้นนี้เถอะ"
"ไม่ใช่คนจริงๆหรอก"
"ฉันไม่ไว้ใจอยู่ดี"กระต่ายปฎิเสธเด็ดขาด
ฟ้าไม่สนใจ เดินลิ่วทิ้งกระต่ายให้ยืนอยู่ตามลำพัง ส่วนตัวเองเดินเข้ามาที่กลางลานใต้โคนไม้ใหญ่ซึ่งมีผลรูปร่างสัณฐานคล้ายมนุษย์เพศหญิง
กระต่ายจำใจต้องเดินตามมา เธอพยายามเดินเลี่ยงบริเวณต้นไม้ประหลาดตลอดเวลา ไม่กล้าแม้แต่จะชำเลืองมองบนต้น
ฟ้ากำลังพินิจพิจารณาต้นไม้ที่เคยเจอแต่ในคำบอกเล่า ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเจอของจริงกับตาตนเอง เขาไม่ได้หวาดกลัวต่อสิ่งตรงหน้าสักนิด กลับมีความตื่นเต้นเสียอีกที่ได้พบกับสิ่งที่เหนือธรรมชาติ
ต้นไม้นั้นยืนต้นใหญ่อยู่ท่ามกลางลานกว้าง ใบสีเขียวสดเรียวยาวเหมือนนิ้วมือของนางรำ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปรอบลาน ลำต้นคดเคี้ยวเลี้ยวลดราวกับพญางูใหญ่ แต่ทว่าผลของมันไม่ใช่ผลไม้ทั่วไป ลักษณะของดอกสีเขียวที่บานเต็มที่กลับมีร่างของสตรีไร้อาภรณ์ห่อหุ้มกาย โดยมีศีรษะติดกับขั้วของดอกไม้ นอกนั้นไม่ว่าจะใบหน้า แขน ขา ลำตัว มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์เพศหญิงในวัยแรกรุ่นไม่มีผิดเพี้ยน ผมยาวที่ติดอยู่กับขั้วเป็นสีดำขลับ ดวงตาเปิดตลอดเวลาแต่เหม่อลอยไร้วี่แววแห่งชีวิต บนต้นนั้นส่วนมากมีแต่ผลสีเขียวที่อ่อนยังมีลักษณะเหมือนผู้หญิงนั่งงอเข่าอยู่ บางผลสีเขียวหายไปเริ่มมีสีขาวแซมก็จะค่อยๆเหยียดขาออก เมื่อโตสุกเต็มที่จึงเหยียดตัวเหมือนคนยืนตัวตรง ซึ่งทุกผลมีลักษณะกำลังงอเข่าอยู่แทบทุกผล มีแต่เพียงผลเดียวใกล้ยอดที่กำลังสุกเต็มที่ ขาเหยียดตรงร่างกายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์
ฟ้ามองด้วยความทึ่งและอัศจรรย์ใจ นึกเสียดายที่ไม่ได้พกกล้องถ่ายรูปมาด้วย เขาจะได้ถ่ายรูปความน่าพิศวงนี้ให้คนได้รับรู้ ว่ามันมีจริงๆ ไม่ใช่แค่ในตำนาน แต่ต่อให้เขามีกล้องถ่ายรูปมาถ่ายรูปเก็บไว้ได้จริงๆ เมื่อถึงเวลาเอารูปไปให้คนอื่นดู เขาเดาว่ารูปถ่ายจะต้องไม่ติดภาพสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้แน่ เพราะอาถรรพ์ที่นี้ย่อมไม่ประสงค์ที่จะให้ความลับเผยออกไป
แม้แต่กระต่ายเองก็เลิกหวาดกลัว เธอเดินรอบโคนต้น จดๆจ้องๆด้วยความสนใจ
"ฟ้ารู้จักต้นมัคลีผลอะไรนี่ด้วยหรือ"เธอถาม
"เคยอ่านในหนังสือ วรรณคดี ชาดก อะไรแบบนี้"ฟ้าบอก
"ฉันเคยอ่านเจอแต่นารีผล"
"อย่างเดียวกันนั่นแหละ"
"จริงเหรอนี่"กระต่ายเอามือปิดปาก แหงนหน้ามองต้นไม้ออกลูกเป็นคนอีกครั้ง
"ไม่ใช่คนจริงๆหรอกใช่ไหม"กระต่ายถามเสียงโหวงๆ ชี้มือไปที่มัคลีผลอันที่อยู่ใกล้ยอดซึ่งสุกเต็มที่ที่สุดและยืนตรงเหมือนมนุษย์ทุกประการ
"ไม่ใช่คนหรอก แค่ผลไม้น่ะ"ฟ้าตอบ
"แต่เหมือนคนจริงๆเลยนะ ฉันรู้สึกเหมือนเธอกระพริบตาด้วย แต่ฉันคงหลอนไปเอ..ว๊ายยย!"กระต่ายอุทานเสียงหลง ผงะถอยหลังไปสามสี่ก้าว ดวงตาชะงักค้างไปที่มัคลีผลลูกยอด
"อะไรต่าย"ฟ้าหันไปถามเสียงดัง
"ธ..เธอ เธอกระพริบตา"ต่ายพูดติดๆขัดๆยกแขนที่สั่นเทาชี้ไปที่มัคลีผลที่สุกเต็มที่ผลนั้น
"ไร้สาระ อย่าบ้าน่า"ฟ้าพูดอย่างหงุดหงิด หันไปมองมัคลีผลลูกยอดที่กระต่ายชี้
หัวใจของฟ้าแทบหยุดเต้น
มัคลีผลขยิบตาข้างขวาให้เขา!!
ฟ้าตกตะลึง ตาเบิกโพลง จ้องไปที่มัคลีผลลูกนั้นด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
สาวผู้เกิดจากต้นไม้ไม่ได้ขยิบตาอะไรอีก ฟ้าขยี้ตาตัวเองแล้วเงยหน้ามองอีกหน
คราวนี้เธอขยับแขนยกมือซ้ายขึ้นมา ยกขึ้นมาจนถึงใบหน้า เธอชูนิ้วชี้ขึ้นและแตะที่ริมฝีปากสดสวย
"จุ๊ จุ๊ จุ๊"
"เฮ้ยย"ฟ้าร้องลั่นด้วยความตกใจ ถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็ว
กระต่ายนั้นไม่ต้องพูดถึง เธอวิ่งแจ้นไปยืนที่ริมลานเรียบร้อยแล้ว
"ไหนเธอบอกว่ามันไม่มีชีวิตไง"กระต่ายเล่นงานฟ้าทันที
"เราไม่รู้ เราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีชีวิตและ...และพูดได้"ฟ้าพูดเสียงสั่น
กระต่ายคว้าข้อมือเพื่อนชาย
"ไปเถอะฟ้า ไปจากตรงนี้ ฉันรู้สึกไม่ค่อยดี จริงๆนะ"กระต่ายพูดเสริมท้ายเมื่อเห็นเพื่อนหันมามองหน้า
เสียงอะไรบางอย่างข้างหลังฟ้าและกระต่ายดังขึ้น ทั้งสองสะดุ้งสุดตัว หันขวับมามองเข้าไปในดงไม้ทึบที่มีรูปร่างคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน
"นั่นเสียงอะไรกัน"กระต่ายร้องเสียงดัง
"ชู่วว เบาๆสิ"ฟ้าปราม เพ่งตามองเข้าไปในดงไม้แต่ไม่พบอะไร
"มีตัวอะไรไหม"กระต่ายถามเสียงเบาลง
"ไม่มีอะไร"ฟ้าตอบ
"ฉันได้ยินเหมือนเสียงคนเดิน"
"ได้ยินเหมือนกัน"
"ผีรึเปล่า"
"ที่นี่ไม่มีผีหรอกต่าย"
"แล้วมันคืออะไรเล่า"
ฟ้าไม่ได้พูดอะไร แต่ค่อยๆลอดกิ่งไม้เข้าไป
"ฟ้า จะไปไหน"ต่ายท้วง
ฟ้ายังคงเงียบ ก้มหน้าก้มตาหาอะไรบางอย่าง
"ต่าย เมื่อกี้ตรงนี้มีคนเดินอยู่"ฟ้าบอก ชี้ไปที่รอยของใบไม้กิ่งไม้แห้งที่แตกหักเป็นระยะๆ
กระต่ายสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง
"โอเคฟ้า งั้นเราจะไปจากตรงนี้กันได้หรือยัง"กระต่ายพูดราวกับรอยเท้าปริศนานั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอจะเผชิญหน้าในที่แห่งนี้
"นั่นรอยเท้าข้าเอง"
เสียงห้าวๆของผู้ชายดังขึ้นกลางลานต้นมัคลีผล ทั้งสองคนสะดุ้งอีกครั้ง หันหลังมามอง
ราวกับเห็นจิตรกรรมฝาผนังตามโบสถ์อุโบสถ วัดวาอารามออกมาโลดแล่นฉะนั้น
บุรุษรูปงามผู้หนึ่งผิวขาวละเอียดร่างกายกำยำล่ำสันผิดมนุษย์ นุ่งภูษาโจงกระเบนลายไทยสีแดงสด ไม่ใส่เสื้อ เผยให้เห็นหน้าอกหน้าท้องสมส่วน ที่คอมีสร้อยสังวาลย์ทองคำประดับอยู่รอบคอมีอัญมณีสีส้มฝังอยู่กึ่งกลาง ใบหน้าจัดว่าหล่อเหลามากแต่หล่อเหลาอย่างหยิ่งผยองและเย็นชา
"เจ้าเป็นใครกัน"
บุรุษรูปงามถามเสียงห้าว
ฟ้ากับกระต่ายไม่ตอบ ได้แต่จ้องนิ่งไปที่บุรุษผู้มาใหม่ไม่วางตา แม้ลักษณะของเขาจะบ่งบอกว่าไม่ได้มาร้าย
"พวกเจ้ามาจากไหน อุตรกุรุทวีปหรือ?"
"อุตรกุรุทวีปคืออะไร"ฟ้าตัดสินใจส่งเสียงถามออกไป
"เจ้าไม่รู้จักอุตรกุรุทวีปงั้นรึ"บุรุษรูปงามถามอีก
"ไม่ค่ะ แล้วคุณเป็นใครกัน"กระต่ายถามออกไปบ้าง ในช่วงเวลาที่คับขัน เธอก็ยังมีสติพอใช้
"เราคือคนธรรพ์ดนตรี ผู้ขับกล่อมป่าและเหล่าเทวดานางฟ้า"บุรุษผู้นั้นตอบ
"คนธรรพ์ดนตรีหรือครับ"ฟ้าทวนถามอีกหน
"พวกเจ้าเป็นใครมาจากไหนกัน ถึงไม่รู้จักคนธรรพ์ดนตรี"คนธรรพ์ถาม
"พวกเราเป็นคนทั่วไปนี่แหละครับ มาจากเชียงใหม่"ฟ้าตอบ
คนธรรพ์ขมวดคิ้ว
"เชียงใหม่คืออะไร"คนธรรพ์ถามอีก
"นั่นเป็นที่ที่พวกเรามา"ฟ้าบอก
"แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่งั้นรึ"คนธรรพ์ถามต่อ
"เราพลัดหลงกับเพื่อน กำลังจะตามหาพวกเขากลับไป"ฟ้าตอบ
คนธรรพ์จ้องคนทั้งสองอยู่ชั่วครู่
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า"คนธรรพ์ดนตรีหัวเราะเสียงดังลั่นจนทั้งสองตกใจ
"พลัดหลงกับเพื่อนงั้นหรือ ในนี้ ในป่าหิมพานต์นี่น่ะหรือ จงสิ้นหวังเถิดมนุษย์ เพื่อนของเจ้าป่านนี้คงไม่รอดแล้ว"คนธรรพ์กล่าว
"คุณหมายถึงอะไร"ฟ้าถามเสียงดัง
"เจ้าไม่สามารถจินตนาการถึงสิ่งร้ายในป่านี้ได้หรอกมนุษย์ มันน่ากลัวเกินกว่าที่เจ้าจะรับได้ เช่นนั้นความหวังของเพื่อนเจ้าที่จะรอดก็ไม่มี"คนธรรพ์พูด จ้องมองฟ้าอย่างค้นหาอะไรบางอย่างแล้วพูดต่อว่า
"แต่ข้ารู้ ว่าเจ้าไม่ได้จะมาช่วยเพื่อนเจ้าอะไรทั้งนั้น อย่าได้โป้ปดข้า เพราะข้ารู้เท่าทันเจ้า"
"ผมไม่เข้าใจ"ฟ้าพูด
คนธรรพ์ดนตรียิ้มเย็นๆ ก่อนจะหันหลังชี้มือไปที่มัคลีผลลูกยอดที่โตเต็มที่ลูกนั้น
"นั่นต่างหากคือสิ่งที่เจ้าปราถนาใช่ไหม ข้ารู้ มันจะบังเอิญเกินไปกับการที่เจ้าเดินสะเปะสะปะมาเจอต้นไม้นี่เข้า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าตั้งใจจะเดินตามหามันแต่แรก"
ฟ้าเข้าใจความหมายของคนธรรพ์รูปงามทันที
"ไม่ใช่ครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้สนใจอะไรกับมัคลีผลนั่นสักนิด ผมกับเพื่อนเดินมาพบต้นไม้นี้โดยบังเอิญจริงๆครับ"ฟ้ารีบพูด
คนธรรพ์หนุ่มมองฟ้าอย่างชั่งใจอยู่ชั่วครู่
"แล้วคุณล่ะ ที่มาที่นี่ก็เพราะมาหาต้นมัคลีผลเหมือนกันใช่ไหมล่ะคะ"ต่ายถามโต้ออกไปบ้าง เธอรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของคนธรรพ์ดนตรีเมื่อครู่สักเท่าไหร่
คนธรรพ์ยิ้มเย็นตามแบบฉบับ หันไปตอบกระต่ายว่า
"ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าหน้าที่เราคือขับกล่อมป่า เรามิเคยได้สนใจไยดีกับสิ่งที่ท้าวสักกะเทวราชเนรมิตขึ้นแม้สักนิด"
"ฉะนั้นมาเถิด อาคันตุกะผู้หลงไพร จงนั่งลงและสดับตรับฟังดนตรีอันไพเราะจากข้าเถิด พวกเจ้าจะเข้ามาในป่าหิมพานต์โดยไม่ได้สดับบทเพลงของคนธรรพ์ดนตรีมันก็กระไรอยู่"คนธรรพ์กล่าวเสียงนุ่ม
คนธรรพ์ร่างสง่าเดินเข้าไปกลางลานต้นมัคลีผล ทุกท่วงท่าการเดินเหินของคนธรรพ์ผู้นี้ช่างงดงามน่าดูชม เป็นอากัปกิริยาที่มนุษย์ไม่มีทางทำได้
คนธรรพ์เลือกหินก้อนใหญ่ก้อนนิ่งเป็นที่นั่ง แล้วหันมามองคนทั้งสอง
"มาเถิด อาคันตุกะจากแดนไกล มานั่งเถิด"คนธรรพ์ดนตรีผายมือเชื้อเชิญ
กระต่ายมองหน้าฟ้า เมื่อเห็นฟ้านิ่งก็แอบหยิกแขนฟ้าเบาๆ ฟ้าสะดุ้งเล็กน้อย
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต้องไปต่อ ไม่รบกวนคุณดีกว่าครับ"ฟ้าปฏิเสธ
"อะไรกัน นี่เจ้ายังโกรธข้าเรื่องมัคลีผลที่ข้าเข้าใจพวกเจ้าผิดอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นเรื่องนั้น เราขออภัยด้วย อย่าให้เรื่องเล็กน้อยแค่นั้นมาทำลายความสุนทรีย์ต่อจากนี้เลย"คนธรรพ์รูปหล่อพูดพลางก้มหัวให้
"ต่าย เราใช้เขาได้นะ"ฟ้าแอบกระซิบเบาๆกับกระต่าย
"หมายความว่ายังไง เธอคิดจะทำอะไรอีก"ต่ายหันหน้ามาถาม
ฟ้าไม่ตอบ แต่หันไปถามคนธรรพ์ดนตรีเสียงดัง
"ถ้าผมฟังคุณบรรเลงบทเพลงจนจบ คุณจะช่วยพวกผมตามหาเพื่อนผมได้ไหมครับ"ฟ้าเสนอข้อแลกเปลี่ยน การที่จะให้คนธรรพ์ดนตรีผู้ช่ำชองในป่านี้ตามหาเพื่อนของเขาที่พลัดหลงไป จะเป็นอะไรที่ง่ายขึ้นมาก
"แน่นอน สหาย เราจะช่วยเจ้าตามหาเพื่อนของเจ้า แต่ข้าไม่สามารถรับรองได้หรอกนะ ว่าเพื่อนเจ้าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่"คนธรรพ์กล่าว
"ได้ครับ ผมตกลง"ฟ้าพยักหน้า แล้วพากระต่ายเดินเข้าไปกลางลาน กระต่ายขัดขืนนิดนึง แต่ฟ้าก็จูงมือกระต่ายเข้ามาจนได้
คนธรรพ์ยิ้มให้ ผายมืออีกครั้งเป็นความหมายให้นั่ง ทั้งสองค่อยๆนั่งลงตรงหน้าหินก้อนใหญ่ที่คนธรรพ์เอกเขนกอยู่
คนธรรพ์ดนตรีพนมมือหลับตาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะชูมือขึ้นไปในอากาศ ทำท่าจะคว้าอะไรออกมา
ทันใด คนธรรพ์ก็ดึงอะไรบางอย่างออกมาจากอากาศ ฟ้ากับกระต่ายผงะด้วยความตกใจ สิ่งที่คนธรรพ์หยิบออกมาจากความว่างเปล่าคือไม้ที่ค่อนข้างยาว ด้านหนึ่งเหมือนเป็นน้ำเต้าประกบอยู่เป็นทรงกลมและโปร่ง ไม้ที่ยื่นต่อมาจากส่วนคล้ายน้ำเต้านั้นยาวแคบมีคล้ายเส้นเอ็นขึงอยู่สามเส้นจนสุดปลายไม้ ส่วนปลายสุดของไม้นั้นแกะสลักคล้ายหัวของพญานาคอย่างวิจิตรบรรจง ที่ดวงตาของพญานาคฝังอัญมณีสีแดงเล็กๆไว้ ดูคล้ายว่าพญานาคจะขยับเขยื้อนได้
"นั่นคือเครื่องดนตรีของคุณงั้นหรือ เรียกว่าอะไรครับ"ฟ้าถาม
"พิณคนธรรพ์"คนธรรพ์ดนตรีตอบ
ฟ้ากับกระต่ายมองพิณนั้นอย่างสนใจใคร่รู้ ราวกับมีมนตร์ดึงดูดอะไรสักอย่างจากพิณนั่น โดยเฉพาะปลายไม้ที่เป็นหัวพญานาค
"จงทำใจให้สบาย และเดินทางไปสู่ความรื่นรมย์ของพิณคนธรรพ์เถิด"
มืออีกข้างของคนธรรพ์หยิบสิ่งที่คล้ายกับเขาควายอันเล็กๆขึ้นมา ยกพิณขึ้นและเริ่มต้นดีดพิณ
ทันทีที่เศษเขาควายสัมผัสกับพิณ มืออีกข้างของคนธรรพ์ก็ไล่นิ้วอย่างคล่องแคล่ว เสียงพิณที่ดังออกมาเหมือนจะขับไล่ความทุกข์ความกังวลของทั้งสองให้หายวับไป ความสดชื่น ความโปร่งโล่งสุขกายสบายใจเข้ามาแทนที่ เสียงบรรเลงไพเราะและจับใจทั้งคู่ยิ่งนัก ยิ่งฟังไปก็ยิ่งรู้สึกชอบ ชวนจินตนาการถึงสิ่งสวยงามต่างๆ แทบจะลืมไปว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางป่าลึกลับ